ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 130 ผลพวง(กลาง)

ตอนที่ 130 ผลพวง(กลาง)

เป็นสามีภรรยกันมานานกว่าสิบปี ทั้งสองต่างก็รู้จักกันดี

ยามที่สวีลิ่งหนิงหายโมโห ฮูหยินสามจึงรู้สึกได้ทันที

ความรู้สึกผิดและความหวาดกลัวของเมื่อครู่ก็หายวับไป

นางพุ่งเข้าไป “ท่านตบข้า ท่านตบข้า…ข้าคลอดลูกเลี้ยงลูกให้ท่าน ข้าลำบากเช่นนี้ก็เพื่อท่าน แต่ท่านกลับตบข้า…” ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็ไม่กล้าตบหน้าสวีลิ่งหนิง กลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น นางจับไหล่ของเขา

ความเจ็บปวดที่ร้อนแรงทำให้สวีลิ่งหนิงได้สติกลับมา

เขาจับมือฮูหยินสามเอาไว้แล้วพูดเบาๆ “พอได้แล้ว เจ้าอยากให้ทุกคนรู้เช่นนั้นหรือ”

“ทุกคนรู้หมดแล้วไม่ใช่หรือ” ฮูหยินสามน้ำตาคลอ นางน้ำตาไหลออกมา “ยังกลัวผู้ใดรู้อีก!”

“เจ้าก็รู้ว่าเรื่องที่เจ้าทำมันทุเรศแค่ไหน!” สวีลิ่งหนิงมองดูภรรยาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ลากนางออกไปข้างนอก “เจ้าเก็บข้าวเก็บของ เราไปรับโทษกับท่านแม่ประเดี๋ยวนี้”

ชิวหลิงที่ยืนมองดูลมอยู่ใต้หน้าต่างได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางรีบสะบัดมือให้สาวใช้และท่านป้าที่ยืนอยู่บนทางเดินไกลๆ

สาวใช้และท่านป้าเห็นเช่นนี้ก็รีบเดินย่องออกไปข้างนอกเบาๆ

ชิวหลิงครุ่นคิด จากนั้นก็ไปปิดประตูฉุยฮวา หันกลับมาบอกสาวใช้และท่านป้าที่อยู่ในเรือนว่า “กลับไปที่ห้องให้หมด ปิดประตูให้แน่น หากข้าจับได้ว่าใครแอบดู ข้าจะไปบอกให้ฮูหยินจัดการทันที!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด

สาวใช้และท่านป้ามองหน้ากันและกัน ตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตัวเองและปิดประตู

ชิวหลิงส่ายหน้าเบาๆ กลับไปยืนมองลมที่หน้าประตูเรือนหลักอีกครั้ง

และฮูหยินสามที่อยู่ในห้องได้ยินสวีลิ่งหนิงพูดเช่นนี้ นางก็ตกใจขึ้นมาทันที

“เรื่องทุเรศ? ข้าทำเรื่องทุเรศอันใด ในจวนหลังนี้ใครๆ ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองกันทั้งนั้น ข้าไปขโมยหรือไปแย่งใครมา ข้าทำเรื่องทุเรศ? แล้วเรือนของคุณชายสองกับคุณชายห้าเล่า เปิดร้านค้าบนถนนซีต้าและถนนตงต้า กลับเป็นเรื่องที่สง่าผ่าเผยแต่ข้ากลับทำเรื่องทุเรศ? สกุลสวีของพวกเจ้าก็แค่เห็นว่าข้าสถานะต่ำต้อย เกิดเรื่องขึ้นจึงหยียบย่ำข้า!” นางยิ่งพูดก็ยิ่งกระวนกระวาย “ให้ข้าไปรับโทษกับท่านแม่น่ะหรือ ให้มาดูเรื่องทุเรศที่ข้าทำ? ราษฎรที่ประสบภัยพวกนั้นแค่มีข้าวกินก็พอแล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว หิมะในเดือนหกกับข้าวรามันแตกต่างอย่างไรกัน ไม่ใช่สกุลเราสกุลเดียวที่มีข้าวรา เจ้าคิดว่าสกุลของเวยเป่ยโหวสะอาดสะอ้านนักหรือ ข้าทำเช่นนี้ ก็แค่อยากจะช่วยสกุลสวีประหยัดเงิน…ทุเรศอะไรกัน?”

“เจ้ายังจะแก้ตัว!” สวีลิ่งหนิงโมโหจนหน้าซีด “จะเอาสกุลของเราไปเทียบกับคนพวกนั้นได้เช่นไร สกุลเราเป็นถึงสกุลญาติ หากถูกคนจับได้มันไม่มีผลที่ดี ถึงขั้นต้องสูญเสียตำแหน่งบรรดาศักดิ์…”

“สกุลญาติ! สกุลญาติ! เจ้าก็รู้จักแค่สกุลญาติ” ความคับข้องใจที่ซ่อนอยู่ในใจของฮูหยินสามไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป “เรื่องดีๆ ไม่เคยสนใจพวกเรา แต่เรื่องร้ายๆ กลับให้เรารับผิดชอบด้วยกัน ทำไม ทำไม ข้าจะแยกสกุลกับพวกเขา เจ้าเป็นบุตรอนุ ตามหลักแล้วเราควรย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ทำไมต้องไปยกย่องพวกเขา” นางเช็ดตาแล้วร้องไห้เบาๆ “สองสามปีนี้ข้าลำบากเพียงใด ท่านพ่อเป็นบุตรอนุ ท่านลุงอยากได้หน้าไม่ยอมแยกสกุล แต่กลับให้เงินแค่ปีละยี่สิบตำลึง สกุลมีหน้ามีตา แขกไปใครมา เงินไม่เคยพอใช้สักเดือน ตอนที่ข้าแต่งเข้ามา เพื่อหน้าตาของข้า ท่านแม่เอาเงินทั้งหมดที่มีมาให้ข้า วันที่ข้ากลับไปสกุลเดิม เครื่องประดับที่ท่านแม่สวมใส่ล้วนแต่ยืมมากจากพี่สะใภ้ห้า…แต่งเข้ามาในจวนสกุลพวกเจ้า ข้าไม่มีความสามารถสู้กับพี่สะใภ้สอง หยวนเหนียงข้าก็สู้ไม่ได้ ตานหยางข้าก็ไม่มีสิทธิ์ แต่แม้แต่สืออีเหนียงข้าก็จะพูดอะไรตามใจไม่ได้สักประโยคเลยหรือ ข้าเทียบกับใครไม่ได้ ข้าสู้ใครไม่ได้ เรื่องที่พี่สะใภ้สองทำได้ หยวนเหนียงทำได้ ข้าก็ทำได้ไม่ใช่หรือ!”

คำพูดของฮูหยินสามไปกระแทกโดนจุดเจ็บปวดของสวีลิ่งหนิง

เขาเป็นบุตรอนุ ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะดีกับเขา แต่เมื่ออากาศร้อนยกน้ำบ๊วยเย็นมาถ้วยหนึ่ง ท่านป้าเหล่านั้นก็จะยกไปให้สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนดื่มก่อน…เขาอยากจะแยกออกไปอยู่เองมาตลอด เขาไม่ให้อนุภรรยาตั้งครรภ์ ก็เพราะว่าไม่อยากให้บุตรของตนต้องเป็นเช่นนั้น ตอนนั้นยามที่สกุลสวีลำบาก เขาไม่ยอมนำเงินก้อนนั้นออกไปช่วยเหลือ ก็เพราะอยากให้ไท่ฮูหยินไล่เขาออกไป แต่เมื่อเห็นไท่ฮูหยินที่ฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถมาโดยตลอดนอนป่วยอยู่บนเตียง ได้ยินสวีลิ่งอี๋เรียกตัวเองว่าพี่สาม เขาจึงเปลี่ยนความคิด…ภรรยาคนนี้ของตน ถึงแม้ว่าจะเป็นคนเก่งและกล้าหาญ แต่นางก็อ่อนโยนและเอาใจใส่เขามาตลอด ดูแลบุตรเป็นอย่างดีมาตลอด นางก็แค่คิดว่าพ่อตาเป็นบุตรจากอนุภรรยา แล้วก็ไม่มีความสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ต้องคอยมองสีหน้าของคนสกุลกานมาตลอดชีวิต นางก็แค่อยากจะมีชีวิตที่ไม่ต้องสนใจสีหน้าของใคร…จะว่าไปแล้ว เป็นเขาต่างหากที่ทำผิดต่อนาง!

สวีลิ่งหนิงคิดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเสียใจ “ข้าเองที่ผิดต่อเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้ทำให้สกุลสวีอับอายขายขี้หน้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอาและผิดหวัง

ฮูหยินสามเห็นท่าทางที่ไม่เอาไหนของสามีตัวเอง นางยิ่งโมโหขึ้นกว่าเดิม

“ที่ข้ามีวันนี้ก็เพื่อตัวข้าเองเช่นนั้นหรือ ปีนั้นตอนที่น้องชายข้าแต่งงานแล้ว นอกจากของขวัญของสกุลสวี ข้าก็แค่เอาเงินให้อีกยี่สิบตำลึง คนที่ทั้งสกุลเดิมและสกุลสามีไม่ต้อนรับ แต่ข้าทำไปเพื่ออะไร นั่นก็เพื่อเจ้า คุณชายสามสกุลสวี เพื่อฉินเกอเอ๋อร์และเจี่ยนเกอเอ๋อร์!” นางพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “เจ้ารู้ไหมว่าเรือนที่ตรอกเป่าต้าฟังราคาเท่าใด เจ้ารู้ไหมว่าเรือนที่ตรอกหวงหวาฟังราคาเท่าใด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรือนที่ตรอกเสียนอี๋ฟังราคาเท่าใด อย่าลืมว่านะว่าเจ้ามีบุตรชายสองคน หรือว่าเจ้าจะให้พวกเขาไปอาศัยอยู่ที่เชิงเขาลั่วเย่ว์” นางยิ่งพูดยิ่งโมโห “เจ้าเอาแต่ตะโกนว่าบุตรหลานมีวาสนาของบุตรหลาน บอกให้พวกเขาตั้งใจเรียน ต่อไปสอบเอาตำแหน่งบรรดาศักดิ์ ไม่เพียงแต่ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากครอบครัว แล้วยังต้องกลับมาช่วยเหลือครอบครัว ให้ทุกคนรู้ว่าเจ้ามีบุตรที่ดี แต่การสอบตำแหน่งบรรดาศักดิ์มันง่ายนักหรือ เจ้าดูท่านพ่อข้า เขาสอบมาแล้วกว่ายี่สิบปี ยังเป็นแค่จู่เหริน แล้วดูเจ้าสิ เหตุใดถึงไม่สอบจู่เหริน ก็เพราะว่าท่านพ่อข้าบอกว่า คนอย่างพวกเรานั้นพวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาไม่ต้องการ…เราจะไปขอร้องอ้อนวอนก็ไม่มีทางได้!” คิดเช่นนี้ ความคับข้องในใจของนางก็ไหลพรั่งพรูออกมา นางเริ่มเยาะเย้ยด้วยคำพูดแปลกๆ “แต่ว่า จะว่าไปข้าเองที่ผิด ใครเล่าบอกให้ท่านพ่อข้าเป็นแค่จู่เหรินจนๆ ที่สอบกี่ครั้งก็ไม่ผ่าน ใครเล่าบอกให้ข้าไม่มีสินเดิมเหมือนตานหยาง ใครเล่าบอกให้ข้าไม่มีเงินให้เจ้า”

นางยังพูดไม่ทันจบ สวีลิ่งหนิงก็ลุกขึ้นมา “เจ้าจะด่าตัวเองก็ด่าตัวเอง จะไปยุ่งกับครอบครัวอื่นทำไม!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

ทันใดนั้น ฮูหยินสามก็นึกว่าคนที่พูดคือสวีลิ่งอี๋…

นางอดไม่ได้ที่จะตกใจ ตอบกลับไป “เจ้าค่ะ” อย่างเย็นชาแล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก

“ตอนนี้จะทำเช่นไร” สวีลิ่งหนิงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ไท่ซือ “น้องสี่บอกให้ข้าจัดการเรื่องทุกอย่างก่อนเที่ยงพรุ่งนี้ ต้องมีคำอธิบายให้เขา!”

ฮูหยินสามนึกขึ้นได้ว่าสามีของตนเมื่อคืนนี้ไม่ได้กลับมา บอกว่าจะไปนับบัญชีกับพ่อบ้านไป๋ นางคิดว่าเขาไปดื่มเหล้ากับเหล่าผู้ดูแลที่รีบมาเอาเงินเดือน คิดไม่ถึงว่าไปนับบัญชีจริงๆ…นางเริ่มรู้สึกถึงความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เขาสนใจชื่อเสียงหน้าตาของตัวเองมากมิใช่หรือ เหตุใดถึง…”

ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่ภรรยาของตัวเองกล้าเช่นนี้?

สีหน้าของสวีลิ่งหนิงเหนื่อยล้า

ฮูหยินสามก็นั่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็กัดฟันพูด “เราไปหาไท่ฮูหยิน! เรื่องของข้า ข้ารับผิดชอบเอง ข้าจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน” พูดอีกว่า “ข้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง…เงินที่เก็บไว้ก็อยู่ในบัญชีมิใช่หรือ” พูดอีกว่า “ข้าทำไปก็เพื่อประหยัดเงิน” และยังมีอีกประโยคหนึ่งที่นางไม่พูดออกมา

ตัวเองเป็นมารดาของฉินเกอเอ๋อร์และเจี่ยนเกอเอ๋อร์ ไท่ฮูหยินไม่เห็นแก่นางก็ต้องเห็นแก่พวกเขา นางต้องไว้หน้าพวกเขาสองคนอยู่แล้ว…

อย่างมากก็แค่ไม่อยู่ที่จวนหลังนี้อีกต่อไป!

จะว่าไปหากเป็นเดือนก่อนนั้น ไปที่ใดก็มีคนออกมาต้อนรับ ว่ากล่าวอันใดทุกคนก็ต้องมองสีหน้านางก่อน นางไม่อยากลงจากตำแหน่งนี้จริงๆ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว คิดไม่ถึงว่าทำกิจการเมล็ดข้าวต้องมีเคล็ดลับเยอะขนาดนี้ มีกำไรมหาศาลขนาดนี้ ไม่แปลกที่ท่านป้าและคนอื่นๆ ต่างคิดหาวิธีทำกิจการ…ตอนนี้ตัวเองใช้ชื่อเสียงของหย่งผิงโหวนั้นไม่สะดวก แต่ถ้าหาก…

หัวของนางหมุนอย่างรวดเร็ว

แต่สวีลิ่งหนิงกลับถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ ก็คงต้องทำเช่นนี้!”

มีคนตะโกนรายงาน “คุณชายสาม ฮูหยินสาม ท่านโหวมาเจ้าค่ะ!”

มันคือเสียงของชิวหลิง

ทันใดนั้น สองสามีภรรยาก็หันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ

สวีลิ่งหนิงเป็นลูกผู้ชาย ดูแลกิจการของสกุลสวีมาหลายปี เจออะไรมาตั้งมากมาย เขาจึงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว พูดเบาๆ ว่า “เชิญเขาเข้ามา” จากนั้นก็หันหน้าไปบอกฮูหยินสาม “รีบไปเก็บข้าวเก็บของ”

ฮูหยินสามตอบรับสั้นๆ อย่างกระวนกระวาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องข้างใน เมื่อเห็นว่าห้องข้างในว่างเปล่าก็ได้นึกถึงสาวใช้และท่านป้าที่เห็นสีหน้าของพวกเขาไม่ดีจึงออกไปกันหมดขึ้นมา นางจึงวิ่งออกมาเรียกชิวหลิง

ชิวหลิงเปิดประตูห้องโถงของเรือนหลักไว้ตั้งนานแล้ว บอกให้สาวใช้ไปต้อนรับสวีลิ่งอี๋และชงชา ได้ยินฮูหยินสามเรียกตัวเอง นางก็รู้ว่าฮูหยินสามกำลังจะแต่งตัวใหม่ นางตอบรับแล้วพาสาวใช้ที่รับใช้ไปตักน้ำเข้ามาในห้องข้างในด้วยตัวเอง

สวีลิ่งอี๋เห็นประตูห้องของฮูหยินสามปิดแน่นจากระยะไกล พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองบอกให้สวีลิ่งหนิงมาอธิบายให้ตัวเองฟังก่อนเที่ยงของวันพรุ่งนี้ จึงเดาว่าพวกเขาคงจะทะเลาะกัน ตอนที่เดินเข้ามาเขาจึงจงใจเดินอย่างช้าๆ จะได้ใช้เวลาเพื่อให้ฮูหยินสามหลบออกไป

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรจะพูดอีก!

สวีลิ่งหนิงเห็นสวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น

“น้องสี่ นั่งลงก่อน!”

สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างเถิด ข้าไม่นั่งดีกวา ฟั่นเหวยกังกลับมาแล้ว เขาเชิญข้าไปดูงิ้ว อากาศหนาวเช่นนี้ ข้าเห็นว่าพี่สามไม่มีสิ่งใดทำ ไม่สู้ไปดูด้วยกันเถิดขอรับ!”

สวีลิ่งหนิงตกใจ

“เราสองพี่น้องไม่ได้นั่งคุยกันส่วนตัวมานานมากแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างชัดเจน “ฟั่นเหวยกังเชิญไปดูงิ้วพอดี ไปดื่มกันสักสองไหเถิด”

สวีลิ่งหนิงก็เข้าใจ สวีลิ่งอี๋มีอะไรจะพูดกับตัวเองสองต่อสอง

แต่เขาเร่งรีบขนาดนี้ แล้วยังหาข้ออ้างที่ไม่มีช่องโหว่เช่นนี้…ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

ความคิดนี้วาบขึ้นมา เขาก็รู้สึกผิดหวังอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าเขาจะคิดอะไรแล้วทำไมเล่า อย่างไรคนที่ผิดก็คือตน!

เขาลุกขึ้นพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “ข้าจะออกไปร่ำสุรากับท่านโหว พวกเจ้าไปบอกฮูหยินเสียหน่อย!”

สาวใช้ตอบรับแล้วเดินไปที่ห้องข้างใน สวีลิ่งหนิงคว้าเสื้อคลุม “ไปกันเถิด!”

สวีลิ่งอี๋มองดูพี่ชายของตัวเองที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่ตรงหน้า นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เขาพาตนไปจับตั๊กแตนในสวนหลังจวน นึกถึงตอนที่ท่านพ่อเสียชีวิตก็อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเขาสองคนยืนรอนายท่านสกุลหลัวออกมาจากราชสำนักอยู่ที่ทางเข้าตรอกสกุลหลัว…

เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียก “พี่สาม” เบาๆ “ผมท่านยุ่งเหยิง ให้สาวใช้มาช่วยหวีเสียหน่อยเถิด!”

สวีลิ่งหนิงลูบผม เงียบอยู่นานแต่กลับมีน้ำตาคลอ

เขานึกถึงปีที่ท่านพ่อเสียชีวิต พวกเขาสองคนยืนรอนายท่านสกุลหลัวออกมาจากราชสำนักอยู่ที่ทางเข้าตรอกสกุลหลัว น้องชายคนนี้คนที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งหย่งผิงโหวในยามนั้นยืนรออยู่ตรงนั้นเงียบๆ พูดกับตัวเองที่กำลังกระทืบเท้าเพราะความหนาวเย็น ‘พี่สาม พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะทำให้เจ้าสุขสบาย ทำให้ใครๆ เห็นเจ้าก็ต้องยิ้ม ต้องยิ้มเท่านั้น…’

ในตอนนั้นตนคิดเช่นไร แล้วพูดเช่นไร

เขาไม่เชื่อ

แต่ก็ไม่มีทางดูถูกความมุ่งมั่นของน้องชาย พยักหน้าอย่างจริงจัง ‘ได้เลย! ข้ารอวันที่น้องสี่ของข้าจะเป็นหน้าเป็นตาให้ข้า ถึงตอนนั้นเราจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจในเยี่ยนจิง’

ช่วงเวลาเช่นนั้น มันหายไปตั้งแต่เมื่อใด…

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท