เป็นสามีภรรยกันมานานกว่าสิบปี ทั้งสองต่างก็รู้จักกันดี
ยามที่สวีลิ่งหนิงหายโมโห ฮูหยินสามจึงรู้สึกได้ทันที
ความรู้สึกผิดและความหวาดกลัวของเมื่อครู่ก็หายวับไป
นางพุ่งเข้าไป “ท่านตบข้า ท่านตบข้า…ข้าคลอดลูกเลี้ยงลูกให้ท่าน ข้าลำบากเช่นนี้ก็เพื่อท่าน แต่ท่านกลับตบข้า…” ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็ไม่กล้าตบหน้าสวีลิ่งหนิง กลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น นางจับไหล่ของเขา
ความเจ็บปวดที่ร้อนแรงทำให้สวีลิ่งหนิงได้สติกลับมา
เขาจับมือฮูหยินสามเอาไว้แล้วพูดเบาๆ “พอได้แล้ว เจ้าอยากให้ทุกคนรู้เช่นนั้นหรือ”
“ทุกคนรู้หมดแล้วไม่ใช่หรือ” ฮูหยินสามน้ำตาคลอ นางน้ำตาไหลออกมา “ยังกลัวผู้ใดรู้อีก!”
“เจ้าก็รู้ว่าเรื่องที่เจ้าทำมันทุเรศแค่ไหน!” สวีลิ่งหนิงมองดูภรรยาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ลากนางออกไปข้างนอก “เจ้าเก็บข้าวเก็บของ เราไปรับโทษกับท่านแม่ประเดี๋ยวนี้”
ชิวหลิงที่ยืนมองดูลมอยู่ใต้หน้าต่างได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางรีบสะบัดมือให้สาวใช้และท่านป้าที่ยืนอยู่บนทางเดินไกลๆ
สาวใช้และท่านป้าเห็นเช่นนี้ก็รีบเดินย่องออกไปข้างนอกเบาๆ
ชิวหลิงครุ่นคิด จากนั้นก็ไปปิดประตูฉุยฮวา หันกลับมาบอกสาวใช้และท่านป้าที่อยู่ในเรือนว่า “กลับไปที่ห้องให้หมด ปิดประตูให้แน่น หากข้าจับได้ว่าใครแอบดู ข้าจะไปบอกให้ฮูหยินจัดการทันที!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
สาวใช้และท่านป้ามองหน้ากันและกัน ตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กลับไปที่ห้องของตัวเองและปิดประตู
ชิวหลิงส่ายหน้าเบาๆ กลับไปยืนมองลมที่หน้าประตูเรือนหลักอีกครั้ง
และฮูหยินสามที่อยู่ในห้องได้ยินสวีลิ่งหนิงพูดเช่นนี้ นางก็ตกใจขึ้นมาทันที
“เรื่องทุเรศ? ข้าทำเรื่องทุเรศอันใด ในจวนหลังนี้ใครๆ ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองกันทั้งนั้น ข้าไปขโมยหรือไปแย่งใครมา ข้าทำเรื่องทุเรศ? แล้วเรือนของคุณชายสองกับคุณชายห้าเล่า เปิดร้านค้าบนถนนซีต้าและถนนตงต้า กลับเป็นเรื่องที่สง่าผ่าเผยแต่ข้ากลับทำเรื่องทุเรศ? สกุลสวีของพวกเจ้าก็แค่เห็นว่าข้าสถานะต่ำต้อย เกิดเรื่องขึ้นจึงหยียบย่ำข้า!” นางยิ่งพูดก็ยิ่งกระวนกระวาย “ให้ข้าไปรับโทษกับท่านแม่น่ะหรือ ให้มาดูเรื่องทุเรศที่ข้าทำ? ราษฎรที่ประสบภัยพวกนั้นแค่มีข้าวกินก็พอแล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว หิมะในเดือนหกกับข้าวรามันแตกต่างอย่างไรกัน ไม่ใช่สกุลเราสกุลเดียวที่มีข้าวรา เจ้าคิดว่าสกุลของเวยเป่ยโหวสะอาดสะอ้านนักหรือ ข้าทำเช่นนี้ ก็แค่อยากจะช่วยสกุลสวีประหยัดเงิน…ทุเรศอะไรกัน?”
“เจ้ายังจะแก้ตัว!” สวีลิ่งหนิงโมโหจนหน้าซีด “จะเอาสกุลของเราไปเทียบกับคนพวกนั้นได้เช่นไร สกุลเราเป็นถึงสกุลญาติ หากถูกคนจับได้มันไม่มีผลที่ดี ถึงขั้นต้องสูญเสียตำแหน่งบรรดาศักดิ์…”
“สกุลญาติ! สกุลญาติ! เจ้าก็รู้จักแค่สกุลญาติ” ความคับข้องใจที่ซ่อนอยู่ในใจของฮูหยินสามไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป “เรื่องดีๆ ไม่เคยสนใจพวกเรา แต่เรื่องร้ายๆ กลับให้เรารับผิดชอบด้วยกัน ทำไม ทำไม ข้าจะแยกสกุลกับพวกเขา เจ้าเป็นบุตรอนุ ตามหลักแล้วเราควรย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ทำไมต้องไปยกย่องพวกเขา” นางเช็ดตาแล้วร้องไห้เบาๆ “สองสามปีนี้ข้าลำบากเพียงใด ท่านพ่อเป็นบุตรอนุ ท่านลุงอยากได้หน้าไม่ยอมแยกสกุล แต่กลับให้เงินแค่ปีละยี่สิบตำลึง สกุลมีหน้ามีตา แขกไปใครมา เงินไม่เคยพอใช้สักเดือน ตอนที่ข้าแต่งเข้ามา เพื่อหน้าตาของข้า ท่านแม่เอาเงินทั้งหมดที่มีมาให้ข้า วันที่ข้ากลับไปสกุลเดิม เครื่องประดับที่ท่านแม่สวมใส่ล้วนแต่ยืมมากจากพี่สะใภ้ห้า…แต่งเข้ามาในจวนสกุลพวกเจ้า ข้าไม่มีความสามารถสู้กับพี่สะใภ้สอง หยวนเหนียงข้าก็สู้ไม่ได้ ตานหยางข้าก็ไม่มีสิทธิ์ แต่แม้แต่สืออีเหนียงข้าก็จะพูดอะไรตามใจไม่ได้สักประโยคเลยหรือ ข้าเทียบกับใครไม่ได้ ข้าสู้ใครไม่ได้ เรื่องที่พี่สะใภ้สองทำได้ หยวนเหนียงทำได้ ข้าก็ทำได้ไม่ใช่หรือ!”
คำพูดของฮูหยินสามไปกระแทกโดนจุดเจ็บปวดของสวีลิ่งหนิง
เขาเป็นบุตรอนุ ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะดีกับเขา แต่เมื่ออากาศร้อนยกน้ำบ๊วยเย็นมาถ้วยหนึ่ง ท่านป้าเหล่านั้นก็จะยกไปให้สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนดื่มก่อน…เขาอยากจะแยกออกไปอยู่เองมาตลอด เขาไม่ให้อนุภรรยาตั้งครรภ์ ก็เพราะว่าไม่อยากให้บุตรของตนต้องเป็นเช่นนั้น ตอนนั้นยามที่สกุลสวีลำบาก เขาไม่ยอมนำเงินก้อนนั้นออกไปช่วยเหลือ ก็เพราะอยากให้ไท่ฮูหยินไล่เขาออกไป แต่เมื่อเห็นไท่ฮูหยินที่ฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถมาโดยตลอดนอนป่วยอยู่บนเตียง ได้ยินสวีลิ่งอี๋เรียกตัวเองว่าพี่สาม เขาจึงเปลี่ยนความคิด…ภรรยาคนนี้ของตน ถึงแม้ว่าจะเป็นคนเก่งและกล้าหาญ แต่นางก็อ่อนโยนและเอาใจใส่เขามาตลอด ดูแลบุตรเป็นอย่างดีมาตลอด นางก็แค่คิดว่าพ่อตาเป็นบุตรจากอนุภรรยา แล้วก็ไม่มีความสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเอง ต้องคอยมองสีหน้าของคนสกุลกานมาตลอดชีวิต นางก็แค่อยากจะมีชีวิตที่ไม่ต้องสนใจสีหน้าของใคร…จะว่าไปแล้ว เป็นเขาต่างหากที่ทำผิดต่อนาง!
สวีลิ่งหนิงคิดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเสียใจ “ข้าเองที่ผิดต่อเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้ทำให้สกุลสวีอับอายขายขี้หน้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอาและผิดหวัง
ฮูหยินสามเห็นท่าทางที่ไม่เอาไหนของสามีตัวเอง นางยิ่งโมโหขึ้นกว่าเดิม
“ที่ข้ามีวันนี้ก็เพื่อตัวข้าเองเช่นนั้นหรือ ปีนั้นตอนที่น้องชายข้าแต่งงานแล้ว นอกจากของขวัญของสกุลสวี ข้าก็แค่เอาเงินให้อีกยี่สิบตำลึง คนที่ทั้งสกุลเดิมและสกุลสามีไม่ต้อนรับ แต่ข้าทำไปเพื่ออะไร นั่นก็เพื่อเจ้า คุณชายสามสกุลสวี เพื่อฉินเกอเอ๋อร์และเจี่ยนเกอเอ๋อร์!” นางพูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ “เจ้ารู้ไหมว่าเรือนที่ตรอกเป่าต้าฟังราคาเท่าใด เจ้ารู้ไหมว่าเรือนที่ตรอกหวงหวาฟังราคาเท่าใด เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรือนที่ตรอกเสียนอี๋ฟังราคาเท่าใด อย่าลืมว่านะว่าเจ้ามีบุตรชายสองคน หรือว่าเจ้าจะให้พวกเขาไปอาศัยอยู่ที่เชิงเขาลั่วเย่ว์” นางยิ่งพูดยิ่งโมโห “เจ้าเอาแต่ตะโกนว่าบุตรหลานมีวาสนาของบุตรหลาน บอกให้พวกเขาตั้งใจเรียน ต่อไปสอบเอาตำแหน่งบรรดาศักดิ์ ไม่เพียงแต่ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากครอบครัว แล้วยังต้องกลับมาช่วยเหลือครอบครัว ให้ทุกคนรู้ว่าเจ้ามีบุตรที่ดี แต่การสอบตำแหน่งบรรดาศักดิ์มันง่ายนักหรือ เจ้าดูท่านพ่อข้า เขาสอบมาแล้วกว่ายี่สิบปี ยังเป็นแค่จู่เหริน แล้วดูเจ้าสิ เหตุใดถึงไม่สอบจู่เหริน ก็เพราะว่าท่านพ่อข้าบอกว่า คนอย่างพวกเรานั้นพวกเขาไม่ต้องการ พวกเขาไม่ต้องการ…เราจะไปขอร้องอ้อนวอนก็ไม่มีทางได้!” คิดเช่นนี้ ความคับข้องในใจของนางก็ไหลพรั่งพรูออกมา นางเริ่มเยาะเย้ยด้วยคำพูดแปลกๆ “แต่ว่า จะว่าไปข้าเองที่ผิด ใครเล่าบอกให้ท่านพ่อข้าเป็นแค่จู่เหรินจนๆ ที่สอบกี่ครั้งก็ไม่ผ่าน ใครเล่าบอกให้ข้าไม่มีสินเดิมเหมือนตานหยาง ใครเล่าบอกให้ข้าไม่มีเงินให้เจ้า”
นางยังพูดไม่ทันจบ สวีลิ่งหนิงก็ลุกขึ้นมา “เจ้าจะด่าตัวเองก็ด่าตัวเอง จะไปยุ่งกับครอบครัวอื่นทำไม!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ทันใดนั้น ฮูหยินสามก็นึกว่าคนที่พูดคือสวีลิ่งอี๋…
นางอดไม่ได้ที่จะตกใจ ตอบกลับไป “เจ้าค่ะ” อย่างเย็นชาแล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก
“ตอนนี้จะทำเช่นไร” สวีลิ่งหนิงทรุดตัวลงบนเก้าอี้ไท่ซือ “น้องสี่บอกให้ข้าจัดการเรื่องทุกอย่างก่อนเที่ยงพรุ่งนี้ ต้องมีคำอธิบายให้เขา!”
ฮูหยินสามนึกขึ้นได้ว่าสามีของตนเมื่อคืนนี้ไม่ได้กลับมา บอกว่าจะไปนับบัญชีกับพ่อบ้านไป๋ นางคิดว่าเขาไปดื่มเหล้ากับเหล่าผู้ดูแลที่รีบมาเอาเงินเดือน คิดไม่ถึงว่าไปนับบัญชีจริงๆ…นางเริ่มรู้สึกถึงความรุนแรงของเรื่องนี้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เขาสนใจชื่อเสียงหน้าตาของตัวเองมากมิใช่หรือ เหตุใดถึง…”
ดังนั้นนี่คือสาเหตุที่ภรรยาของตัวเองกล้าเช่นนี้?
สีหน้าของสวีลิ่งหนิงเหนื่อยล้า
ฮูหยินสามก็นั่งหน้าซีดอยู่ตรงนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็กัดฟันพูด “เราไปหาไท่ฮูหยิน! เรื่องของข้า ข้ารับผิดชอบเอง ข้าจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน” พูดอีกว่า “ข้าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง…เงินที่เก็บไว้ก็อยู่ในบัญชีมิใช่หรือ” พูดอีกว่า “ข้าทำไปก็เพื่อประหยัดเงิน” และยังมีอีกประโยคหนึ่งที่นางไม่พูดออกมา
ตัวเองเป็นมารดาของฉินเกอเอ๋อร์และเจี่ยนเกอเอ๋อร์ ไท่ฮูหยินไม่เห็นแก่นางก็ต้องเห็นแก่พวกเขา นางต้องไว้หน้าพวกเขาสองคนอยู่แล้ว…
อย่างมากก็แค่ไม่อยู่ที่จวนหลังนี้อีกต่อไป!
จะว่าไปหากเป็นเดือนก่อนนั้น ไปที่ใดก็มีคนออกมาต้อนรับ ว่ากล่าวอันใดทุกคนก็ต้องมองสีหน้านางก่อน นางไม่อยากลงจากตำแหน่งนี้จริงๆ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว คิดไม่ถึงว่าทำกิจการเมล็ดข้าวต้องมีเคล็ดลับเยอะขนาดนี้ มีกำไรมหาศาลขนาดนี้ ไม่แปลกที่ท่านป้าและคนอื่นๆ ต่างคิดหาวิธีทำกิจการ…ตอนนี้ตัวเองใช้ชื่อเสียงของหย่งผิงโหวนั้นไม่สะดวก แต่ถ้าหาก…
หัวของนางหมุนอย่างรวดเร็ว
แต่สวีลิ่งหนิงกลับถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ ก็คงต้องทำเช่นนี้!”
มีคนตะโกนรายงาน “คุณชายสาม ฮูหยินสาม ท่านโหวมาเจ้าค่ะ!”
มันคือเสียงของชิวหลิง
ทันใดนั้น สองสามีภรรยาก็หันมามองหน้ากันด้วยความตกใจ
สวีลิ่งหนิงเป็นลูกผู้ชาย ดูแลกิจการของสกุลสวีมาหลายปี เจออะไรมาตั้งมากมาย เขาจึงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว พูดเบาๆ ว่า “เชิญเขาเข้ามา” จากนั้นก็หันหน้าไปบอกฮูหยินสาม “รีบไปเก็บข้าวเก็บของ”
ฮูหยินสามตอบรับสั้นๆ อย่างกระวนกระวาย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องข้างใน เมื่อเห็นว่าห้องข้างในว่างเปล่าก็ได้นึกถึงสาวใช้และท่านป้าที่เห็นสีหน้าของพวกเขาไม่ดีจึงออกไปกันหมดขึ้นมา นางจึงวิ่งออกมาเรียกชิวหลิง
ชิวหลิงเปิดประตูห้องโถงของเรือนหลักไว้ตั้งนานแล้ว บอกให้สาวใช้ไปต้อนรับสวีลิ่งอี๋และชงชา ได้ยินฮูหยินสามเรียกตัวเอง นางก็รู้ว่าฮูหยินสามกำลังจะแต่งตัวใหม่ นางตอบรับแล้วพาสาวใช้ที่รับใช้ไปตักน้ำเข้ามาในห้องข้างในด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋เห็นประตูห้องของฮูหยินสามปิดแน่นจากระยะไกล พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองบอกให้สวีลิ่งหนิงมาอธิบายให้ตัวเองฟังก่อนเที่ยงของวันพรุ่งนี้ จึงเดาว่าพวกเขาคงจะทะเลาะกัน ตอนที่เดินเข้ามาเขาจึงจงใจเดินอย่างช้าๆ จะได้ใช้เวลาเพื่อให้ฮูหยินสามหลบออกไป
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรจะพูดอีก!
สวีลิ่งหนิงเห็นสวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น
“น้องสี่ นั่งลงก่อน!”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างเถิด ข้าไม่นั่งดีกวา ฟั่นเหวยกังกลับมาแล้ว เขาเชิญข้าไปดูงิ้ว อากาศหนาวเช่นนี้ ข้าเห็นว่าพี่สามไม่มีสิ่งใดทำ ไม่สู้ไปดูด้วยกันเถิดขอรับ!”
สวีลิ่งหนิงตกใจ
“เราสองพี่น้องไม่ได้นั่งคุยกันส่วนตัวมานานมากแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างชัดเจน “ฟั่นเหวยกังเชิญไปดูงิ้วพอดี ไปดื่มกันสักสองไหเถิด”
สวีลิ่งหนิงก็เข้าใจ สวีลิ่งอี๋มีอะไรจะพูดกับตัวเองสองต่อสอง
แต่เขาเร่งรีบขนาดนี้ แล้วยังหาข้ออ้างที่ไม่มีช่องโหว่เช่นนี้…ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
ความคิดนี้วาบขึ้นมา เขาก็รู้สึกผิดหวังอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดอะไรแล้วทำไมเล่า อย่างไรคนที่ผิดก็คือตน!
เขาลุกขึ้นพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “ข้าจะออกไปร่ำสุรากับท่านโหว พวกเจ้าไปบอกฮูหยินเสียหน่อย!”
สาวใช้ตอบรับแล้วเดินไปที่ห้องข้างใน สวีลิ่งหนิงคว้าเสื้อคลุม “ไปกันเถิด!”
สวีลิ่งอี๋มองดูพี่ชายของตัวเองที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่ตรงหน้า นึกถึงตอนเด็กๆ ที่เขาพาตนไปจับตั๊กแตนในสวนหลังจวน นึกถึงตอนที่ท่านพ่อเสียชีวิตก็อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเขาสองคนยืนรอนายท่านสกุลหลัวออกมาจากราชสำนักอยู่ที่ทางเข้าตรอกสกุลหลัว…
เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนเรียก “พี่สาม” เบาๆ “ผมท่านยุ่งเหยิง ให้สาวใช้มาช่วยหวีเสียหน่อยเถิด!”
สวีลิ่งหนิงลูบผม เงียบอยู่นานแต่กลับมีน้ำตาคลอ
เขานึกถึงปีที่ท่านพ่อเสียชีวิต พวกเขาสองคนยืนรอนายท่านสกุลหลัวออกมาจากราชสำนักอยู่ที่ทางเข้าตรอกสกุลหลัว น้องชายคนนี้คนที่ยังไม่ได้รับตำแหน่งหย่งผิงโหวในยามนั้นยืนรออยู่ตรงนั้นเงียบๆ พูดกับตัวเองที่กำลังกระทืบเท้าเพราะความหนาวเย็น ‘พี่สาม พี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะทำให้เจ้าสุขสบาย ทำให้ใครๆ เห็นเจ้าก็ต้องยิ้ม ต้องยิ้มเท่านั้น…’
ในตอนนั้นตนคิดเช่นไร แล้วพูดเช่นไร
เขาไม่เชื่อ
แต่ก็ไม่มีทางดูถูกความมุ่งมั่นของน้องชาย พยักหน้าอย่างจริงจัง ‘ได้เลย! ข้ารอวันที่น้องสี่ของข้าจะเป็นหน้าเป็นตาให้ข้า ถึงตอนนั้นเราจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจในเยี่ยนจิง’
ช่วงเวลาเช่นนั้น มันหายไปตั้งแต่เมื่อใด…