ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 118 กฎเกณฑ์ (ปลาย)

ตอนที่ 118 กฎเกณฑ์ (ปลาย)

ตอนกลางคืน เป่าตะเกียงแล้ว ท่ามกลางความมืด สืออีเหนียงปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ “…ข้าแต่งเข้ามาเดือนกว่าแล้ว…ข้าจัดวันของฉินอี๋เหนียงอยู่วันที่สิบเอ็ดถึงสิบห้าของทุกเดือน เหวินอี๋เหนียงจัดอยู่วันที่สิบหกถึงยี่สิบของเดือน เฉียวอี๋เหนียงจัดอยู่วันที่ยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบห้าของทุกเดือน ท่านโหวคิดว่าเช่นไรเจ้าคะ”

สวีลิ่งอี๋พลันนึกขึ้นมาได้ว่าระดูของนางมาช่วงปลายเดือน ก็นึกถึงความไม่เป็นตัวเองของนางในครานั้น ตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้ว

ถึงแม้ว่าจะจัดให้บรรดาอี๋เหนียงคนละห้าวันตามกฎของจวน จัดให้ตัวเองอยู่ในช่วงที่ตั้งครรภ์ง่ายที่สุด แต่วันที่มีระดูก็อยู่ในนั้นด้วย…นางไม่อยากรับใช้เขาเข้านอนแล้วเช่นนั้นหรือ

เขารู้สึกไม่พอใจ แต่มันก็มลายหายไปอย่างรวดเร็ว

เขาหวังว่าสืออีเหนียงจะคลอดบุตรชายอีกสักสองสามคน นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด

“เรื่องในเรือน เจ้าจัดการเองเถิด!” เขาพูดอย่างเฉยเมย จากนั้นก็ถามถึงอาการป่วยของเฉียวอี๋เหนียง “เหตุใดนางถึงยังไม่ดีขึ้น”

“เปลี่ยนให้หมอหลวงอู๋ของสำนักหมอหลวงมารักษาแล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม “พึ่งจะทานยาไป เกรงว่าคงจะต้องทานยาอีกสักสองสามวันถึงจะเห็นผล”

“หากไม่ดีขึ้นก็ให้ท่านแม่ของนางมาอยู่เป็นเพื่อนนางเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูด “นางมีแม่แค่คนเดียว”

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยความเคารพ “พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งคนไปเชิญนายหญิงเฉียวมานั่งที่จวน”

สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “อืม” ด้วยความพอใจ จากนั้นก็พลิกตัวนอนหลับไป

สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

นอนในผ้าห่มของใครของมัน พูดคุยเรื่องในครอบครัว มีกลิ่นอายของความอบอุ่น ทำให้นางรู้สึกสบายใจ จากนั้นก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว

วันต่อมา ส่งสวีลิ่งอี๋ออกไปราชสำนัก สืออีเหนียงบอกให้ป้าเถาไปเชิญอี๋เหนียงทั้งสามคนมา

ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงเดินมาพร้อมกัน ฉินอี๋เหนียงสวมเสื้อหนังกระรอกสีเขียว ปักปิ่นปักผมหยก คารวะเสร็จนางก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหวินอี๋เหนียงสวมเสื้อหนังเพียงพอนสีชมพู สวมที่คาดผมและต่างหูทับทิมสีแดง เข้ามาก็ยิ้มแย้มแล้วทักทายทุกคน

“ฮูหยิน เสื้อผ้าฝ้ายที่ฮูหยินใส่วันนี้นั้นงามมากเลยเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่นชม “นี่คือเครื่องบรรณาการของฤดูใบไม้ผลิ ข้าคิดอยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่เคยซื้อ ฮูหยินช่างใจถึงเสียจริง”

เพราะหิมะตกกะทันหัน สืออีเหนียงจึงสวมผ้าไหมแขนยาวสีเขียวอ่อนที่ตัดขึ้นใหม่ตอนนางแต่งงาน

นางไม่รู้จะพูดอะไร

คนเช่นนี้ ยากที่นางจะชื่นชอบ

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ยังมีอะไรที่คุณชายสามสกุลเหวินทำไม่ได้อีกหรือ” นางพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่น ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที

“สกุลเหวินก็มีเพียงแค่เงินเล็กๆ น้อยๆ!” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วย่อเข่าคารวะสืออีเหนียง นางกล้าหาญขึ้น “ได้เรียนหนังสือดีๆ ค้าขายกับราชวงค์ ของดีๆ ล้วนแต่อยู่ในพระราชวัง สกุลของข้าถึงแม้ว่าจะขี่ม้าก็ไล่ตามไม่ทัน!”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดติดตลก “เช่นนั้นก็ขี่ม้าเหงื่อโลหิต[1]ไล่ตาม”

“นั่นก็คือเครื่องบรรณาการของราชวงค์ มีเงินก็ซื้อไม่ได้เจ้าค่ะ!” นางหัวเราะแล้วตอบกลับสืออีเหนียง

บรรยากาศภายในห้องก็ผ่อนคลายขึ้นทันที

ฉินอี๋เหนียงเห็นหู่พั่วยกชาเข้ามา นางจึงลุกขึ้นแล้วยกให้สืออีเหนียง

เหวินอี๋เหนียงพูดคุยกับสืออีเหนียงอย่างขยันขันแข็ง เฉียวเหลียนฝังก็มาพอดี

นางมวยผมหางม้า ประดับด้วยดอกบัวขนาดเท่าเล็บมือสามดอก สวมเสื้อกั๊กยาวลายดอกสีขาวที่ดูงดงามและอ่อนโยน ทว่ามันกลับทำให้นางดูอ่อนแอลง

“ฮูหยิน” นางคำนับสืออีเหนียง แต่สายตากลับจ้องมองไปที่สืออีเหนียงอย่างแข็งกร้าว “ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ”

ไม่มีท่าทีเคารพเลยแม้แต่น้อย

ท่าทีของฉินอี๋เหนียงดูเป็นกังวล นางขยิบตาให้เฉียวเหลียนฝังไม่หยุด ส่วนเหวินอี๋เหนียงรีบสงบปากสงบคำแล้วก้มหน้าก้มตามองนิ้วเท้าของตัวเอง ราวกับว่าไม่ได้ยิน ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

สืออีเหนียงไม่แปลกใจ

นางไม่เคยกลัวคนที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผย นางกลัวแค่คนที่มีดาบซ่อนอยู่ในรอยยิ้ม

“ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาแค่คนเดียว” นางจิบชาด้วยสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้าน บอกให้หู่พั่วยกเก้าอี้มาให้อี๋เหนียงทั้งสามคน “ทุกคนนั่งลงพูดคุยกันเถิด!”

ฉินอี๋เหนียงรีบเอ่ยขอบคุณ เหวินอี๋เหนียงนั่งครึ่งหนึ่งของเก้าอี้ เฉียวเหลียนฝังนั่งลงอย่าสง่างาม

ทุกครั้งที่สืออีเหนียงเห็นความสง่างามที่ออกมาจากตัวของเฉียวเหลียนฝัง นางก็มักจะรู้สึกปวดใจราวกับตึกสูงถล่มลงมาทับ และมันก็ทำให้นางต้องอดทนกับนางให้ได้

“เมื่อวานข้าปรึกษากับท่านโหว มีเรื่องอยากจะบอกทุกคน” นางยิ้มแล้วบอกเรื่องวันรับใช้ท่านโหวเข้านอนให้ทุกคนฟัง

ฉินอี๋เหนียงรีบรับปาก เหวินอี๋เหนียงก็ยิ้มแล้วยกยอสืออีเหนียงว่าดูแลเรื่องในเรือนได้อย่างมีกฎระเบียบ มีคุณธรรมและใจกว้างตามปกติ แต่เฉียวเหลียนฝังกลับก้มหน้าก้มตาไม่พูดไม่จา

สืออีเหนียงถามเฉียวเหลียนฝัง “ทานยาของหมอหลวงอู๋แล้ว เจ้ารู้สึกดีขึ้นหรือไม่”

เฉียวเหลียนฝังพูดด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”

แต่เมื่อเห็นนางผอมลง สืออีเหนียงก็ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ท่านโหวบอกให้ข้าไปเชิญนายหญิงเฉียวมานั่งที่จวน พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะได้พูดคุยกัน”

ทันใดนั้น เฉียวเหลียนฝังก็หันหน้ามองมานางด้วยสายตาที่ราวกับคบไฟ

“ท่านโหว…” ดูเหมือนจะมีหยดน้ำอยู่ที่หางตาของนาง

“ทานโหวเป็นห่วงเจ้า” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าต้องรีบรักษาตัวให้ดีขึ้นเร็วๆ”

เฉียวเหลียนฝังปากสั่น กระอึกกระอักอยู่นานแต่ก็ไม่พูดอะไร

แค่นี้ก็อยู่นิ่งไม่ได้แล้ว

สืออีเหนียงก้มหน้าดื่มชา แต่สายตากลับมองไปที่ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียง

สายตาของเหวินอี๋เหนียงไม่สะทกสะท้าน ไม่แสดงอาการอะไรออกมา ราวกับว่านางคิดว่ามันควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ส่วนฉินอี๋เหนียงยิ้มแล้วมองไปที่เฉียวเหลียนฝัง ราวกับว่านางดีใจที่ท่านโหวเป็นห่วงเฉียวเหลียนฝัง

ทำไมพวกนางสองคนถึงไม่เป็นเหมือนเฉียวเหลียนฝังกันนะ ทำให้คนมองออกอย่างรวดเร็ว…

สืออีเหนียงเอือมระอา

“ทุกคนแยกย้ายกันเถิด!” สืออีเหนียงบอกพลางลุกขึ้น “ข้าจะไปคารวะไท่ฮูหยินแล้ว”

พวกนางสามคนส่งนางออกไปจากเรือนด้วยความนอบน้อม

สืออีเหนียงไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน หาโอกาสเล่าเรื่องในเรือนให้ไท่ฮูหยินฟัง “…ไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่”

นางหน้าแดง

ไท่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ มองดูสืออีเหนียงด้วยสายตาที่อุ่นใจ

“เจ้าคิดได้เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว” นางจับมือสืออีเหนียงมานั่งบนเตียงข้างหน้าต่าง “เจ้าต้องรู้ว่า สตรีอื่นก็เหมือนกับดอกไม้ บางครั้งก็มีคนสองคนที่ถูกขัดเกลา แต่นั่นก็เป็นแค่ดอกไม้ เข้าไปในดินแดนสวรรค์ไม่ได้ ขึ้นไปอยู่กับนางฟ้าก็ไม่ได้ สิ่งที่ควรกลัวก็มีแค่คำสาปแช่งของนักบวชลัทธิเต๋า เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกับพวกนาง”

คำพูดเช่นนี้สืออีเหนียงได้ยินเป็นครั้งแรก นางอดยิ้มไม่ได้ นางให้ความร่วมมือกับไท่ฮูหยิน “ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ”

ไท่ฮูหยินหัวเราะอย่างพึงพอใจ

ฮูหยินสามเข้ามาพอดี “น้องสะใภ้สี่กล่าวอันใดถึงทำให้ท่านแม่มีความสุขขนาดนี้”

“อ๋อ!” ไท่ฮูหยินยิ้ม “กำลังคุยเรื่องหิมะ อยากออกไปดูที่สวนหลังจวน”

“พี่สะใภ้สองไม่อยู่ ท่านแม่ก็ยังสนใจเรื่องนี้” ฮูหยินสามยิ้ม “ข้าให้คนเตรียมเสลี่ยงพาท่านไปสวนหลังจวนดีกว่าเจ้าค่ะ!”

นี่เป็นแค่คำพูดปฏิเสธของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงรีบพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “หิมะข้างนอกตกหนัก ท่านแม่รอให้หิมะตกเบาลงแล้วค่อยไปดีกว่าเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้น ประเดี๋ยวตาจะเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ไม่มีอะไรน่าดูเจ้าค่ะ”

ไท่ฮูหยินพยักหน้า “เหมือนที่เจ้าพูดก็ได้”

สายตาของฮูหยินสามเย็นชาขึ้นมา

*****

กลับมาถึงที่เรือน ลี่ว์อวิ๋นรีบเข้ามารายงาน “ฮูหยิน นายหญิงเฉียวมาแล้วเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ป้าหังคนสนิทของคุณนายใหญ่ก็มาเช่นกัน

“ร้านของคุณหนูห้ามีกำหนดเปิดวันที่สิบเดือนสิบเอ็ดเจ้าค่ะ ให้บ่าวมาถามว่าวันนั้นคุณหนูสิบเอ็ดว่างหรือไม่เจ้าคะ”

“ข้าไม่ไปดีกว่า” สืออีเหนียงยิ้ม “ถึงตอนนั้นข้าจะบอกท่านโหว ดูว่าจะส่งผู้ดูแลไปแทนได้หรือไม่”

ป้าหังได้ยินเช่นนี้นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ดคิดได้รอบคอบมากเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงถามถึงอาการป่วยของนายหญิงใหญ่ “ท่านแม่ดีขึ้นแล้วหรือยัง”

“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” นางพูด “คนที่อวี๋หังส่งจดหมายมา บอกว่าคุณนายสี่แต่งเข้ามาแล้ว หน้าตางดงาม ท่าทีก็สง่างาม นายท่านใหญ่พอใจเป็นอย่างมาก”

“เป็นเช่นนั้นก็ดี” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดคุยกับนางสองสามประโยค จากนั้นก็บอกให้หู่พั่วเอาเงินห้าสิบตำลึงที่เตรียมไว้นานแล้วให้นาง “นี่คือน้ำใจของข้า รบกวนฝากบอกให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยนำไปด้วย”

ป้าหังรีบปฏิเสธ “คุณนายใหญ่บอกแล้วว่าเงินห้าสิบตำลึงนั้นนางออกให้ก่อนเจ้าค่ะ ท่านไปหาที่จวนวันใดก็ค่อยนำไปให้ก็ไม่สายเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงตกใจ

ป้าหังเห็นเช่นนี้ก็พูดว่า “ไม่ใช่ว่าบ่าวไม่ยอมช่วยนำไปให้ แต่ว่าคุณนายใหญ่สั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ่าวไม่กล้ารับมันไปจริงๆ เจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงสับสน พูดคุยกับป้าหังสองสามประโยค จากนั้นก็ให้หู่พั่วมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้นาง แล้วส่งนางออกไป

หู่พั่วถอนหายใจ “คุณนายใหญ่ช่างใจดีเสียจริงเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงถอนหายใจ ทิ้งความไม่พอใจเมื่อครู่ออกไปไว้ข้างหลัง “ไม่เป็นไร รอให้เรามีวิธีหาเงิน ถึงตอนนั้นค่อยคืนให้พี่สะใภ้ใหญ่สองเท่า”

หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมา ขยับเข้าไปหาสืออีเหนียง “ฮูหยิน แต่ว่าตอนนี้เรามีเงินหนึ่งพันตำลึงของท่านโหว ท่านยังได้เงินเดือนอีกเดือนละห้าสิบตำลึง ผ่านไปอีกไม่กี่วันเงินค่าเช่าที่ดินสามร้อยตำลึงก็จะส่งมาแล้ว ฮูหยินสองก็ยังอยู่ที่จวนบนซีซาน ท่านมิต้องรีบร้อนไปหรอกเจ้าค่ะ รอให้ถึงฤดูร้อนแล้วเราค่อยทำน้ำหอมก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงพยักหน้า “เจ้าไปเร่งเจียงปิ่งเจิ้งรายงานเร็วๆ!”

หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป สืออีเหนียงนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนเตียงข้างหน้าต่างกับตงชิง

ป้าหังกลับมาอีกครั้ง “คุณหนูสิบเอ็ด คุณนายใหญ่บอกให้บ่าวมาบอกท่านว่าคุณนายสิบแท้งแล้วเจ้าค่ะ คุณนายใหญ่เตรียมของไว้หมดแล้ว ให้บ่าวมาถามท่านว่าท่านจะว่างเมื่อใด ไปหาคุณนายสิบด้วยกันเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นแรง นางกระโดดลงจากเตียง “ข้าจะไปบอกท่านแม่ประเดี๋ยวนี้”

ตงชิงเรียกปินจวี๋มาเปลี่ยนเสื้อผ้าหนาๆ ให้กับนาง เรียกจู๋เซียงพาป้าหังไปรออยู่ที่ห้องเอ่อร์ฝัง ลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่ว คนหนึ่งพยุงสืออีเหนียง อีกคนหนึ่งถือร่ม เดินไปเรือนไท่ฮูหยิน

ไท่ฮูหยินได้ยินเรื่องนี้นางก็รีบพูดว่า “เจ้ารีบไปเถิด” จากนั้นก็ให้ป้าตู้เตรียมสมุนไพรพวกเถียนชีและเทียนหมาให้นางนำไปด้วย “บอกให้นางดูแลตัวเองให้ดี อย่าร้องไห้ นางยังเด็ก ต่อไปก็มีได้อีก” พูดตามความจริงทุกอย่าง

สืออีเหนียงนึกถึงฮูหยินสองขึ้นมา หยวนเหนียงก็เคยแท้งมาก่อน นางชื่นชมไท่ฮูหยินแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” อย่างรู้ความ จากนั้นก็นำสมุนไพรออกไปที่ตรอกกงเสียน

“คุณนายห้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะ ข้าจึงไม่ให้นางไป” คุณนายใหญ่ได้ยินว่านางมาแล้ว นางก็บอกให้ซิ่งหลินรับใช้ตัวเองแต่งตัวทันที “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ สุราข้าว ไข่ไก่ ไข่นก…ข้าเตรียมสามสิ่งนี้ไว้แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพูดอะไรกับข้ามาก หลังจากไปหาท่านแม่แล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปจวนเม่ากั๋วกงทันที เนื่องจากหิมะตกหนัก ดึกแล้วยิ่งต้องระวังถนนลื่น” จากนั้นก็ออกไปส่งนางด้วยตัวเอง

สืออีเหนียงรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

สถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าตัวนางเองจะไม่เข้าใจแต่ก็มีป้าหังที่เข้าใจ คุณนายใหญ่พูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางอยากจะปิดปากตัวเอง และฟังจากน้ำเสียงของป้าหัง นางไม่รู้สถานการณ์ที่ลำบากของตัวเอง จะว่าไปแล้วป้าหังคือท่านป้าคนสนิทของคุณนายใหญ่ หากตัวเองปฏิเสธตอนนี้ มันคงจะเสแสร้งมากเกินไป

นางยิ้มและย่อเข่าคำนับคุณนายใหญ่ จากนั้นก็ตามป้าหังไปที่จวนของนายหญิงใหญ่

————————————

[1]ม้าเหงื่อโลหิต ม้าสายพันธุ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกสายพันธุ์หนึ่ง มีฝีเท้าเร็ว ความอดทนสูง มักจะใช้เป็นพาหนะในการเดินทางระยะไกล และใช้ในพิธีการเดินสวนสนาม

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท