“สองพี่น้องออกไปข้างนอกด้วยกันอีกแล้ว!” ไท่ฮูหยินทำสีหน้าผิดหวัง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “งามสังสรรค์วันปกติท่านโหวอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ไป แต่ช่วงนี้กำลังจะปีใหม่ ทูตของแต่ละเมืองถือโอกาสกลับมาคารวะฮ่องเต้ที่เมืองหลวง ท่านโหวไม่ไปเจอพวกเขาไม่ได้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ข้าใช่ว่าจะไม่รู้ แต่ว่าช่วงนี้ที่จวนคึกคัก ข้าไม่อยากให้เขาออกไปข้างนอก”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “รอให้ถึงต้นฤดูร้อนของปีหน้าประเดี๋ยวก็ดีขึ้นเจ้าค่ะ”
ในฤดูใบไม้ผลิ ทูตของแต่ละเมืองจะกลับมารายงานตัวที่เมืองหลวง ซึ่งตามยศฐาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งของสวีลิ่งอี๋นั้น การพบปะสังสรรค์จึงยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“ฤดูร้อนของปีหน้า อากาศอบอุ่นขึ้น เราก็มีที่ให้ไปเที่ยวตั้งมากมาย ใครยังอยากจะให้เขาอยู่ด้วย” ไท่ฮูหยินทำเป็นยิ้มอย่างไม่สนใจ ฮูหยินสามก็มาพอดี
นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดง ม้วนผมมวยดอกโบตั๋น สวมที่คาดผมสีทอง เขียนคิ้ว ปัดแป้ง ถูชาดแดง แต่งตัวยิ่งใหญ่และงดงาม
ดูเหมือนพวกเขาคงจะทะเลาะกัน…จึงอยากจะปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้…ถูกตบหรือ?
สืออีเหนียงแอบคาดเดาในใจแล้วเดินเข้าไปคำนับฮูหยินสาม
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไปไหนมา”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วเดินเข้าไปคำนับไท่ฮูหยิน “อากาศหนาว อยู่ที่เรือนไม่มีอะไรทำ ข้าจึงจัดกล่องข้าวของเจ้าค่ะ” พูดจบก็ก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ “คิดไม่ถึงว่าจะมีเสื้อกั๊กยาวที่สวยงามเช่นนี้ ข้าจึงนำออกมาสวมให้ท่านดู เป็นเช่นไรเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “งามมาก เสื้อผ้าที่งามเช่นนี้ ใส่ตอนปีใหม่ก็ดีเหมือนกัน!”
“ใช่เจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามยิ้ม “ประเดี๋ยวกลับไปต้องเก็บไว้ดีๆ ปีใหม่ค่อยนำออกมาใส่”
ไท่ฮูหยินชี้ให้ฮูหยินสามมองดูสืออีเหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ “เจ้าดูสิ นางถือโอกาสมาระบายกับข้า อยากจะได้เสื้อผ้าใหม่!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าในห้องเก็บของของท่านแม่มีของดีๆ ตั้งกี่อย่าง ไม่สู้ถือโอกาสมอบให้ข้า ช่วงปีใหม่เราสวมเสื้อผ้าที่ท่านมอบให้ไปเยี่ยมญาติๆ จะได้มีหน้ามีตา” พูดจบก็ยิ้มมุมปาก
คนแก่คนเฒ่าที่มีความสามารถเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่อยากเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น
ไท่ฮูหยินหัวเราะ จากนั้นก็พูดกับป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ “ว่าไม่ได้จริงๆ”
“นั่นเป็นของดีของท่าน ทำให้คนหนุ่มสาวอิจฉา” ป้าตู้ยกยอไท่ฮูหยินด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกสบายใจ
ไท่ฮูหยินพอใจ นางบอกเว่ยจื่อ “พรุ่งนี้ไปเปิดห้องเก็บของ นำผ้าทอและผ้าไหมแบบใหม่ที่ราชวังมอบให้ออกมาให้พวกนางเลือก” พูดอีกว่า “เรียกตานหยางมาด้วย เหลือไว้ให้อี๋เจิ้นสักสองสามชุด”
“ไอ๊หยา!” ใบหน้าของฮูหยินสามเต็มไปด้วยความตกใจ อีกทั้งยังดูพูดเกินจริงไม่น้อย “เพราะวาสนาของท่านแม่ ดีจังเลยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้ม “หากท่านแม่เสียดายก็คงไม่ทันแล้วนะเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ
ป้าตู้พูดว่า “ข้าวของของไท่ฮูหยินมีตั้งเยอะแยะมากมาย ขอแค่พวกท่านมีแรงมาขนไปก็พอเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามหันหน้าไปยิ้มให้สืออีเหนียง “เป็นความคิดที่ดี เราต้องทานข้าวให้เยอะๆ หน่อย”
ทำให้คนในห้องต่างพากันหัวเราะ
สวีซื่อฉินสามพี่น้องมาพอดี คารวะผู้อาวุโสเสร็จ ก็รีบถามว่าทุกคนหัวเราะอะไรกัน ป้าตู้เล่าให้พวกเขาฟัง สวีซื่อเจี่ยนก็รีบพูดว่า “ข้าก็อยากตัดเสื้อผ้าใหม่ขอรับ”
ฮูหยินสามยื่นนิ้วที่เรียวยาวออกไปแตะที่หน้าผากของบุตรชายตนด้วยความไม่ชอบที่เขาไม่เอาถ่าน “ข้าทำให้เจ้าขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อใด”
สวีซื่อเจี่ยนพูดจาติดๆ ขัดๆ
สวีซื่อฉินเห็นเช่นนี้ก็รีบยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เหนือเขายังมีเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า เห็นข้าวของของท่านย่าใครจะไม่อยากได้ ข้าเองก็อยากได้ แต่เพราะว่าข้าโตที่สุดจึงไม่กล้าเอ่ยปากขอก็แค่นั้น”
ไท่ฮูหยินยิ้มหน้าบาน “ใช่ ใช่ ไม่เช่นนั้น ท่านแม่ของเจ้าจะเอาแต่คิดถึงของพวกนั้นทำไม!”
จุนเกอที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็พูดว่า “ข้าก็อยากได้ของของท่านย่าขอรับ!”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาไม่น้อย
ทานข้าวเสร็จ ไท่ฮูหยินสั่งให้คนไปส่งสวีซื่อฉินและสวีซื่อวี้ออกไปตามปกติ สืออีเหนียง ฮูหยินสาม สวีซื่อเจี่ยนและแม่นมพาจุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปพักผ่อน จากนั้นก็ขอตัวออกมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว นางนอนน้อยลง ปิดประตูยามซวีแต่ไม่ได้เข้านอนทันที นางมักจะพูดคุย เล่นไพ่กับป้าตู่ เว่ยจื่อหรือไม่ก็เหยาหวง วันนี้ก็เหมือนกัน แต่แค่ไล่สาวใช้ที่อยู่ในห้องออกไปนอน เหลือไว้เพียงป้าตู้คนเดียว
“ไปสืบดูสิ” ความเมตตาและอ่อนโยนที่ปรากฎบนใบหน้าของไท่ฮูหยินเมื่อครู่กลายเป็นความเฉลียวฉลาดดูมีความสามารถ “แม่ทัพของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค นอกจากคุณชายสี่แล้วยังมีผู้ใดที่ออกไปลาดตระเวน แล้วก็ไปถามพ่อบ้านไป๋ด้วยว่าเมื่อวานตอนกลางคืนใครนับบัญชีอยู่กับคุณชายสาม ไปถามบ่าวรับใช้น้อยของคุณชายสามว่าฟั่นเหวยกังกลับมาเมื่อใด ไปดูงิ้วที่ใด คุณชายทั้งสองคนแยกย้ายกับนายพลฟั่นตั้งแต่เมื่อใด”
รอยยิ้มของป้าตู้ก็เปลี่ยนไป นางตอบรับด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เจ้าค่ะ”
ยามซื่อของเช้าวันต่อมา ไท่ฮูหยินนั่งเขียน ‘หัวใจพระสูตร’ อยู่ในเรือนหน่วนเก๋อทางทิศตะวันออกตามปกติ
ป้าตู้เดินเข้ามาเบาๆ
ไท่ฮูหยินที่กำลังนั่งเขียนอยู่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองเลยแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยปากถามว่า
“เป็นเช่นไร”
ป้าตู้นึกถึงข่าวที่ได้มา นางก็อดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คนของทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคบอกว่าไม่ได้มีการส่งคนออกไปลาดตระเวนเจ้าค่ะ พ่อบ้านไป๋บอกว่า วันก่อนคุณชายสามอยู่ในห้องซือฝังคนเดียวทั้งคืน บ่าวรับใช้น้อยคนสนิทของคุณชายสามบอกว่า นายพลฟั่นกลับมาเมื่อสองวันก่อน เชิญท่านโหวไปดูงิ้ว ท่านโหวและคุณชายสามไปถึงตอนยามโหย่ว กลับไปตอนยามซวีและกลับมาถึงจวนตอนยามไฮ่เจ้าค่ะ” นางพยายามเล่าเรื่องที่ตัวเองได้ยินมาให้ไท่ฮูหยินฟังอย่างเรียบง่ายและไม่ใส่อารมณ์ความรู้สึก แต่เสียงของนางกลับเบาลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินจะไม่ได้ยิน จนกระทั่งนางเขียนประโยคสุดท้ายเสร็จ นางถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองป้าตู้ “เก็บไว้แล้วเอาไปให้คุณชายสาม”
ป้าตู้โค้งคำนับและตอบกลับด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยื่นออกไป
ป้าตู้รีบเก็บให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินไปที่ห้องโถงหลักของห้องพระ ก้มหัวให้พระโพธิสัตว์กวนอิมสามครั้ง จุดธูปสามดอก จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปเรือนหน่วนเก๋อกับป้าตู้
“เมื่อวานตอนเย็น ลูกสะใภ้สามทำอะไร” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ป้าตู้อยู่กับไท่ฮูหยินมาเกือบสี่สิบปีแล้ว นางรู้นิสัยของไท่ฮูหยินดี นางไปสืบเรื่องที่ไท่ฮูหยินจะถามมาหมดแล้ว ร่างไว้ในหัวอยู่แล้ว นางถึงได้กลับมารายงานไท่ฮูหยิน ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินไม่ได้ให้ป้าตู้ไปสืบเรื่องนี้มา แต่ป้าตู้นั้นไปแอบถามมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ที่ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องนี้ นางจึงตอบออกมาอย่างง่ายดาย
“ได้ยินมาว่าเย็บปักถักร้อยอยู่ตลอด รอคุณชายสามกลับมาแล้วถึงได้เข้านอนเจ้าค่ะ”
“ลูกสะใภ้สี่ล่ะ”
“บอกให้ท่านป้าที่เฝ้ายามและคนของเฉียวอี๋เหนียงรอท่านโหวที่ประตู นางเองก็เหมือนทุกๆ วัน เข้านอนตอนยามไฮ่เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินทำสีหน้าครุ่นคิด
“เจ้าคิดว่านางไม่รู้หรือว่ายอมทน”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ” ป้าตู้รู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ นางก็ถ่อมตัวลงไม่น้อย “แต่ว่าสองวันก่อนหว่านเซียงไปหาฮูหยินสี่ ตอนกลางคืนท่านโหวก็ออกไปลาดตระเวน แต่วันนี้ตอนเช้าท่านโหวไม่ได้ไปที่ราชสำนักเลยเหมือนเมื่อก่อน แต่ไปทานข้าวเช้าที่เรือนของฮูหยินสี่ก่อน ได้ยินมาว่าตอนที่ทานข้าวเช้า สาวใช้ในห้องต่างพากันออกมาอยู่ข้างนอก” พูดจบนางก็ครุ่นคิด จากนั้นก็พูดเบาๆ “คนที่นั่นคือคนของป้าเถา บ่าวไปสืบมาได้คร่าวๆ ส่วนเรื่องอื่นบ่าวไม่ได้ความเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “ฮูหยินสี่คิดเช่นไรกับป้าเถา”
“พึ่งแต่งเข้ามาได้ไม่นาน พ่อบ้านไป๋ที่ดูแลลานข้างนอกบอกให้ภรรยาของเซี่ยงโถ่วเอ๋อร์ที่เลี้ยงม้าในคอกไปขนของให้ฮูหยินสี่ ผ่านไปไม่นาน หลานสาวของเซี่ยงโถ่วเอ๋อร์ ก็คือคนที่ถูกเรียกว่าฟังเฟยคนนั้น ถูกส่งให้ไปกวาดพื้นในสวนหลังจวน ผ่านไปไม่กี่วันก็เลื่อนนางเป็นสาวใช้ระดับสอง ตอนนี้ได้เงินเดือนเดือนละห้าร้อยอีแปะ ไม่รู้ว่าสะใภ้เซี่ยงจะซาบซึ้งเท่าใด แต่เจอใครก็บอกว่าฮูหยินสี่เป็นคนดี แล้วยังทำขนมให้ฮูหยินสี่ สนิทสนมกับหู่พั่วที่เป็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินสี่ อีกทั้งยังเย็บรองเท้าให้หู่พั่ว สนิทสนมกันอย่างมากเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มมุมปาก “นางช่างฉลาดหลักแหลม”
ป้าตู้ฟังไม่ออกว่าไท่ฮูหยินกำลังชื่นชมฮูหยินสี่หรือว่าสะใภ้เซี่ยงกันแน่ นางจึงยิ้มแล้วตอบรับว่า “ใช่เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินกลับไปนั่งที่เรือนหน่วนเก๋ออีกครั้ง หยิบ‘ วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ ขึ้นมา…
*****
สืออีเหนียงนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง ม่านสีขาวพระจันทร์ที่แขวนอยู่บนหน้าต่างกระจกส่องแสงสีเงิน ทิวทัศน์นอกหน้าต่างช่างงดงาม หิมะสีขาวสะท้อนแสงเข้ามากระทบบนตัวนาง สะท้อนให้เห็นรูปร่างที่ผอมเพรียวราวกับต้นหลิวแต่กลับดูสง่างาม
ลี่ว์อวิ๋นเขย่งเท้าเดินย่องเข้าไป แต่กลับเห็นว่าสืออีเหนียงหยุดเย็บปักถักร้อยแล้ว กำลังจ้องมองดูดอกชากุหลาบแดงที่ปักได้ครึ่งหนึ่งแล้วแขวนอยู่บนราวอย่างเหม่อลอย
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “ฮูหยิน คนของห้องหน่วนฝังมาเปลี่ยนดอกไม้แล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตอบรับแล้วนั่งตัวตรง สายตาของนางกลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม นางยิ้มอย่างอ่อนโยน “ให้พวกนางเข้ามาเถิด!”
ลี่ว์อวิ๋นตอบรับเบาๆ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็พาท่านป้าสองคนเข้ามาคำนับสืออีเหนียง นำดอกบ๊วยเดือนสิบสองที่กำลังเบ่งบานมาเปลี่ยนแทนที่ดอกชากุหลาบแดงที่กำลังร่วงอยู่ในห้อง
ทันใดนั้นในห้องก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามท่านป้าคนนั้นว่า “มีดอกดารารัตน์หรือไม่”
ท่านป้าคนนั้นยิ้มแล้วพูดว่า “มีแน่นอนเจ้าค่ะ! แต่ว่ามันยังไม่ออกดอก หากฮูหยินอยากได้ดอกดารารัตน์ บ่าวจะไปบอกสะใภ้จี้ถิงประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ ผ่านไปสักสองวันจะส่งมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
ดอกไม้ของห้องหน่วนฝังต้องพิถีพิถัน ดอกที่ยังไม่ออกดอกจะเอาเข้ามาไม่ได้
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ให้นางส่งมาให้ข้าสักสองสามกระถาง ข้าดูแลมันเองก็ได้”
ท่านป้าคนนั้นตอบรับทันที วางต้นตงชิงไว้ที่มุมกำแพงกับท่านป้าอีกคนหนึ่ง วางต้นไผ่และว่านหางจระเข้ไว้บนโต๊ะดอกไม้
หู่พั่วเดินเข้ามา ในมือถือกระถางดอกไม้ที่มีดอกพุดตานเสียบอยู่
“ฮูหยิน วางไว้ที่ใดดีเจ้าคะ” นางยิ้มแล้วมองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงเห็นว่าดอกพุดตานนั้นดอกใหญ่ สีแดงเบ่งบานทำให้คนที่เห็นรู้สึกอบอุ่น ทำให้ห้องที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวในฤดูหนาวมีความมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย นางยิ้มและมองไปรอบๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าต่างข้างหลัง “วางไว้ตรงนั้นเถิด!”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินไป วางกระถางดอกไม้ไว้บนตั่งข้างหน้าต่างด้านหลังสืออีเหนียงแล้วพูดเบาๆ “ฮูหยิน ท่านเดาถูกแล้วจริงๆ เรื่องการเปลี่ยนสาวใช้นั้นมีลับลมคมในเจ้าค่ะ!”