ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 126 จัดการ (ต้น)

ตอนที่ 126 จัดการ (ต้น)

ได้ยินสืออีเหนียงถามเช่นนี้ สายตาของหว่านเซียงก็ลุกเป็นไฟ “ฮูหยิน มีคำพูดหนึ่งพูดไว้ว่า คนดีมักจะถูกคนอื่นรังแก ม้าดีมักจะถูกคนข่มขี่ จะว่าไปแล้ว คนในจวนนี้ใครจะเทียบท่านได้ แต่ท่านดูตอนนี้ เรื่องในจวนฮูหยินสามเป็นคนดูแล เรื่องของคุณชายน้อยไท่ฮูหยินเป็นคนดูแล แม้แต่เฉียวอี๋เหนียง ได้ยินมาว่านางไม่สบาย อยากมาคารวะท่านตอนไหนก็มา ไม่อยากคารวะก็ไม่มา นางไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสายตา จะว่าไปแล้ว ก็เพราะว่าท่านใจดีกับพวกนางมากเกินไป อย่างเช่นเรื่องนี้ ฮูหยินสามทำเรื่องไม่ชอบธรรมอย่างนี้ บ่าวนำหลักฐานมาให้ท่านเช่นนี้ หากท่านไม่รีบจับมันไว้ให้ดี เกรงว่าท่านคงจะพลาดโอกาสไปเสียเปล่านะเจ้าคะ…”

ในจวนหลังนี้ไม่มีความลับจริงๆ!

สืออีเหนียงมองไปที่ริมฝีปากที่ปิดๆ เปิดๆ ของนาง มันทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ตัวเองยังเด็กขนาดนี้ พึ่งจะแต่งเข้ามา ความสัมพันธ์กับคนอื่นก็ยังจัดการได้ไม่ดี แล้วยังเป็นบุตรของอนุภรรยา ไม่เคยเรียนรู้เรื่องการดูแลจวนกับผู้อาวุโส หากรีบไปจัดการดูแลเรื่องในจวน ไม่ต้องบอกว่าตัวเองไม่มีความมั่นใจ แม้แต่ไท่ฮูหยินก็คงไม่กล้าที่จะเสี่ยง สำหรับจุนเกอ เขาคือความหวังของจวนสกุลกสวีในอนาคต การดูแลสั่งสอนเขาคือความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ไท่ฮูหยินจะให้เขามาอยู่กับคนที่ตัวเองยังไม่รู้จักดีได้เช่นไร สำหรับเรื่องของเฉียวเหลียนฝังยิ่งเหลวไหลเข้าไปใหญ่ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนบอกให้เฉียวเหลียนฝังไม่ต้องมาคารวะตอนเช้า แพร่ออกไปกลับกลายเป็นว่าเฉียวเหลียนฝังหยิ่งผยอง…คิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะจิตใจสั่นไหว

หรือว่าในจวนมีข่าวลือเช่นนั้นจริงๆ

หรือว่าแค่หว่านเซียงอยากจะรับมือกับฮูหยินสาม

“ใครกันที่พูดเรื่องไหลวไหลเช่นนี้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วขัดจังหวะคำพูดของหว่านเซียง “เฉียวอี๋เหนียงไม่สบายจริงๆ ข้าจึงบอกให้นางไม่ต้องมาคารวะข้าตอนเช้า!”

“ฮูหยิน เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั้งจวนแล้วเจ้าค่ะ” สายตาของหว่านเซียงเป็นประกาย “หากท่านไม่หยุดข่าวลือพวกนี้ คงจะมีคนบอกว่าท่านไม่เข้มงวด!”

สืออีเหนียงยิ่งมั่นใจในความคิดของหว่านเซียงมากขึ้น

นางสามารถจับเรื่องที่ฮูหยินสามสับเปลี่ยนเมล็ดข้าวได้เช่นนี้ ใช้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้ได้ดีขนาดนี้ จะว่าไปนางก็มีความกล้าหาญและเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่นางเห็นแก่ตัวเกินไป สูญเสียความเป็นธรรม ทำให้นางดูจิตใจคับแคบ จัดการเรื่องใหญ่ไม่ได้…

“เรื่องที่เจ้าพูดข้ารู้แล้ว” นางยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าอย่าพึ่งพูดออกไป ข้าจัดการเอง!”

หว่านเซียงเห็นว่าตัวเองพูดอยู่ตั้งนานแต่สืออีเหนียงกลับไม่สั่นคลอนเลยสักนิด แล้วยังทำท่าทีว่าเจ้าไม่ต้องยุ่งใส่นาง นางจึงรู้สึกไม่พอใจ

หากไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกท่านโหว ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะรู้แล้ว แต่เพื่อหน้าตาของตัวเอง เกรงว่านางคงจะช่วยฮูหยินสามปกปิดเรื่องนี้ หากฮูหยินสามยังมีโอกาสหายใจ ไม่ช้าก็เร็วนางก็จะรู้ว่าใครเป็นคนพูดเรื่องนี้ ผู้ดูแลโรงครัว ล้วนแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ กันทั้งนั้น ถึงตอนนั้น เกรงว่าแม้แต่ฮูหยินใหญ่คนก่อนจะกลับชาติมาเกิด ตัวเองก็คงจะไม่รอด

ทันใดนั้น นางก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองมาฟ้องสืออีเหนียง โมโหที่สืออีเหนียงไม่ช่วยนาง…สีหน้าพลันแดงก่ำ

“ท่านฟังบ่าวนะเจ้าคะ” นางนั่งไม่ติด แต่มีบางเรื่องที่ไม่พูดออกมาไม่ได้ กลัวว่าต่อไปอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว “เรื่องนี้ต้องบอกท่านโหวนะเจ้าค่ะ ไท่ฮูหยินเป็นคนบอกให้ฮูหยินสามดูแลจวน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แน่นอนว่าพวกนางต้องปกป้องกัน บ่าวยอมเสี่ยงเช่นนี้ก็เพื่อฮูหยินนะเจ้าคะ…”

สืออีเหนียงส่ายหน้าในใจ

ทุกคนล้วนแต่มีความเห็นแก่ตัว แต่หากมีมากเกินไป มันก็จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัว…

“ข้าจะพิจารณาเป็นอย่างดี” นางยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “สำหรับเรื่องงานของเจ้า ข้าอยากจะฟังเจ้าอธิบาย ถึงตอนนั้นข้าจะได้วางแผนให้เจ้า!”

หว่านเซียงได้ยินเช่นนี้นางก็ผิดหวังเป็นอย่างมาก

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วแต่สืออีเหนียงกลับยังคงนิ่งเฉย นางก็ไม่มีวิธีอื่น

“ฮูหยิน” สีหน้าของนางหดหู่ “บ่าวยังอยากทำงานอยู่ที่โรงครัวเจ้าค่ะ!”

สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง” จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ

หว่านเซียงลุกขึ้นแล้วขอตัวออกไปอย่างผิดหวัง

สืออีเหนียงเรียกหงซิ่วเข้ามา “ไปเฝ้าอยู่ที่ประตู ท่านโหวกลับมาแล้วรายงานข้าทันที”

หงซิ่วเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมของนาง ก็ไม่กล้าประมาท ตอบรับแล้วออกไปทันที

สืออีเหนียงยกชาร้อนขึ้นมา นั่งครุ่นคิดอยู่บนตั่งข้างหน้าต่างคนเดียวอยู่นาน

*****

สวีลิ่งอี๋กลับมาหาสืออีเหนียง เห็นหงซิ่วยืนรออยู่เขาก็เลิกคิ้วขึ้น

ถึงแม้ว่าจะแต่งงานกันมาแค่สองเดือน แต่สืออีเหนียงทำอะไรก็หนักแน่นมาตลอด แต่ตอนนี้ให้คนมารอเขา…

เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

สวีลิ่งอี๋เดิมทีก็น่าเกรงขามอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของเขาตอนนี้เคร่งขรึมเช่นนี้ หงซิ่วจึงตกใจจนตัวสั่น จากนั้นก็พูดติดๆ ขัดๆ “ฮูหยินบอกว่าหากท่านโหวกลับมาให้ไปรายงานเจ้าค่ะ! ”

สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วเดินไปที่เรือนหลัก

เปิดม่านออก เดินเข้าไปพร้อมกับกลิ่นอายของความหนาวเย็น

รู้สึกถึงลมหนาวที่พัดเข้ามา สืออีเหนียงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว

“ท่านโหว ข้ามีเรื่องด่วนจะบอกท่าน!” นางรีบเข้าไปรับใช้สวีลิ่งอี๋ถอดเสื้อคลุม จากนั้นก็ขยิบตาให้สาวใช้ออกไปข้างนอก

สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางรีบร้อน เขาก็ทำสีหน้าอ่อนโยน “นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดเถิด!”

สืออีเหนียงพยักหน้า รินชาให้สวีลิ่งอี๋ เดินไปนั่งบนตั่งข้างหน้าต่างกับเขา เล่าเรื่องที่หว่านเซียงบอกตัวเองให้สวีลิ่งอี๋ฟัง

สายตาของสวีลิ่งอี๋เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าจะไปดูประเดี๋ยวนี้!”

เรื่องเช่นนี้ ยิ่งจัดการได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี

สืออีเหนียงหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้สวีลิ่งอี๋อีกครั้ง “ประเดี๋ยวท่านไม่ไปทานข้าวที่เรือนท่านแม่ จะหาข้ออ้างว่าอะไรดีเจ้าคะ”

สายตาของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความมึนงง

สืออีเหนียงอธิบายว่า “พี่สะใภ้สามทำเรื่องเช่นนี้แน่นอนว่านางผิด แต่นางก็เป็นถึงสะใภ้ของสกุลสวี เป็นคนที่ท่านแม่บอกให้ดูแลจวน หากท่านแม่รู้เข้า ไม่รู้ว่านางจะเสียใจเพียงใด ข้าคิดว่าอย่าพึ่งบอกท่านแม่ดีกว่าเจ้าค่ะ!”

สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าก็บอกว่าฮ่องเต้ให้ข้าพาคนของกองปัญจทิศรักษานครออกลานตะเวน จะกลับมาช้าหน่อย!”

“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ไปส่งสวีลิ่งอี๋ที่ประตู

บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงที่ลมผ่านไม่ได้ เรื่องของฮูหยินสาม คงจะถูกจับได้ในไม่ช้าก็เร็ว ถูกจับได้ตอนนี้ก็จับได้คาหนังคาเขา ถูกจับได้ช้ากว่านี้ก็ถูกคนนินทา ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร มันก็เป็นอันตรายต่อสกุลสวี ทุกคนเดือนร้อนตัวเองก็เอาตัวรอดไม่ได้ ตอนนี้ตัวเองคือสะใภ้ของสกุลสวี คนหนึ่งเจริญรุ่งเรืองก็เจริญรุ่งเรืองกันหมด คนหนึ่งเสียหายก็เสียหายกันหมด นี่คือสาเหตุที่สืออีเหนียงไม่อยากทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และนางก็ยังมีความกังวลที่สำคัญกว่านี้

การสับเปลี่ยนเมล็ดข้าว เรื่องใหญ่ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่หญิงคนเดียวอย่างฮูหยินสามจะกระทำได้ เกรงว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมใน บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ดูแลเรือนข้างนอก ถึงขั้นเกี่ยวข้องกับคนสำคัญบางคนในสกุลสวี…นางไม่อยากกลายเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่จะไม่สนใจ ทำให้ราษฎรเป็นอะไรไป หรือทำให้สกุลสวีเดือดร้อนไม่ได้ และวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนจัดการ หากแม้แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ตัวเองก็คงต้องยอมรับโชคชะตา

ก่อนที่เรื่องจะคลี่คลาย นางต้องนิ่งเข้าไว้ จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ตัวเองกลายเป็นคนกล่าวหาว่าร้ายคนอื่น

แต่เมื่อนางเห็นหิมะตกลงมาบนตัวที่สง่าผ่าเผยของสวีลิ่งอี๋ นางก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียกเขา “ท่านโหว!”

สวีลิ่งอี๋หันหน้ากลับมา เห็นสืออีเหนียงยืนอยู่ใต้ชายคา เสื้อคลุมสีแดงไล่ตามเกล็ดหิมะบนท้องฟ้าราวกับก้อนเมฆที่รู้ความ สายตาที่ส่องประกายมองมาที่เขา…จนเขาอดไม่ได้ที่จะเดินกลับมา “มีอะไรหรือ”

สืออีเหนียงมองเขาเดินเข้ามาใกล้ๆ และหยุดห่างจากตัวเองประมาณห้าก้าว

“ท่านโหว” นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋ “เรื่องการแจกจ่ายข้าวต้มไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เรื่องใหญ่คือเรากำลังช่วยเหลือราษฎรจากภัยพิบัติ เรื่องเล็กคือเรากำลังทำความดีสะสมบุญบารมีให้กับสกุลสวี ยิ่งไปกว่านั้น ซุ้มข้าวต้มของเราอยู่ถัดจากซุ้มข้าวต้มของสกุลเวยเป่ยโหว ถึงแม้ว่าท่านจะโมโหเพียงใด แต่รอให้เรื่องนี้จบแล้วค่อยว่ากันนะเจ้าคะ”

สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางกำลังบอกตัวเองว่า ประเดี๋ยวทำอะไรก็อย่าให้คนอื่นเห็นช่องโหว่ เขาคิดว่านางเรื่องมากจึงพยักหน้าตอบกลับไป “รู้แล้ว!”

สืออีเหนียงเห็นท่าทีที่ตอบกลับมาอย่างส่งๆ ของเขา รู้ว่าเขาไม่เข้าใจความหมายของนาง จึงอธิบายต่อว่า “การแจกจ่ายข้าวต้มของแต่ละสกุลไม่ใช่เรื่องวันสองวัน การสับเปลี่ยนเมล็ดข้าวตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากคำที่ว่าที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]ท่านโหวลองให้ท่านป้าที่ต้มข้าวต้มล้างข้าวสักสองสามครั้ง จากนั้นก็ใส่น้ำส้มสายชูตอนต้ม ทานแล้วจะได้ไม่เป็นอะไร…ถึงแม้ว่าจะมีคนสงสัย ก็บอกว่าท่านคิดว่าพวกนางทำงานไม่รอบคอบ รอให้ผ่านมื้อนี้ไป ท่านค่อยให้คนมาสับเปลี่ยนเมล็ดข้าวก็ไม่สาย…”

แต่เมื่อเงยหน้าขึ้น นางกลับเห็นรอยยิ้มในสายตาของสวีลิ่งอี๋

สืออีเหนียงตกใจ

สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “ก็แค่ข้าวรา ตอนที่ข้าเดินกองทัพข้าก็เคยทาน ไม่เห็นจะเป็นอันใด เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เจ้าอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ อย่าให้ท่านแม่สงสัยก็พอ”

สืออีเหนียงพูดไม่ออก นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาต้องไปนอนที่เรือนของเหวินอี๋เหนียง นางจึงพูดว่า “ประเดี๋ยวข้าจะบอกให้เหวินอี๋เหนียงเปิดประตูรอท่าน!”

สวีลิ่งอี๋พยักหน้าและหันหลังเดินออกไป

สืออีเหนียงเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน

เพราะว่าหิมะตกหนักอย่างต่อเนื่อง สวนหลังจวนก็ปูทางเดินด้วยหินสีฟ้า ไท่ฮูหยินกลัวว่าฮูหยินห้าจะลื่น นางจึงสั่งไม่ให้ฮูหยินห้ามาคารวะนาง และสวีลิ่งควนก็ไม่ต้องมาคารวะ อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินห้าก็พอแล้ว คุณชายสามและฮูหยินสามก็ยุ่งอยู่กับเรื่องการแจกจ่ายข้าวต้ม หากไม่ถึงเวลาทานข้าวก็จะไม่เห็นพวกเขา

นางไปตอนยามเซิน เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอเล่นกระโดดเชือกอยู่กับสาวใช้สองสามคนในห้องโถง

เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบพาจุนเกอมาคำนับนาง

อาจจะเป็นเพราะว่านางรักษาระยะห่างกับจุนเกอมาตลอด ตอนนี้จุนเกอไม่ได้มองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่หวาดระแวงเหมือนตอนที่นางพึ่งแต่งเข้ามาใหม่ๆ

สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ดีใจ ยืนห่างจากพวกเขาประมาณห้าก้าว ทักทายเด็กสองคนนั้นอย่างนิ่งสงบ “ท่านย่ากำลังทำอันใดอยู่หรือ”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดว่า “กำลังเล่นไพ่อยู่กับป้าตู้เจ้าค่ะ! บอกว่าไม่สนุกเลยเจ้าค่ะ!”

สืออีเหนียงยิ้มให้พวกเขาจากนั้นก็เดินไปในห้องข้างใน

“ทำไมท่านพ่อไม่มาด้วยล่ะขอรับ!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเบาๆ ของจุนเกอดังขึ้นมาข้างหลังนาง

สืออีเหนียงหันหน้ากลับไป เห็นจุนเกอดึงเสื้อของเจินเจี่ยเอ๋อร์ไว้แน่น มองมาที่นางด้วยสายตาที่สับสน

“คืนนี้ท่านพ่อต้องพาคนของกองปัญจทิศรักษานครออกลาดตะเวน” รอยยิ้มของนางอ่อนโยนเหมือนเมื่อครู่ “วันนี้คงจะมาทานข้าวกับท่านย่าไม่ได้แล้ว”

สายตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอก็มีความผิดหวัง

ความเป็นพ่อลูก ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะเข้มงวดกับพวกเขาขนาดนั้น แต่พวกเขาก็ยังคงชื่นชอบและคิดถึงบิดาเสมอ…

สืออีเหนียงรู้สึกอิจฉา

เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินว่าสวีลิ่งอี๋ไม่กลับมาทานข้าวด้วยนางก็รู้สึกผิดหวัง

ป้าตู้ปลอบใจไท่ฮูหยิน “ท่านก็คิดเสียว่าท่านโหวออกไปเลี้ยงสังสรรค์เถิดเจ้าค่ะ!”

ไท่ฮูหยินมองดูเกล็ดหิมะที่ลอยอยู่นอกหน้าต่าง นางเอ่ยอย่างไม่เต็มใจ “ออกไปเลี้ยงสังสรรค์อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตชีวา แต่เจ้าดูลมหิมะนี้สิ…” นางพูดด้วยน้ำเสียงสงสารสวีลิ่งอี๋

สืออีเหนียงยิ้มมุมปาก

ใบหน้าท่านแม่ของตัวเองก็ปรากฎขึ้นมาในหัว…

—————-

[1]ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท