ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 127 จัดการ(กลาง)

ตอนที่ 127 จัดการ(กลาง)

ลมหิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ บนหลังคาและยอดต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว มีแค่ใต้ชายคาที่มีโคมสีแดงดวงใหญ่แขวนอยู่ แกว่งไปมาตามสายลม สะท้อนให้พื้นหิมะกลายเป็นสีแดง ราวกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากในเรือน ส่งกลิ่นอายของความครึกครื้น

“…ถือไม้บรรทัดของอาจารย์เต้นรำ แล้วร้องเพลงวีรบุรุษกล้าหาญชาญชัยและทรงเกียรติ อาจารย์เดินเข้ามา น้องสามตกใจแทบตาย ไม้บรรทัดก็ตกลงบนพื้นทันที”

ไท่ฮูหยินหัวเราะแล้วชี้ไปที่สวีซื่อเจี่ยน “เจ้าเด็กคนนี้ ซนจริงๆ”

“ท่านย่า อย่าไปฟังพี่ใหญ่ขอรับ” สวีซื่อเจี่ยนเดินเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน “ไม้บรรทัดไม่ได้ตกลงบนพื้น ข้าเห็นว่าอาจารย์มาแล้ว เลยวางมันลง มันไม่ได้ตกสักหน่อย ข้าวางมันลงต่างหาก…” เขาเอาแต่พูดเรื่องตกลงกับวางมันลง

สามพี่น้องมาคารวะไท่ฮูหยินและผู้อาวุโส มีแค่สืออีเหนียงที่ยืนรับใช้อยู่ข้างๆ นางไม่ได้ระมัดระวังมากเกินไปเหมือนวันปกติ พวกเขาพากันหยอกล้อกันทำให้ไท่ฮูหยินมีความสุข ไท่ฮูหยินเห็นบรรยากาศครึกครื้น แน่นอนว่านางก็หยอกล้อกับพวกเขา และจุนเกอที่เห็นว่าตำแหน่งของตัวเอง วันนี้กลับถูกสวีซื่อเจี่ยนแย่งไป เขาก็บึนปากกระโดดเข้าไปบนหลังของไท่ฮูหยิน เอาใบหน้าเล็กๆ ถูคออ้อนไท่ฮูหยิน

สวีซื่ออวี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม แต่สวีซื่อฉินกลับเดินเข้าไปดึงสวีซื่อเจี่ยน “เจ้าอายุเท่าใดแล้ว ยังจะมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของท่านย่า ระวังท่านย่าจะเหนื่อย!”

ไท่ฮูหยินกอดสวีซื่อเจี่ยนเอาไว้ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ย่าชอบ!”

สวีซื่อเจี่ยนก็เป็นคนรู้ความ รู้ว่าพอแล้วก็ควรหยุด อยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยินครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วไปนั่งลงข้างๆ นาง เขาถามเจินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “วันนี้พี่หญิงทำอะไรขอรับ”

จุนเกอรีบพูดก่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์ “วันนี้พวกเรากระโดดเชือก”

“ทำไมเจ้าถึงเล่นการละเล่นของเด็กผู้หญิงทุกวัน” สวีซื่อเจี่ยนบีบใบหน้าเล็กๆ ของจุนเกอ “สักวันไปเล่นกับข้า เราไปขี่ม้ากัน”

ดวงตาที่ดำราวกับหยกของจุนเกอเต็มไปด้วยความตกใจ “จริงหรือ พี่สามจะพาข้าไปขี่ม้าจริงหรือ”

สวีซื่อฉินหัวเราะ ลูบหัวจุนเกอเบาๆ “เขาเองก็แค่ขี่ม้าไม้…”

“พี่ใหญ่!” สวีซื่อเจี่ยนโมโห เบิกตากว้างมองไปที่สวีซื่อฉิน

สวีซื่อฉินรีบกลั้นหัวเราะ “ก็ได้ๆๆ ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”

ไท่ฮูหยินหัวเราะ จากนั้นก็ถามเว่ยจื่อ “ทำไมคุณชายสามและฮูหยินสามยังไม่มา”

ตอนนี้ถึงยามโหย่วแล้ว ปกติยามนี้ทุกคนต้องมากันครบแล้ว

เว่ยจื่อรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ส่งคนไปเร่งแล้วเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็พูดอีกว่า “บ่าวจะออกไปดูอีกครั้งเจ้าค่ะ!”

จุนเกอเดินไปรอบๆ สวีซื่อเจี่ยน “พี่สาม เราจะไปขี่ม้ากันเมื่อใดขอรับ”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้ม

สวีซื่อเจี่ยนหน้าแดงราวกับผ้าไหม เขาพูดอย่างคลุมเครือ “ถึงตอนนั้นข้าจะไปเรียกเจ้าเอง!”

สืออีเหนียงยิ้มมองดูเด็กๆ เหล่านี้อยู่ข้างๆ แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องที่ซุ้มข้าวต้ม

ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไปถึงประตููฟู่เฉิงแล้วหรือยัง หิมะตกหนักขนาดนี้ ไม่รู้ว่าราษฎรเป็นเช่นไรกันบ้าง ในเมื่อสาวใช้ยังรู้เรื่องสับเปลี่ยนเมล็ดข้าว ไม่รู้ว่ามันแพร่กระจายออกไปแล้วหรือยัง…หวังว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายโดยเร็ว! อย่างน้อยก็รักษาหน้าตาเอาไว้ได้ สำหรับเรื่องอื่นนั้นมันเป็นเรื่องภายในของสกุลสวี ปิดประตูแล้วอะไรมันก็ง่ายขึ้น!

นางกำลังครุ่นคิด ก็เห็นเว่ยจื่อยิ้มแล้วเดินเข้ามาพร้อมกับฮูหยินสาม

สืออีเหนียงตกใจ

ปกติ คุณชายสามและฮูหยินสามจะเข้าออกพร้อมกัน

ไท่ฮูหยินก็แปลกใจ “คุณชายสามล่ะ ทำไมไม่มากับเจ้า”

ฮูหยินสามยิ้มแล้วเดินเข้ามาคำนับไท่ฮูหยิน “สองสามวันนี้คุณชายสามกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ซุ้มข้าวต้ม เขาคอยเฝ้าอยู่ที่ประตููฟู่เฉิงอยู่ตลอด วันนี้หิมะตกหนัก เกรงว่าคงจะกลับมาสาย ข้าส่งคนไปดูแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าอากาศไม่ดี จึงให้คุณชายสามนั่งเสลียงไป”

ไท่ฮูหยินพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปคำนับฮูหยินสาม เด็กๆ ก็พากันเดินเข้าไปคำนับฮูหยินสาม สวีซื่อเจี่ยนเห็นท่านแม่ของตัวเอง เขาก็พูดถึงเรื่องที่สำนักศึกษาอีกครั้ง บรรยากาศช่างอบอุ่น

มีบ่าวรับใช้น้อยเข้ามารายงาน “คุณชายสามบอกว่า ให้ไท่ฮูหยินและทุกท่านทานอาหารกันไปก่อน ไม่ต้องรอขอรับ เขาเจอกับท่านโหว จึงจะออกไปลาดตระเวนด้วยกันขอรับ”

บังเอิญขนาดนี้?

สืออีเหนียงงุนงงไปครู่หนึ่ง

ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่ต้องรอแล้วดีกว่า!”

บรรดาท่านป้าและสาวใช้ก็เข้ามาจัดโต๊ะทานข้าว

ฮูหยินสามพยุงไท่ฮูหยินเข้าไปนั่ง

“ไม่รู้ว่าหิมะจะหยุดตกเมื่อใด!” ไท่ฮูหยินทำท่าทีเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าจะกระทบกับการทำไร่ปีหน้าหรือไม่”

“หิมะตกหนักคือลางที่ดี” ฮูหยินสามยิ้ม “ข้าคิดว่าใช่แน่นอนเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็ใช้ผ้าห่อตะเกียบยื่นให้ไท่ฮูหยิน

ไท่ฮูหยินหยิบตะเกียบมา “วันนี้กินหม้อไฟ ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนก็มานั่งกินด้วยกัน”

คนแก่มักจะชอบความครึกครื้น ทุกคนก็รู้ ยิ่งไปกว่านั้นลูกหลานสกุลสวีก็อยู่ที่นี่ ทุกคนจึงพากันยิ้มแล้วไปนั่งล้อมรอบไท่ฮูหยิน

หม้อไฟเนื้อแกะ นอกจากเนื้อไก่ เป็ด ปลาแล้ว ก็ยังมีถั่วงอกสีเหลือง แครอท กะหล่ำปลีและแตงกวาดิบ

อากาศแบบนี้แต่บนโต๊ะทานข้าวสามารถมีอาหารเช่นนี้ได้ คงทุ่มเทไปไม่น้อย

เด็กๆ เห็นเช่นนี้ก็มีความสุข แม้แต่สวีซื่ออวี้ที่มีท่าทีสุขุมอยู่ตลอดก็ยังหัวเราะ

ไท่ฮูหยินมองไปที่ฮูหยินสาม สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความพอใจ “ลำบากเจ้าแล้ว”

ฮูหยินสามยิ้มอย่างอ่อนโยน สายตามีความภาคภูมิใจ “ข้าก็แค่ทำตามที่ท่านชอบ เรื่องแค่นี้ไม่ลำบากหรอกเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็มองมาที่สืออีเหนียง

สืออีเหนียงยิ้มให้นาง แต่ในใจนั้นยังคงไม่สบายใจ

นางอยากจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าวันหนึ่งสืออีเหนียงได้เป็นคนดูแลจวน การเปรียบเทียบของคนก่อนและคนหลัง ตัวเองทำได้ดีคือเรื่องที่สมควรทำ แต่หากตัวเองทำได้ไม่ดีก็คือไม่มีความสามารถ…แม้แต่ป้าเถา ก็เคยมาพูดเรื่องนี้กับนาง บอกว่าสองสามเดือนที่ฮูหยินสามเป็นคนดูแลจวน ไล่คนออกไปแล้วไม่น้อย ค่าใช้จ่ายก็น้อยลงกว่าตอนที่หยวนเหนียงเป็นคนดูแลจวน ท่านป้าของแต่ละเรือน ตอนแรกก็แค่เห็นแก่หน้าของไท่ฮูหยิน แต่ตอนนี้กลับพากันชื่นชมว่านางมีความสามารถ ถึงขั้นมีคนบอกว่าฮูหยินสามเสียเปรียบตรงที่ไม่ใช้บุตรสาวของภรรยาเอก

แต่สืออีเหนียงไม่ได้กังวลมากนัก

คำที่บอกว่าลดจำนวนคนหรือลดค่าใช้จ่ายลง จะว่าไปแล้วมันคือการปฏิรูปใหม่ ตราบใดที่มีการปฏิรูปใหม่ เช่นนั้นก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ตราบใดที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นก็ต้องมีคนไม่พอใจ… เหมือนกับการปฏิรูปของอานอ๋อง ถึงแม้ว่าทุกคนจะรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อมันกระทบกับผลประโยชน์ของตน เกรงว่าคำที่ว่าดีก็ไม่ได้ดีขนาดนั้นแล้ว

ไท่ฮูหยินกำลังบอกให้สาวใช้รับใช้เด็กๆ ทานข้าว จึงไม่มีใครสังเกตพวกนางสองคน นางแค่ถามว่า “ส่งไปให้ตานหยางแล้วหรือ”

ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดว่า “หัวไชเท้าและแตงกวาเป็นของเย็น กลัวว่านางกินแล้วจะไม่สบายตัว จึงส่งแต่ละอย่างไปเพียงเล็กน้อย”

ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความพอใจอีกครั้ง

สวีซื่ออวี้ จุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ พวกเขาตักอาหารไปนั่งอีกที่หนึ่ง

ทานข้าวเสร็จ ไท่ฮูหยินก็เดินออกไปส่งสวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้ที่ประตูด้วยตัวเอง พูดกับสาวใช้ซ้ำๆ ว่า“ระมัดระวังด้วย อย่าให้ลื่นเชียว!”

สาวใช้ก็ไม่กล้าที่จะประมาท พวกนางตัวสั่นแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” แต่สวีซื่อฉินกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ เราโตขนาดนี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะลื่นก็ไม่เป็นอันใดขอรับ”

“พูดจาเหลวไหล” ฮูหยินสามบ่นอยู่ข้างๆ “หากล้มไปโดนอะไรเข้ามันไม่ใช่เรื่องสนุก!”

ดูเหมือนว่าสวีซื่อฉินจะกลัวท่านแม่บ่น เขาจับแขนสวีซื่ออวี้แล้วก็เดินออกไปข้างนอก “ท่านย่า พวกเราไปแล้วนะขอรับ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาคารวะท่าน!”

“เด็กคนนี้…” ฮูหยินสามกระทืบเท้าด้วยความโมโห

“เด็กที่กำลังจะโตก็เป็นเช่นนี้แหละ!” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วมองไปที่สองพี่น้องที่กำลังเดินออกไปพร้อมกับโคมไฟแดง “ตอนนั้นคุณชายสี่ฟังข้าบ่นก็เป็นเช่นนี้!”

สืออีเหนียงตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินสาม สายตาของนางมีความตกใจเช่นกัน

“เหมือนท่านโหวก็ดีสิเจ้าคะ!” นางยิ้มหน้าบาน “มีความสามารถเหมือนท่านโหว มีข้าวทานเจ้าค่ะ!”

ไท่ฮูหยินหัวเราะ สาวใช้ก็พยุงนางเข้าไปในห้อง

ฮูหยินสามกระซิบกับไท่ฮูหยินเบาๆ “ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่านเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็มองมาที่สืออีเหนียง

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้าไปชงชาให้ท่านเจ้าค่ะ” แล้วออกไปอยู่ที่ห้องเอ่อร์ฝังกับเว่ยจื่อ

เว่ยจื่อจะให้สืออีเหนียงชงชาได้เช่นไร นางเชิญสืออีเหนียงไปนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ บรรดาสาวใช้พากันยกถาดไฟเข้ามา เว่ยจื่อชงชาให้สืออีเหนียงก่อน จากนั้นถึงได้ชงชาให้ไท่ฮูหยิน

มีสาวใช้ด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าประตูห้องเอ่อร์ฝัง

เว่ยจื่อขมวดคิ้ว จากนั้นก็ชงชาต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถึงแม้ว่าพวกนางจะเป็นสาวใช้ แต่ก็มีสังคมเป็นของตัวเอง

สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยกชาแล้วเดินไปที่ห้องของไท่ฮูหยิน

สาวใช้ที่อยู่ในห้องออกมาข้างนอกหมดแล้ว ฮูหยินสามก็ดูเหมือนจะพูดเสร็จแล้ว นางกำลังถือค้อนเหม่ยเหรินทุบนวดขาให้ไท่ฮูหยิน

เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ไท่ฮูหยินก็พูดว่า “เรื่องนี้ เจ้าปรึกษากับสืออีเหนียงเถิด เพราะนางเป็นแม่ใหญ่ของเด็กๆ”

สืออีเหนียงตกใจ

ฮูหยินสามยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “ข้าเห็นว่าสาวใช้ในเรือนของฉินเกอและอวี้เกอไม่เด็กแล้ว ข้ากลัวว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงอยากจะปล่อยพวกนางออกไปเร็วๆ หน่อย…”

จะทำเรื่องอันใดอีกหรือ

สืออีเหนียงยกชาไปให้ไท่ฮูหยิน นางยิ้มแล้วพูดว่า “ปกติอวี้เกออยู่ที่เรือนข้างนอกกับฉินเกอ ข้าไม่ค่อยได้สนใจพวกเขา จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ รบกวนพี่สะใภ้สามแล้วเจ้าค่ะ” ขีดเส้นความรับผิดชอบของตัวเองให้ชัดเจนก่อนแล้วพูดว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้สามคิดว่าควรทำเช่นนี้ ข้าคิดว่าคงจะเป็นเรื่องที่สำคัญ อวี้เกอก็ทำตามฉินเกอเถิดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เอาความรับผิดชอบเรื่องการเปลี่ยนสาวใช้โยนให้กับสวีซื่อฉินบุตรชายของฮูหยินสาม

นางพูดแล้วมองไปที่ไท่ฮูหยิน “หากตกลงตามนี้ พรุ่งนี้ข้าจะเริ่มช่วยอวี้เกอหาสาวใช้ที่มีความสามารถสักสองสามคน” ไม่ว่าฮูหยินสามอยากจะทำอะไร จะให้สาวใช้และท่านป้าของนางเป็นคนดูแลอวี้เกอไม่ได้ เพราะเขาเป็นบุตรชายของสวีลิ่งอี๋ บุตรชายคนโตของคุณชายสี่ ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องๆ “ถึงตอนนั้นส่งมาฝึกฝนที่เรือนของท่านก่อนแล้วค่อยส่งไปรับใช้ที่เรือนของอวี้เกอ” ให้ไท่ฮูหยินเป็นคนดูแลอวี้เกอ หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดเพราะถูกฮูหยินสามฉวยโอกาสไป ความรับผิดชอบของตัวเองก็จะได้น้อยลง

ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าสับสน

ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ในเมื่อสืออีเหนียงเห็นด้วย เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ก่อนปีใหม่ก็จัดการเรื่องนี้เสีย”

พวกนางสองคนตอบรับ “เจ้าค่ะ”

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท