ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 132 สาวใช้

ตอนที่ 132 สาวใช้

สืออีเหนียงมองดูสาวใช้สูงวัยที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องอย่างเงียบๆ หู่พั่วเองก็เงียบเช่นกัน จัดดอกไม้เรียบร้อยแล้วก็ดูความเป็นระเบียบซ้ายขวา เมื่อสาวใช้ทั้งสองคนคำนับสืออีเหนียงแล้วเดินถอยออกไป หู่พั่วจึงเผยให้เห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นออกมา

“ข้างกายคุณชายน้อยใหญ่มีสาวใช้ชื่อว่าเป่าเตี๋ย เป็นน้องสาวแท้ๆ ของสาวใช้คุณหนูใหญ่ของพวกเราที่ชื่อว่าเป่าหลาน หน้าตาสะสวยอีกทั้งยังมีไหวพริบเป็นอย่างมาก เป็นสาวใช้อันดับหนึ่งในเรือนคุณชายน้อยใหญ่” หู่พั่วพูดเสียงเบา “ตามที่ป้าเซี่ยงบอกมา เมื่อไม่กี่วันก่อนเป่าหลานได้ออกเรือน พวกเราได้ทำตามกฎของจวนโดยการให้เงินสิบตำลึงเป็นของขวัญใส่ในหีบ แต่คุณชายน้อยใหญ่กลับให้เงินนางยี่สิบตำลึง เป่าหลานดีใจเอาแต่เอ่ยปากชมกับเป่าเตี๋ยว่าจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน หลายวันมานี้หิมะตก เป่าหลานสุขภาพไม่ค่อยดี จึงต้องกินรากบัวบำรุงร่างกาย ว่ากันว่าคนในเรือนเดียวกันเห็นว่าผงรากบัวนั้นบรรจุด้วยกล่องกระดาษที่มีตราประทับของกรมพระราชวัง มีกลิ่นหอมหวานลอยออกมาราวกับเป็นผงรากบัวเดียวกันกับที่ไท่ฮูหยินทาน ตอนนี้ทุกคนในเรือนลือกันว่าปีนี้คุณชายน้อยใหญ่ก็อายุสิบสี่ปีแล้ว เป่าเตี๋ยก็อายุสิบห้าปีเต็มแล้ว เกรงว่าคงจะถูกรับเป็นอนุเจ้าค่ะ”

เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็เข้าใจในทันที “ดังนั้นฮูหยินสามเองก็ได้ยินข่าวลือนี้ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะให้เป่าเตี๋ยมาเป็นอนุ นางต้องการที่จะเปลี่ยนสาวใช้ข้างกายของคุณชายน้อยทั้งหมด แต่เกรงว่าจะมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป จะลากคุณชายน้อยทั้งสองลงน้ำไปด้วย สองพี่น้องจึงต้องเปลี่ยนสาวใช้ข้างกายทั้งหมด”

“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่ฮูหยินพูดเจ้าค่ะ” หู่พั่วยิ้มแล้วพูดต่อเบาๆ ว่า “ป้าเซี่ยงยังบอกอีกว่า การที่เป่าเตี๋ยไปรับใช้คุณชายน้อยใหญ่ได้ก็เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ ตอนนั้นฮูหยินสามไม่ชอบที่เป่าเตี๋ยดูสะสวยเกินไป จึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เป่าเตี๋ยทำงานอย่างขยันขันแข็งและยังเป็นคนปากหวาน นางปรนนิบัติรับใช้คุณชายน้อยใหญ่อย่างสุดความสามารถ ฮูหยินสามจึงค่อยๆ เริ่มชอบนาง แล้วยังเคยให้แหวนทองสองวง ปิ่นปักผมประดับทับทิมและไข่มุกจากทางใต้แก่เป่าเตี๋ย ถือว่านางเป็นหัวหน้าสาวใช้ในเรือนของคุณชายน้อยใหญ่เจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงอดส่ายหน้าไม่ได้ “ข้าได้เพียงแต่หวังว่านางจะไม่มีจุดจบเหมือนกับตี้จิ่นก็พอแล้ว”

เมื่อหู่พั่วได้ยิน แสงในแววตาก็หม่นลง อารมณ์ก็เริ่มเศร้าหมอง

เสียงหัวเราะดั่งกระดิ่งเงินต้องลมค่อยๆ ใกล้เข้ามา

ไม่รู้ว่าเหตุใดเสียงที่ปกติฟังแล้วไพเราะเป็นอย่างมากได้กลายเป็นเสียงเล็กแหลมที่ฟังแล้วรำคาญหู ทันใดนั้นหู่พั่วก็อดกลั้นความโกรธนั้นไว้ไม่ได้ พูดพึมพำว่า “ปินจวี๋ทำตัวไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย ดีนะที่เป็นท่าน หากไปเจอคนอื่นเข้าเกรงว่าจะถูกฝ่ามือของบรรดาท่านป้าตบหน้าไปนานแล้วเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อทุกคนมีความสุขบรรยากาศในห้องก็จะมีชีวิตชีวา ไหนๆ ตอนนี้ท่านโหวก็ไม่อยู่ นางเองก็เป็นคนรู้ขอบเขต เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก”

หู่พั่วแอบรู้สึกเสียใจ อยากจะอธิบายสักสองสามประโยค แต่ปินจวี๋ได้แหวกม่านเข้ามาแล้ว ในมือถือรองเท้าคู่หนึ่ง

“ฮูหยิน ท่านดูสิเจ้าคะ!”

รองเท้าผ้าไหมสีแดง ตรงหัวรองเท้าประดับด้วยหยกและใช้เส้นไหมสีทองปักรูปผีเสื้อที่กำลังกางปีก งดงามแพรวพราวเป็นอย่างมาก

สืออีเหนียงอดประหลาดใจไม่ได้

ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ตงชิงเป็นคนทำให้ท่าน สวยมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ” พูดพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้เล็กที่อยู่ข้างๆ เพื่อสวมรองเท้าให้สืออีเหนียง “ตอนนี้พี่ตงชิงไปไหนไม่ได้ วันๆ จึงได้แต่ทำงานปักอยู่ที่เรือน แม้แต่พวกเราก็ยังได้รับ พี่ตงชิงทำถุงเท้าลายดอกสีส้มที่สวยงามเป็นอย่างมาก บ่าวเตรียมจะเอาไว้ใส่ช่วงเทศกาลตรุษจีนเจ้าค่ะ”

ทันทีที่นางพูดจบ ใบหน้าของตงชิงก็แดงระเรื่อ เดินเข้ามาแล้วพูดอย่างเขินอายว่า “บ่าวยังทำไม่เสร็จดี ตรงส้นเท้ายังต้องประดับด้วยผีเสื้อตัวเล็กๆ อีกหนึ่งตัวเจ้าค่ะ”

ระหว่างที่พูด ปินจวี๋ได้ใส่รองเท้าให้สืออีเหนียงแล้ว “พอดีหรือไม่เจ้าคะฮูหยิน”

สืออีเหนียงมองดูรองเท้าที่สวมใส่อยู่ แล้วหันไปมองปินจวี๋กับตงชิงที่แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ยังมีไท่ฮูหยินที่อาวุโสกว่าข้า ข้าจะสวมใส่รองเท้าที่งดงามเช่นนี้ได้อย่างไร”

ตงชิงชะงักไปครู่หนึ่ง “บ่าว บ่าว…คิดว่าใกล้ฉลองตรุษจีนแล้ว ดังนั้น…”

เมื่อปินจวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็หุบยิ้ม ระงับความดีใจแล้วยืนขึ้นโดยไม่กล้าพูดอะไร

ทันใดนั้นทั้งห้องก็เงียบงัน

มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ฮูหยิน ป้าเถามาเจ้าค่ะ”

หู่พั่วรีบหันไปบอกปินจวี๋ “เก็บรองเท้าเร็วเข้า”

เมื่อปินจวี๋ได้ยินดังนั้นก็รีบถอดรองเท้าให้สืออีเหนียงอย่างลนลาน จะหนีบไว้ใต้แขนก็รู้สึกไม่เหมาะสม จะเอาไว้ในเสื้อก็กลัวจะพองออกมา จะยัดเข้าไปในแขนเสื้อรองเท้าก็ใหญ่ไปหน่อย

เมื่อหู่พั่วเห็นดังนั้นจึงคว้ารองเท้าข้างหนึ่งมายัดใส่แขนเสื้อตัวเอง

เมื่อเห็นว่าพวกนางหวาดกลัวเช่นนี้ สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรแสดงท่าทีไม่พอใจให้พวกนางเห็น มีเรื่องอะไรก็ควรพูดกันดีๆ ก็พอแล้ว นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ต่อไปนี้ทุกคนแค่ต้องระวังให้มากๆ ก็พอแล้ว” จากนั้นก็หันไปพูดกับตงชิงที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ “กฎในจวนนั้นเคร่งครัดยิ่งกว่าตอนที่อยู่สกุลหลัว เพียงแต่ว่าไท่ฮูหยินเป็นคนใจกว้างจึงไม่เอาความเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อยิ่งเป็นเช่นนี้ เราก็ยิ่งต้องทบทวนตัวเอง ยิ่งต้องมีวินัยในตัวเอง ยิ่งต้องเคารพกฎจึงจะถูก อย่าให้ส่วนนี้กลายเป็นจุดอ่อนให้ผู้อื่นว่าเอาได้”

เมื่อตงชิงได้ยินเช่นนั้นก็รีบพยักหน้าแล้วสัญญาว่า “ฮูหยิน ต่อไปนี้บ่าวจะไม่ทำอีกแล้วเจ้าค่ะ”

นางยอมรับผิดต่อหน้าสาวใช้ระดับเดียวกันมากมายเช่นนี้ อย่างไรตัวนางก็ต้องเห็นแก่หน้านางบ้าง จะว่าไปแล้วนางก็เป็นสาวใช้คนแรกบนโลกใบนี้ของตน

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นวันตรุษจีน ก็ควรจะสวมรองเท้าคู่ใหม่ เจ้าช่วยทำรองเท้าพื้นสีเขียวแล้วปักด้วยดอกเหมยสีชมพูให้ข้าได้หรือไม่”

ตงชิงยิ้มขึ้นมาทันที “ท่านวางใจได้ สี่ห้าวันก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงรู้สึกปวดหัวกับเรื่องนี้เล็กน้อย

หลังจากที่ตงชิงมาอยู่ที่จวนสวี ก็ทำตัวผ่อนคลายลง ไม่มีไหวพริบต่อเรื่องต่างๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

ดูท่าแล้วควรจะรีบจัดการเรื่องของนางกับว่านต้าเสี่ยนให้เร็วที่สุด!

สืออีเหนียงพยักหน้า “ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว”

ทั้งสามคนรีบตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เจ้าค่ะ”

สาวใช้น้อยเชิญป้าเถาเข้ามา

ทั้งสามคนเดินเรียงกันผ่านป้าเถาออกไป

ป้าเถาเห็นพวกนางท่าทางแปลกๆ จึงถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกนางมาช่วยข้าจัดห้อง”

เมื่อป้าเถาเงยหน้าขึ้นก็เห็นต้นพุดตานที่อยู่ข้างหลังสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างสวยงามเสียจริง คนของห้องหน่วนฝังมาหรือเจ้าคะ”

สืออีเหนียงพยักหน้า ให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้เล็กมาวางไว้ข้างหน้าเตาผิงให้นางนั่ง จากนั้นก็ให้สาวใช้น้อยยกชาร้อนมาให้นาง

“ดูจากสีหน้าเบิกบานของท่านป้าแล้ว แสดงว่าสาวใช้ของคุณชายน้อยสองมีที่ไปแล้วใช่หรือไม่”

ป้าเถาใบหน้ายิ้มแย้ม หยิบกระดาษพับแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้สืออีเหนียง “ท่านดูนี่สิเจ้าคะ!”

สืออีเหนียงเปิดกระดาษออก บนกระดาษเขียนไว้สี่ชื่อ “เหวินจู๋ ชิ่นเซียง เถาหลิ่ว เหลียนเจียว!”

“เหวินจู๋ผู้นี้เป็นน้องสาวของจู๋ซิ่ว” ป้าเถาแนะนำต่อ “ชิ่นเซียงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเหมยชิ่น เถาหลิ่วเป็นลูกพี่ลูกน้องของเถาหรุ่ย ส่วนเหลียนเจียวนั้นเป็นน้องสาวของเหวินเหลียนเจ้าค่ะ”

เดิมทีเหมยชิ่นกับจู๋ซิ่วเป็นสาวใช้ระดับสองของเรือนหยวนเหนียง เถาหรุ่ยเป็นสาวใช้ระดับสาม ส่วนเหวินเหลียน…นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าเป็นสาวใช้น้อยที่นางให้ไปเรียกป้าเถามาในวันที่หยวนเหนียงไปพบกับเฉียวเหลียนฝังและสวีลิ่งอี๋ที่ลานสวนเล็ก ทั้งหมดเป็นสาวใช้ของหยวนเหนียงมาก่อน

ความจงรักภักดีย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าพวกนางนั้นจงรักภักดีต่อป้าเถาหรือว่าจงรักภักดีต่อตัวเองกันแน่ นี่ยังเป็นเรื่องคลุมเครือ!

นางยิ้มพลางวางกระดาษลงบนโต๊ะ นึกถึงเหวินเหลียนที่เฉลียวฉลาดผู้นั้นแล้วถามว่า “เหวินเหลียนสบายดีหรือไม่ ครั้งที่แล้วที่เรียกบรรดาสาวใช้ออกมาข้าไม่เห็นนางเลย”

ป้าเถาใช้สายตาประมาณว่า ‘ท่านน่าจะเข้าใจ’ มองไปที่สืออีเหนียง “เด็กคนนั้นโชคร้ายได้เสียชีวิตเพราะลมหนาวเมื่อเดือนสามปีที่แล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็รู้สึกใจหาย เงียบไปอยู่ครู่ใหญ่

“…ดังนั้นแม่ของนางจึงได้มาขอร้องบ่าวให้น้องสาวของนางได้ทำงาน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะให้ทำตำแหน่งอะไรเจ้าค่ะ” ป้าเถาไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติของสืออีเหนียงจึงอธิบายต่อว่า “บ่าวก็เคยเห็นเด็กคนนั้นมาก่อน แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นคนซื่อสัตย์ จึงได้จัดให้ไปอยู่เรือนคุณชายน้อยสอง คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นตอนบ่ายก็ไปพาคนมาให้ข้าดูเสียหน่อย”

ป้าเถาพูดอย่างลังเลว่า “ยังมีอีกหนึ่งเรื่องเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงตั้งใจฟัง

“เมื่อว่านเว่ยจื่อมาหาบ่าว อยากจะมาของานให้น้องสาวของนางที่ชื่อว่าเถาฮวา” ป้าเถาเอ่ยอย่างครุ่นคิด “แต่บ่าวกังวลว่าหากเถาฮวาไปอยู่เรือนคุณชายน้อยสองก็จะได้ใกล้ชิดกับฉินอี๋เหนียง…ท่านว่าเรื่องนี้…”

มิน่าล่ะวันนั้นจึงได้มีสาวใช้น้อยเอาแต่หาเว่ยจื่อ

“เช่นนั้นก็เอามาให้ข้าดูตัวด้วยเลย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “อย่างไรเสียสุดท้ายแล้วคนที่ตัดสินใจก็คือไท่ฮูหยิน”

ป้าเถายิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง “…คราวนี้ฮูหยินสามต้องการเปลี่ยนสาวใช้ให้คุณชายน้อยทั้งสอง จะว่าไปแล้วสาเหตุก็มาจากคุณชายน้อยใหญ่”

เรื่องนี้หู่พั่วได้พูดกับนางแล้ว ใจหนึ่งนางไม่อยากให้ป้าเถารู้ว่านางรู้มาจากแหล่งข่าวอื่นแต่อีกใจหนึ่งก็อยากจะฟังสิ่งที่ป้าเถาพูดว่าจะแตกต่างจากหู่พั่วหรือไม่ เพื่อดูว่ามีส่วนใดที่ตนได้ละเลยไป

“หมายความว่าอย่างไร” นางทำท่าทางอยากรู้อยากเห็น

ป้าเถายิ้มแล้วพูดว่า “ท่านจำเป่าหลานสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ได้หรือไม่เจ้าคะ”

สืออีเหนียงพยักหน้า

“น้องสาวของนางคือเป่าเตี๋ยเจ้าค่ะ ตอนนั้นได้ถูกคุณหนูใหญ่ให้ไปอยู่ที่เรือนคุณชายน้อยใหญ่ หลายปีผ่านไปหน้าตาของนางก็สวยสดงดงามยิ่งขึ้น คุณชายน้อยใหญ่ถูกใจนางเป็นอย่างมาก ฮูหยินสามของพวกเราจึงรู้สึกไม่สบายใจอยากจะให้นางออกไป แต่ก็กลัวว่าจะมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปถึงหูไท่ฮูหยิน ดังนั้นจึงได้อาศัยโอกาสที่สาวใช้สองคนของคุณชายน้อยสองอายุเยอะแล้ว จึงเตรียมที่จะเปลี่ยนเอาเป่าเตี๋ยออกไปด้วยเจ้าค่ะ”

เหมือนกันกับข่าวที่หู่พั่วได้มา แต่ยังมีจุดที่แตกต่างกันออกไป…

นางถามป้าเถาอย่างสงสัยว่า “เป่าหลานกับเป่าเตี๋ยสองพี่น้องสนิทสนมกันมากใช่หรือไม่”

ป้าเถาพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นฮูหยินสามจะใจร้อนเช่นนี้หรือเจ้าคะ”

เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็อดส่ายหัวไม่ได้

ทัศนคติที่หยวนเหนียงมีต่อลูกๆ ของคนอื่นนั้นเหมือนกับนายหญิงใหญ่จริงๆ

ทั้งสองพูดคุยกันสองสามประโยค สืออีเหนียงเห็นว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้วจึงให้ป้าเถาไปจัดการเรื่องที่จะเรียกเหวินจู๋และคนอื่นๆ มาพบในตอนบ่าย จากนั้นก็เรียกลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วเข้ามาปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะไปหาไท่ฮูหยิน

หู่พั่วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ฮูหยิน บ่าวมีเรื่องจะพูดกับท่านเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงมักจะไปหาไท่ฮูหยินตรงเวลาเสมอ

“เอาไว้ค่อยพูดระหว่างตอนเดินไปเรือนไท่ฮูหยินเถิด”

หู่พั่วพยักหน้าแล้วเดินตามสืออีเหนียงออกจากเรือน

ลี่ว์อวิ๋นกับหงซิ่วเดินตามอยู่ไกลๆ อย่างรู้งาน

“เฉียวอี๋เหนียงร้องไห้ตั้งแต่ท่านโหวออกจวนไปตอนเช้าจนมาถึงตอนนี้เจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก หรือเป็นเพราะว่าสวีลิ่งอี๋มาทานอาหารเช้าที่เรือนตนตั้งแต่เช้าตรู่?

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ซิ่วหยวนให้เจ้ามาบอกข้างั้นหรือ”

“เปล่าเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดต่อว่า “สองวันก่อนหน้านี้ท่านได้มอบชิวอวี่มาให้บ่าวเรียกใช้ไม่ใช่หรือเจ้าค่ะ ตอนนี้นางสนิทสนมกับสาวใช้น้อยคนหนึ่งของเฉียวเหลียนฝังเป็นอย่างมาก สาวใช้น้อยผู้นั้นเป็นคนพูดเจ้าค่ะ”

“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็พอแล้ว”

เรื่องปลอบใจสาวงามยกให้เป็นหน้าที่ของสวีลิ่งอี๋จะดีกว่ากระมัง

สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกเรื่องที่จะให้น้องสาวของเว่ยจื่อไปทำงานที่เรือนคุณชายน้อยสองกับหู่พั่ว จากนั้นก็กำชับนางว่า “เจ้ารีบไปหาเว่ยจื่อตอนที่ข้าไปหาไท่ฮูหยิน บอกว่าข้ารู้เรื่องน้องสาวของนางแล้ว ตอนบ่ายจะพาคนไปให้ไท่ฮูหยินดู รีบไปก่อนที่เว่ยจื่อจะได้รับน้ำใจจากป้าเถา”

“ฮูหยินวางใจได้เจ้าค่ะ” หู่พั่วรีบพูดต่อว่า “บ่าวจะจัดการให้ดีที่สุด” จากนั้นก็พูดอย่างกังวลว่า “ถ้าหากน้องสาวของเว่ยจื่อไปอยู่ที่เรือนคุณชายน้อยสองจริงๆ เว่ยจื่อจะไม่ลำเอียงไปทางฉินอี๋เหนียงหรือเจ้าคะ…”

พูดเช่นเดียวกับป้าเถาเลย

สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย

หู่พั่วไหวพริบพัฒนาได้รวดเร็วจริงๆ

“มีไท่ฮูหยินอยู่มิใช่หรือ” สืออีเหนียงพูดอย่างลังเลว่า “ปีนี้เว่ยจื่อคงจะอายุสิบแปดปีแล้ว หากเป็นป้าตู้ เช่นนั้นพวกเราจะต้องวางแผนให้รอบคอบ”

หู่พั่วรีบพยักหน้า

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท