เมื่อสืออีเหนียงมาถึงเรือนไท่ฮูหยิน ฮูหยินสามก็ได้มาถึงนานแล้ว นางกำลังนั่งคุยกับไท่ฮูหยินอยู่บนเตียงเตา “…ดอกบ๊วยเดือนสิบสองมีหนึ่งร้อยห้าสิบกระถาง ส้มจินเฉียนมีหนึ่งร้อยห้าสิบกระถาง ต้นตงชิงมีสองร้อยกระถาง ดอกชากุหลาบแดงมีหนึ่งร้อยกระถาง…”
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวนางจึงหันไปมอง พบว่าสืออีเหนียงกำลังเดินเข้ามา นางยิ้มพลางหยุดบทสนทนา ลุกขึ้นทักทายสืออีเหนียงอย่างกระตือรือร้น “น้องสะใภ้สี่มาแล้วหรือ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วทักทายนาง “พี่สะใภ้สาม” หันไปคำนับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็หันมาคำนับฮูหยินสาม
ฮูหยินสามพูดกับนางอย่างสนิทสนมว่า “รู้ว่าเจ้าชอบกินปลาผัดเปรี้ยวหวาน วันนี้จึงตั้งใจให้คนทำอาหารจานนี้โดยเฉพาะ”
“ลำบากพี่สะใภ้สามแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณฮูหยินสาม สาวใช้น้อยคนหนึ่งยกเก้าอี้ไท่ซือมา สืออีเหนียงนั่งลงแล้วพูดคุยกับพวกนางด้วยรอยยิ้ม “กำลังปรึกษาเรื่องดอกไม้และต้นไม้ที่จะใช้จัดในวันตรุษจีนกันอยู่หรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามพยักหน้าแล้วพูดว่า “ปีนี้อากาศไม่ดี ทุกอย่างขึ้นราคา” ท่าทางลำบากใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ว่าของจะแพงเพียงใดก็ยังต้องฉลองตรุษจีน” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เจ้าแค่รับผิดชอบจัดการทุกอย่างให้พร้อมก็พอแล้ว”
ฮูหยินสามตอบรับด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงพูดถึงเรื่องสาวใช้ขึ้นมา “…ข้าหามาได้ห้าคน ท่านมีเวลาว่างเมื่อใด ข้าจะพามาให้ท่านดูเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็พามาตอนบ่ายเถิด”
สืออีเหนียงนำกระดาษที่เขียนรายชื่อบรรดาสาวใช้น้อยมอบให้ไท่ฮูหยิน “นี่คือรายชื่อของพวกนางเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินนำไปเก็บใส่ลิ้นชักเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลัง
เมื่อฮูหยินสามได้ยินดังนั้นก็เกิดความคิดจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อตอนบ่ายท่านแม่มีเวลาว่าง เช่นนั้นข้าก็จะพาเด็กสาวที่คัดสรรมาอย่างดีมาให้ท่านดูเช่นกัน ให้ท่านแม่ช่วยดูให้ฉินเกอสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เอาสิ!”
ทันทีที่พูดจบบรรดาแม่นมก็พาเจินเจี่ยเอ๋อร์กับจุนเกอเข้ามา
บรรดาผู้ใหญ่หยุดการสนทนา ยิ้มรับการคำนับจากเด็กทั้งสอง
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วลุกขึ้น “เรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าว่าพวกเราไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วรีบเข้าไปพยุงไท่ฮูหยิน ทุกคนพากันไปทานข้าวที่ห้องปีกทิศตะวันออก
หลังจากทานอาหารเสร็จเหล่าแม่นมก็ได้พาพวกเด็กๆ ไปพักผ่อนกลางวัน ไท่ฮูหยินพาฮูหยินสามและสืออีเหนียงไปพูดคุยที่ห้องปีกทิศตะวันตก
“อีกสองวันจวนจงซานโหวจะแต่งลูกสะใภ้” นางมองฮูหยินสามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องเตรียมตัวจัดงานเทศกาลตรุษจีนสำหรับทุกคน ตานหยางเองก็กำลังตั้งครรภ์อยู่” พูดพลางหันไปมองสืออีเหนียง “สืออีเหนียง เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าเถิด”
สืออีเหนียงรู้สึกประหลาดใจ
ตั้งแต่สวีลิ่งอี๋กลับมาหลังจากได้รับชัยชนะที่ซีเป่ย สกุลสวีก็ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เมื่อเพื่อนเก่ามีงานมงคลอะไรก็ให้คุณชายสามหรือผู้ดูแลส่วนรายงานเป็นคนไป คิดไม่ถึงว่าพอจวนจงซานโหวจะแต่งลูกสะใภ้ ไท่ฮูหยินถึงกลับจะไปร่วมงานด้วยตัวเอง ไปร่วมงานคนเดียวไม่พอแต่ยังพานางไปด้วย
หัวใจนางเต้นแรง รู้สึกว่าการที่ไท่ฮูหยินทำเช่นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองเป็นอย่างมาก…แต่กลับหาเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เจอ
แต่ผลลัพธ์กลับออกมาในแง่ดี อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าไท่ฮูหยินยินดีที่จะให้โอกาสนางพิสูจน์ตัวเองว่านางสามารถดำรงตำแหน่งฮูหยินหย่งผิงโหวได้
สืออีเหนียงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนี้
ตอนนั้นนางกำลังนอนสบายๆ อยู่ในผ้าห่ม สวีลิ่งอี๋ก็มาอย่างกะทันหัน
นางรีบลุกขึ้นมาล้างหน้าแล้วปรนนิบัติเขาทานอาหารเช้า
เขาไล่สาวใช้ที่อยู่รอบๆ ออกไปหมด และมีท่าทางที่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับไม่พูดออกมาอยู่หลายครั้ง
สืออีเหนียงคิดถึงเมื่อคืนที่เขาออกไปกับคุณชายสามแล้วกลับมาตอนเที่ยงคืน จากนั้นก็นึกถึงตอนที่ป้าเถามาแอบบอกนางว่าสวีลิ่งอี๋ไปพักอยู่ที่เรือนของเฉียวเหลียนฝัง แต่ห้องหนังสือทิศตะวันออกกลับมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ตลอด เดาได้ว่าเขาอาจจะพูดความในใจกับคุณชายสามแล้วก็เก็บเอาไปคิดเรื่อยเปื่อยจนนอนไม่หลับ ตอนเช้าจึงอยากจะมาพูดคุยอะไรบางอย่างกับตัวเอง แต่ก็รู้สึกไม่คุ้นชินจึงยากที่จะเอ่ยปาก
การที่เขาคิดถึงตัวนางเวลาที่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ถือว่าความสัมพันธ์นั้นพัฒนาเป็นอย่างมากแล้ว
ตอนนั้นที่นางแหกกฎ ‘ยามรับประทานไม่สนทนา ยามนอนไม่พูดคุย’ แล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเกี่ยวกับเรื่องจิปาถะของตัวเอง “…ว่านอี้จงมีบุตรชายสามคน คนเล็กยังดูไม่ออกว่าเป็นคนอย่างไร แต่พี่ใหญ่และพี่รองกลับมีความสามารถเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพี่ใหญ่ที่ตั้งใจทำงานและซื่อสัตย์ กลัวว่าหิมะจะถล่มบ้านจึงได้พาน้องชายไปกวาดหิมะกลางดึก มิเช่นนั้นจวนที่อยู่ที่ตรอกจินอวี๋ก็คงไม่ใช่แค่ห้องเอ่อร์ฝังที่พังลงมากระมัง”
ในเมื่อสวีลิ่งอี๋อยากจะปฏิวัติเรือนนอกครั้งใหญ่ ถ้าหากสามารถของานนี้ให้แก่ว่านต้าเสี่ยนกับว่านเอ้อร์เสี่ยนได้ ต่อไปเมื่อตงชิงได้แต่งกับว่านต้าเสี่ยนก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย การผลักดันอย่างชัดเจนนั้นไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน วิธีที่ดีที่สุดคือการจัดการอย่างเงียบๆ
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังสีหน้าก็ดูสบายใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ให้คำตอบนาง แต่ก็ไม่ได้ขมวดคิ้วมองมาที่นางหรือแอบส่งสัญญาณว่านางเสียมารยาทในการทานข้าว…
อีกทั้งตอนนี้ไท่ฮูหยินยังให้ตนไปพบปะสังสรรค์เป็นเพื่อนนาง…
สืออีเหนียงอารมณ์ดีอย่างยิ่ง นางยิ้มแล้วตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าสว่างวาบขึ้นมา
เมื่อฮูหยินสามได้ฟังก็รู้สึกหงุดหงิด
ไท่ฮูหยินมีฐานะสูงส่ง สกุลสวีก็เป็นสกุลต้นกำเนิดขุนนางแรกๆ หากพูดอย่างจริงจัง จงซานโหวผู้นั้นไม่ว่าจะเป็นอายุหรือคุณสมบัติก็ด้อยกว่าไท่ฮูหยินถึงสองรุ่น การที่พวกเขาแต่งสะใภ้แล้วไท่ฮูหยินไปร่วมงานถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาอย่างมาก แต่ถึงไม่ไปก็ไม่เป็นไร หลังจากที่สกุลสวีปิดประตูไม่ต้อนรับแขกครึ่งปี ไท่ฮูหยินกลับเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยเก็บตัวโดยการพาสืออีเหนียงไปร่วมงานมงคลด้วยตัวเอง หากไม่ใช่ว่าอยากจะแนะนำสืออีเหนียงในการวางตัวด้วยตัวเองแล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก
แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักขอบเขตของตัวเอง
ฮูหยินสามพยายามยิ้มอย่างใจกว้างพลางลุกขึ้นยืน “ท่านแม่กับน้องสะใภ้สี่จะไปเมื่อใด ข้าจะได้ให้คนไปเตรียมรถม้าให้”
“พรุ่งนี้จะออกจากจวนยามซื่อ” ไท่ฮูหยินหัวเราะแล้วพูดว่า “ไปถึงจะได้ทานข้าวพอดี”
สืออีเหนียงได้ฟังน้ำเสียงของไท่ฮูหยินที่แฝงไว้ด้วยความหยอกล้อนางจึงพูดติดตลกว่า “เช่นนั้นตอนเช้าข้าจะทานให้น้อยลงเจ้าค่ะ”
ทุกคนพากันหัวเราะ
ฮูหยินสามลุกขึ้นกล่าวลา “ข้าจะไปกำชับสะใภ้หลี่เฉวียนให้ไปเตรียมรถม้าไว้”
“เจ้าไปเถิด” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า ฮูหยินสามเดินถอยออกไป
ไท่ฮูหยินชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง “นั่งลงคุยกันก่อน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
ไท่ฮูหยินหยิบเทียบรายชื่อสีแดงทองออกมาหลายแผ่นจากลิ้นชักที่อยู่ข้างๆ เตียงเตา
“คนที่มีรายชื่อในนี้มีฐานะสูงส่งล้วนมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ต้องแต่งตัวให้เหมาะสมเป็นมารยาท” ไท่ฮูหยินยื่นให้นางหนึ่งแผ่น “การปฏิบัติตัวต่อคนในสกุลเหล่านี้ไม่มีอะไรมาก พวกเราแค่ไม่ทำตัวเสียมารยาทก็พอแล้ว” ไท่ฮูหยินได้ส่งให้นางอีกหนึ่งแผ่น “คนในสกุลเหล่านี้มีสัมพันธ์ที่ดีต่อสกุลเรา ต้องมีน้ำใจต่อกันจึงจะดีที่สุด” พูดพลางส่งให้นางอีกหนึ่งแผ่น “คนในสกุลนี้หากมีเวลาว่างก็ไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย หากไม่มีเวลาว่างก็ส่งคนส่วนรายงานไป” จากนั้นก็ส่งให้นางอีกหนึ่งแผ่น…ตลอดการพูดได้ส่งเทียบรายชื่อให้นางเจ็ดแปดแผ่น บางแผ่นก็มีรายชื่อสมาชิกในจวนเพียงสี่ห้าคน แต่ตำแหน่งยาวเป็นหางว่าว บางแผ่นมีรายชื่อคนในสกุลสิบกว่าคนแต่ก็มีเพียงรายชื่อเท่านั้น ในบรรดารายชื่อทั้งหมดนั้นจวนจงซานโหวอยู่ในหมวดหมู่ที่ไม่ควรเสียมารยาท
สืออีเหนียงรู้ว่านี่คือแวดวงสังคมของสกุลสวี
นางจึงตั้งใจฟังอย่างจริงจัง
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “แม้ส่วนรายงานจะมีบัญชีรายชื่อ แต่นี่เป็นงานของพวกเรา หากให้ส่วนรายงานเป็นคนตัดสินใจในทุกๆ เรื่อง นานวันเข้าผู้ดูแลเหล่านั้นอาจจะกระทำการโดยประมาท ข้าคิดว่าควรจะจดจำไว้ในใจด้วยตัวเอง เมื่อเกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ให้พูดออกมาเพื่อให้พวกเขารู้ว่าเจ้าไม่ได้ละเลย เมื่อเวลาผ่านไปถึงแม้ว่าเจ้าจะประมาทแต่พวกเขาก็จะไม่กล้าที่จะหลอกหรือปิดบังเจ้า”
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าการทำความคุ้นเคยเป็นหน้าที่ของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้คนใต้บังคับบัญชาก็จะไม่กล้าหลอกลวงหรือปิดบังเพราะคิดว่าตัวเองไม่รู้เรื่อง
เมื่อรู้ว่าไท่ฮูหยินกำลังสอนนางทีละเล็กทีละน้อย สืออีเหนียงก็พยายามอดกลั้นความตื่นเต้นเล็กๆ ที่อยู่ในใจเอาไว้ ตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นว่าสืออีเหนียงดูไม่ผ่อนคลายเหมือนเมื่อครู่ ก็ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเคร่งขรึม รู้ว่านางเข้าใจความหมายของตัวเองจึงพอใจในไหวพริบของนางเป็นอย่างมาก พยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สกุลของจงซานโหวเป็นสกุลที่กว้างขวางที่สุดในบรรดาขุนนางอย่างพวกเรา ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลาคงจะต้องเจอกับคนที่อยู่ในรายชื่อมากกว่าครึ่ง ควรจะพูดหรือทำตัวอย่างไรเจ้าควรจำเอาไว้ให้ดี เมื่อถึงเวลาควรทำตัวให้อยู่ในขอบเขต”
สืออีเหนียงตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” พยุงไท่ฮูหยินนอนลงแล้วกลับไปที่เรือนของตัวเอง ไม่มีเวลานอนพักผ่อนกลางวันเพราะต้องเริ่มท่องรายชื่อและตำแหน่งในเทียบรายชื่อแล้ว
เข้าสู่วัยสาวแล้ว ความจำดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก
ระหว่างรอป้าเถามา นางได้ท่องไปแล้วสามสี่แผ่น
ส่วนป้าเถาที่มองดูนางนั่งท่องเทียบรายชื่ออยู่บนตั่งก็เผยให้เห็นสีหน้าที่ดูสับสนเล็กน้อย “ฮูหยินจะไปร่วมงานกับไท่ฮูหยินหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “จวนจงซานโหวจะแต่งสะใภ้ ไท่ฮูหยินจึงจะพาข้าไปด้วย”
“ฮูหยิน…ได้รับความโปรดปรานจากไท่ฮูหยินเร็วเช่นนี้ช่างดีเสียจริงเจ้าค่ะ” รอยยิ้มของนางดูค่อนข้างฝืนใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงเข้าใจอารมณ์ของนางเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้นางต้องสนับสนุนตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อจุนเกอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยินดีที่ตนจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ เมื่อห่วงโซ่ผลประโยชน์ของพวกนางแตกออก คนแรกที่จะออกมาพูดว่าร้ายให้ตัวนางต้องอับอาย ไม่แน่อาจจะเป็นป้าเถาก็ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่นางต้องคอยหลบเลี่ยงป้าเถาอย่างระมัดระวังเพื่อปลูกฝังอำนาจของตัวเองในจวน
สืออีเหนียงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ และไม่มีเวลามาสนใจความรู้สึกของป้าเถา นางยิ้มแล้วพูดว่า“พาสาวใช้มาแล้วหรือ เรียกเข้ามาให้ข้าดูหน่อยเถิด”
ท่าทางป้าเถากลับมาอ่อนโยนและสงบนิ่งเช่นเดิม ยิ้มแล้วเรียกพวกเด็กๆ เข้ามา
เด็กหญิงห้าคนอายุไม่เกินสิบปี อายุน้อยที่สุดเพียงเจ็ดขวบเท่านั้น ทุกคนมวยผมขึ้นสองข้าง แต่งตัวสะอาดสะอ้านเรียบร้อย เหวินจู๋ร่างกายผอมบางสมกับชื่อ ใบหน้ากลมๆ เหมือนเด็กทารกของชิ่นเซียงน่ารักเป็นอย่างมาก คิ้วเรียวงามของเถาหลิวดูสงบนิ่ง คิ้วของเหลียนเจียวแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความขี้ขลาดแต่ก็ทำให้คนรู้สึกเอ็นดู เถาฮวากับเว่ยจื่อหน้าตาดูคล้ายกันมาก ดูเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อย ทะมัดทะแมง
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าเล็กน้อย
สาวน้อยเหล่านี้ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไท่ฮูหยินจะต้องถูกใจใครสักคนอย่างแน่นอน
นางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสองสามประโยคว่า “ไม่ต้องกลัว อีกสักครู่เมื่อไท่ฮูหยินถามอะไรพวกเจ้าก็แค่ตอบให้ดีก็พอ” จากนั้นก็ให้ป้าเถานำบรรดาเด็กหญิงเหล่านี้ไปพบไท่ฮูหยิน
ฮูหยินสามมาถึงเร็วกว่านาง
ป้ากานพาเด็กหญิงห้าหกคนมายืนรออยู่ที่ชายคาเรือน เด็กหญิงตัวเล็กๆ เหล่านั้นอายุไม่เกินสิบสองสิบสามปี อายุน้อยสุดสิบปี พากันยืนตัวตรง เมื่อเห็นสืออีเหนียงและคนอื่นๆ ป้ากานก็รีบยิ้มต้อนรับทันที “ฮูหยินสี่ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ” แต่สายตากลับมองไปด้านหลังนาง
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง ให้ป้าเถากับเด็กๆ รออยู่กับป้ากาน จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยมาเปิดม่านเชิญสืออีเหนียงเข้าไปในห้อง
ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสามกำลังพูดเรื่องของสาวใช้ “…ข้าคิดว่าฟังถิงผู้นั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว จัดการตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสมเถิด”
ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินจะเห็นสาวใช้เหล่านั้นแล้ว
นางคงพยายามเป็นอย่างมากจึงได้ตัดสินใจเลือกสาวใช้ให้ฉินเกอก่อนที่ตัวเองจะมาถึง เพื่อที่ไม่ให้ตัวเองอยู่ด้วยเหมือนสมัยที่หยวนเหนียงได้ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปยังเรือนอื่นโดยการยัดคนนอกเข้าไป
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน