สืออีเหนียงจัดการผู้ติดตามเรียบร้อยแล้ว ฤดูหนาวก็มาถึงพอดี
ฤดูหนาวในสมัยนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อน ไม่เพียงแต่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไป แต่จวนของเหล่าขุนนางและราษฎรก็มีการเฉลิมฉลองที่เรียกว่า ‘ย่าซุ่ย’ คือการที่ทุกคนจะนำขนมและอาหารมาบูชาบรรพบุรุษ เหล่าสตรีต้องนำรองเท้าให้ผู้สูงอายุเรียกว่า ‘หลี่ว์จั่ง’ จวนสกุลสวีก็ไม่เหมือนกับที่อื่น กรมผู้ตรวจและอ่านฎีกาถวายต่อองค์ฮ่องเต้ได้ส่งมอบภาพวาดบทกวีเก้าคลายหนาวมาให้ ฮ่องเต้ก็มอบหมวกอุ่นหนังจิ้งจอกให้พี่น้องสกุลสวี ส่วนฮองเฮานั้นมอบเสื้อผ้าต่างๆ นาๆ ให้เหล่าสตรีในจวนสกุลสวี นอกจากนั้น อาหารเช้าของจวนสกุลสวีก็ยังมีซุปเผ็ดเพิ่มมาอีกด้วย
สืออีเหนียงแขวนภาพวาดบทกวีเก้าคลายหนาวไว้บนผนังสีขาวของห้องทางทิศตะวันตกอย่างมีความสุข
สวีลิ่งอี๋นั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง ได้ยินนางและหู่พั่วกระซิบกระซาบกันด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นสืออีเหนียงสวมเสื้อคลุมหนังขนสุนัขจิ้งจอกสีขาว บวกกับใบหน้าที่งดงาม ราวกับกระต่ายน้อยของนาง เขาก็รู้สึกชอบใจ ยิ้มแล้วพูดว่า“เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อนหรือ”
“เคยเห็นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่เมื่อก่อนตอนที่ท่านพ่ออยู่ที่จวน เขาก็เคยวาดภาพดอกเหมยแปดสิบเอ็ดกลีบแขวนไว้บนผนัง ใช้พู่กันทาสีกลีบดอกไม้ทุกวัน เมื่อวาดภาพดอกเหมยเสร็จ ฤดูใบไม้ผลิก็กำลังจะมาถึงพอดี”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นภาพดอกเหมยคงจะงดงามกว่าไม่น้อย สิ่งของจากกรมผู้ตรวจและอ่านฎีกาถวายก็เป็นเช่นนี้แหละ”
สืออีเหนียงได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้ นางรู้สึกว่ามันน่าสนใจเป็นอย่างมากจึงยิ้มอย่างสดใส เอ่ยถาม “หรือว่าจะนำภาพนี้ไปแขวนไว้ที่ห้องหนังสือของท่าน ส่วนห้องของเราแขวนภาพดอกเหมย”
ช่วงนี้นางมักจะไปขอยืมหนังสือที่ห้องหนังสือทางทิศตะวันตกของสวีลิ่งอี๋
พูดตามตรงคือ เห็นแล้วไม่มีอะไรจะพูด
ถึงแม้ว่าแค่มองก็รู้ว่าเป็นหนังสือที่เขาชอบอ่าน ส่วนมากเป็นหนังสือเรื่องการต่อสู้ อื่นๆ ก็เป็นพวกชีวประวัติผู้คน นวนิยายและบทกวีเพียงไม่กี่เล่ม หนังสือการต่อสู้พวกนั้นยังมีลายมือของเขาอีกด้วย ตั้งแต่เด็กจนโต บันทึกการเติบโตของบุคคลคนหนึ่งเอาไว้ สืออีเหนียงอ่านแล้วก็รู้สึกคุ้นเคย แต่นางไม่มีทางสนใจ นางก็แค่ไปดู แต่ไม่ได้แตะต้องหนังสือเลยแม้แต่เล่มเดียว
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าช่วงนี้สืออีเหนียงไปเลือกหนังสือที่ห้องหนังสือของตัวเอง แต่ไม่มีหนังสือที่ถูกใจนางเลยสักเล่ม คิดว่านางกำลังล้อเลียนตัวเอง แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจแคบที่หยอกล้อไม่ได้ เขาพูดเล่นกับนาง “ก็ดีเหมือนกัน สิ่งของจากกรมผู้ตรวจและอ่านฎีกาถวายเหมาะกับห้องหนังสือของข้าเป็นอย่างมาก”
สืออีเหนียงหัวเราะ สายตาของนางเป็นประกาย ช่างมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
สวีลิ่งอี๋รู้สึกสบายใจและสบายตา เขาอารมณ์ดีไม่น้อย
มีบ่าวรับใช้ตัวน้อยเข้ามารายงาน “ท่านโหว ตั้งซุ้มข้าวต้มเรียบร้อยแล้วขอรับ คุณชายสามให้บ่าวมาถามท่านว่า ท่านจะไปดูหรือไม่ขอรับ!”
ตั้งแต่เข้าเดือนสิบเอ็ด หิมะก็ไม่เคยหยุดตก มีราษฎรที่หิวโหยมาขอข้าวที่เยี่ยนจิงตั้งนานแล้ว แต่พวกเขาถูกห้ามไว้นอกประตูเมือง ว่ากันว่ายังมีคนหนาวตาย ท่านหวงโหวผู้เฒ่า หย่งชังโหวติดต่อให้บรรดาขุนนางในเยี่ยนจิงตั้งซุ้มข้าวต้มไว้ที่นอกประตููฟู่เฉิงทางทิศตะวันตกของเมือง ถึงแม้ว่าสกุลสวีจะไม่ใช่สกุลแรก แต่ก็ไม่ได้เป็นสกุลสุดท้าย พวกเขาตั้งซุ้มข้าวต้มของตัวเองไว้ข้างซุ้มของเวยเป่ยโหวสกุลหลิน
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็วางหนังสือลง “ข้าจะไปดูประเดี๋ยวนี้”
บ่าวรับใช้ตัวน้อยตอบรับและกลับไปรายงาน สืออีเหนียงและลู่อวิ๋นรีบหาเสื้อคลุมหนังนากของสวีลิ่งอี๋มาคลุมให้เขา “ท่านโหว เดินทางระมัดระวังด้วยเจ้าค่ะ อาการหนาวถนนก็ลื่น หรือว่าท่านจะเปลี่ยนไปนั่งเสลี่ยงเจ้าคะ”
“แค่นี้เอง” สืออีเหนียงคลุมเสื้อคลุมให้สวีลิ่งอี๋ “ตอนข้าอยู่ที่ซีเป่ย ไม่รู้ว่าข้าเจอกับสภาพอากาศที่เลวร้ายมากกว่านี้มาตั้งกี่ครา เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
สืออีเหนียงพยักหน้าจากนั้นก็เดินออกไปส่งสวีลิ่งอี๋ ยังไม่ทันได้เดินกลับเข้ามาก็มีสาวใช้มารายงาน “ฮูหยิน คุณนายใหญ่มาเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่แยกย้ายกันไปตอนที่อยู่ที่ถนนซีต้าก็ผ่านไปสองสามวันแล้ว ไม่ได้ยินข่าวคราวของคุณนายใหญ่เลย นางก็ไม่กล้าส่งคนไปถาม ทำได้แค่รอ ได้ยินเช่นนี้ นางก็รีบออกไปต้อนรับคุณนายใหญ่กับสาวใช้ทันที
คุณนายใหญ่สวมเสื้อคลุมขนกระรอกสีเขียว สีหน้าของนางไม่ค่อยมีชีวิตชีวาสักเท่าไร
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ
เมื่อคุณนายใหญ่เห็นสืออีเหนียงเดินออกมา นางก็เดินเข้าไปจับมือสืออีเหนียงทันที ปลายนิ้วที่เย็นเฉียบของนางทำให้สืออีเหนียงตกใจ
พวกนางสองคนไม่พูดไม่จาแล้วเดินเข้าไปในห้อง สาวใช้ถอดเสื้อคลุมให้คุณนายใหญ่ สืออีเหนียงนั่งลงบนตั่งข้างหน้าต่างในห้องทางทิศตะวันตก ยกชาเข้ามา สืออีเหนียงไล่สาวใช้ที่อยู่ในห้องออกไป นางไม่ได้พูดอะไรแต่คุณนายใหญ่กลับตาแดง “…น้องเขยสิบ ทำให้นางแท้ง…แต่สือเหนียงไม่ยอมพูดอะไร ถึงแม้ว่าข้าอยากจะเอาเรื่องให้นางก็ทำไม่ได้”
ถึงแม้ว่านางเดาว่ามันต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ข่าวนี้เป็นเรื่องจริง สืออีเหนียงตัวแข็งทื่อ นางรู้สึกขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก
“ตอนนั้นข้าเห็นก็รู้ว่ามันผิดปกติ นี่คือบุตรคนแรก แต่น้องเขยสิบกลับไม่พูดอะไร” คุณนายใหญ่โมโหจนหน้าแดง “ข้าไปเยี่ยมนางทุกวัน หากไม่ใช่เพราะว่าอิ๋นผิงเผลอพูดออกมา จนถึงวันนี้ข้าก็คงยังไม่ทราบ” พูดจบ สีหน้าของนางก็หม่นหมองลง “พี่ชายของเจ้าไม่ชอบรับสาวใช้ ข้าให้จินเหลียนและอิ๋นผิงไปอยู่กับสือเหนียง อยากจะให้พวกนางได้มีชีวิตที่ดี เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่น้องเขยสิบกลับไปนอนกับสาวใช้สองคนนั้นทั้งๆ ที่พึ่งแต่งงานได้แค่สามวัน สือเหนียงของเราหน้าตางดงามเช่นนั้น หรือว่านางยังไม่คู่ควรกับเขาหรอกหรือ เขาทำเช่นนี้ก็เท่ากับกำลังตบหน้าสกุลหลัวของเราชัดๆ…”
คุณนายใหญ่พูดอย่างโมโห แต่สืออีเหนียงแค่นั่งฟังอย่างเงียบๆ แล้วยังรินชาให้นางเป็นครั้งคราว
ในที่สุดคุณนายใหญ่ก็สงบสติอารมณ์ลง สืออีเหนียงพูดว่า “เรื่องนี้ยังมีผู้ใดรับรู้อีกเจ้าคะ” นางได้ยินเสียงของสืออีเหนียง ก็กลับมาสงบนิ่งและมีสติยิ่งขึ้น “ในเมื่อนางไม่ยอมพูด แน่นอนว่านางยังอยากจะรักษาหน้าของสกุลหวัง เกรงว่าเราจะทำอะไรไม่ได้ แต่เรื่องที่บุรุษตบตีสตรี หากมันมีครั้งแรกมันก็ต้องมีครั้งต่อไป ต้องให้คนไปเตือนนางไว้ หลบได้ก็หลบ ยอมได้ก็ยอม อย่าทำให้เขาไม่พอใจดีกว่า”
คุณนายใหญ่พยักหน้า “ข้าจะไม่รู้ได้เช่นไร แต่น้องเขยสิบ…เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงตบตีสือเหนียง” พูดจบ สายตาของนางก็มีความโมโห “เขาถูกใจผู้ติดตามของสือเหนียง แต่สือเหนียงไม่ยินยอม เขาเลยตบตีสือเหนียง…นางก็เลยแท้ง แต่เขาไม่มองสือเหนียงเลยแม้แต่น้อย หันหลังเดินออกไปตรอกชุ่ยฮวาทันที สารเลวจริงๆ!”
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
นางไม่รู้ว่านางควรพูดอันใด
คุณนายใหญ่จับมือสืออีเหนียง “ท่านโหวดีกับเจ้าหรือไม่”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ท่านโหวดีมากเจ้าค่ะ!”
นี่คือเรื่องจริง
สวีลิ่งอี๋เคารพนาง นี่คือพื้นฐานของทุกอย่าง
คุณนายใหญ่เห็นสีหน้าที่จริงจังของสืออีเหนียง นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางคงจะเป็นห่วงตัวเองและอู่เหนียงกระมัง
สืออีเหนียงครุ่นคิด
แต่แผนของตัวเองกลับตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน เมื่อวานฉังจิ่วเหอยังมาเอาเงินที่นาง หิมะตกหนักเกินไป เรือนที่อยู่ในไร่ทรุดตัว เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีดำยืนตัวสั่นอยู่หน้าประตู “บ่าวขอแค่สองตำลึงก็พอขอรับ บ่าวสร้างกระท่อมชั่วคราวให้ผ่านฤดูหนาวนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันขอรับ”
ในเมื่อแม้แต่เรือนก็ทรุดตัว แล้วยังจะมีอะไรให้ขโมย สืออีเหนียงจึงให้เขาพาภรรยาและลูกๆ ไปอยู่ที่ตรอกจินอวี๋ “…รอให้หิมะหยุดตกก่อน ประเดี๋ยวจะหนาวป่วยเอา”
ฉังจิ่วเหอซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เขาถึงกับน้ำตาคลอ เอ่ยขอบคุณแล้วขอบคุณอีก
การมาของเขาได้เตือนสติสืออีเหนียง นางบอกให้หู่พั่วเขียนจดหมายไปให้ว่านอี้จง บอกให้พวกเขาไปอยู่ที่ตรอกจินอวี๋ก่อน แล้วยังให้หู่พั่วเอาเงินให้หลิวหยวนรุ่ยสิบสองตำลึง ให้เขาเตรียมอาหารการกินที่ดี
ตอนนี้ได้ยินคุณนายใหญ่พูดเช่นนี้ สืออีเหนียงจึงนึกถึงเรื่องที่อู่เหนียงพึ่งจะเปิดกิจการขึ้นมา “…หิมะตกหนักขนาดนี้ เกรงว่ากิจการจะได้รับผลกระทบ”
“ใช่แล้ว” คุณนายใหญ่ถอนหายใจ “บอกว่าเปิดกิจการได้ไม่กี่วัน ทำเงินได้แค่ไม่กี่อีแปะ”
“ต้องผ่านไปช่วงหนึ่งถึงจะเริ่มดีขึ้นเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่พยักหน้า พวกนางสองคนพูดคุยกัน เห็นว่ามันดึกแล้วจึงลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ
สืออีเหนียงเดินไปส่งนาง นางบอกคุณนายใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ต้องส่งคนไปบอกพี่หญิงสิบนะเจ้าคะ นิสัยของนางแข็งกระด้าง นางจะได้ไม่เสียเปรียบ”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไปบอกนางเอง เจอคนเช่นนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าเห็นหวงฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงสือเหนียง หวังว่านางจะเห็นแก่สือเหนียง รักและเอ็นดูนางเสียบ้าง เพราะหากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป มันก็ไม่มีผลดีต่อหน้าตาของสกุลหวัง”
เพราะว่านี่ไม่ใช่โลกของนาง ต้องจัดการตามกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
แต่สืออีเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ถ้าไม่ได้ผล เราจัดการตามสถานการณ์ตอนนี้ได้หรือไม่ ให้พี่ใหญ่ออกหน้า ให้สือเหนียงไปอยู่ที่เรือนของผู้ติดตาม…”
หัวของคุณนายใหญ่หมุนอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้ เช่นนั้นแสดงว่าเราไม่ไว้หน้าสกุลหวัง บางทีสกุลหวังอาจจะบอกว่าสือเหนียงทรยศ มันจะทำให้สือเหนียงเสียชื่อเสียง เรื่องเช่นนี้ เจ้าคิดไว้ก็พอ อย่าได้พูดออกมา”
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
*****
ตอนเย็น สวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว เขาเห็นสืออีเหนียงนั่งทำหน้าบึ้งเย็บปักถักร้อย จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เหตุใดจึงไม่ไปเล่นไพ่กับท่านแม่ล่ะ”
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปถอดเสื้อคลุมให้สวีลิ่งอี๋ “วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่มาเจ้าค่ะ”
“มีเรื่องอันใดหรือไม่”
“นางไปเยี่ยมพี่หญิงสิบมา จึงมานั่งเล่นที่เรือนข้า”
เพราะว่าเป็นเรื่องของสตรี สวีลิ่งอี๋ไม่สะดวกที่จะถามอะไรมาก เขาเข้าไปนั่งบนตั่งข้างหน้าต่างในห้องทางทิศตะวันตกแล้วพูดว่า “ร้านค้าหลายแห่งในถนนตงต้าและถนนซีต้าปิดกันไปหมดแล้ว เกรงว่าเฉียนหมิงก็คงจะได้รับผลกระทบไปด้วย”
“พี่สะใภ้ใหญ่ก็พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรับใช้สวีลิ่งอี๋ไปนั่งบนตั่งข้างหน้าต่างในห้องทางทิศตะวันตก รับชาที่สาวใช้ยื่นมาให้สวีลิ่งอี๋ “บอกว่าวันหนึ่งทำเงินได้แค่ไม่กี่อีแปะ” นางพูดอีกว่า “ตอนนั้นพี่หญิงห้าพูดถึงเรื่องนี้ ข้ายังคิดว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ตอนนี้กลับต้องมาเจอภาวะเช่นนี้ แต่นางไม่ได้เดินผิดทาง คงต้องประคับประคองต่อไป”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หยิบถ้วยชาขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “ตามที่เจ้าพูด กิจการจะดีหรือไม่ดีนั้นไม่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเดินถูกทางหรือไม่”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “เดินถูกทางแต่กิจการไม่ดี ต้องดูว่าตัวเองทำผิดพลาดที่ใด แก้ไขให้ทันเวลาก็พอแล้ว แต่หากเดินผิดทาง มันก็จะยิ่งเดินยิ่งไกล ยิ่งเดินยิ่งมืดมน…สิ้นเปลืองพลังงานไปเสียเปล่า”
ที่จริงแล้วสิ่งที่สืออีเหนียงพูดถึงคือเรื่องของการดำเนินการ หากดำเนินการถูก สอดคล้องกับการพัฒนาของสังคม มันก็จะมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้ตอนแรกอาจจะไม่มีการพัฒนา แต่หากประคับประคองผ่านวันที่ยากลำบากไปสักสองสามปีก็จะฝ่าความมืดมิดและมองเห็นแสงสว่างได้ แต่หากดำเนินการผิด มันก็จะเป็นกิจการที่ต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ ยิ่งประคับประคองมันนานแค่ไหน ก็จะยิ่งขาดทุน และไม่มีโอกาสได้ฟื้นตัว…ตัวอย่างเช่นร้านขายผลไม้แห้งของอู่เหนียง มันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกครอบครัว ช่วงปีใหม่ช่วงเทศกาลทุกครอบครัวจะขาดไม่ได้ หากสามารถประคับประครองไปได้ กิจการต้องเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นนอน ในทางตรงกันข้าม หากอู่เหนียงไปทำกิจการดอกไม้ นางจะคัดค้าน เพราะว่าตอนนี้เกษตรกรปลูกดอกไม้ในเยี่ยนจิงมีห้องเพาะชำ จัดหาดอกไม้ทั้งสี่ฤดูให้กับตระกูลของบรรดาเศรษฐีตลอดทั้งปี พวกเขาครอบครองตลาดไปแล้ว หากอู่เหนียงอยาจะไปแย่งกิจการของพวกเขา มันคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างแน่นอน
พวกเขาสองคนต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต สืออีเหนียงอยากจะพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ดีๆ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางจะบอกความคิดทั้งหมดของตัวเองให้เขาฟังเพื่อให้เขามองว่านางเป็นสัตว์ประหลาด นางจึงทำได้แค่แทรกซึมเข้าไปทีละเล็กทีละน้อยราวกับฝนที่ตกปรอยๆ
ดังนั้นเมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าหลังจากที่สวีลิ่งอี๋ได้ยินตัวเองพูดเช่นนั้น เขาก็มีท่าทีนิ่งเงียบอย่างกำลังใช้ความคิด นางจึงรีบยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที “สถานการณ์ข้างนอกเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”