ฮูหยินสามเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา เหมือนอยากจะปกปิดการมาเร็วกว่าปกติของตัวเอง ไม่ทันรอให้สืออีเหนียงได้คำนับ ยิ้มแล้วพูดว่า “น้องสะใภ้สี่มาสายแล้ว!”
ทั้งๆ ที่เป็นคนที่มาเร็วกว่าปกติ แต่กลับมาบอกว่านางมาช้า
แต่อย่างไรก็ตาม ตนก็มาเวลานี้ตลอด จะช้าหรือเร็วในใจไท่ฮูหยินนั้นรู้ดี ไม่จำเป็นต้องมาชี้แจงกับนางเพื่อทำให้ไท่ฮูหยินคิดว่าเป็นคนไม่ยอมคน
สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยแล้วคำนับนาง
ไท่ฮูหยินมองแล้วพยักหน้าเล็กน้อย หัวเราะแล้วพูดขึ้นมาว่า “พาสาวใช้มาแล้วหรือ นำเข้ามาให้ข้าดูเสียหน่อย”
เมื่อไท่ฮูหยินช่วยพูดแก้ไขสถานการณ์ให้นาง สืออีเหนียงจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม“เจ้าค่ะ”
สาวใช้น้อยไวพริบดีที่ยืนอยู่ข้างๆ เดินออกไปเรียกป้าเถา
ส่วนฮูหยินสามที่เห็นว่าทุกคนไม่ได้ซักถามเหตุผลการมาถึงเร็วของตัวเองจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่งดูอยู่ข้างๆ อย่างสบายใจ
ไม่นานป้าเถาก็พาเหวินจู๋และเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ เข้ามา
หลังจากคารวะไท่ฮูหยินแล้วก็ไปยืนเรียงรายอยู่กลางห้อง
ฮูหยินสามมองแล้วชื่นชมว่า “ลักษณะท่าทางดูดีจริงๆ!”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพยักหน้า กวักมือเรียกเด็กผู้หญิงสองสามคน “มาๆ เดินเข้ามาให้ข้าดูหน่อย”
แม้ว่าเด็กผู้หญิงเหล่านั้นจะดูหวาดกลัวแต่ก็ไม่ได้ตัวสั่น เดินไปที่หน้าเตียงเตาอย่างสบายๆ
ป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ หยิบแว่นให้ไท่ฮูหยินเพื่อมองดูพวกนาง จากนั้นก็นำรายชื่อที่สืออีเหนียงให้มาเมื่อเช้าออกมา ถามแต่ละคนว่าชื่ออะไร อายุเท่าไร ที่บ้านมีใครบ้าง ทำอาชีพอะไร
เหวินจู๋และเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ค่อยๆ ตอบทีละคำถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มีเพียงเถาฮวาที่เมื่อเห็นว่าไท่ฮูหยินมีความเมตตานางจึงทำตัวตามสบายมากขึ้นกว่าเดิม
เว่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ มองด้วยสีหน้าที่ร้อนรนอย่างอดไม่ได้
สืออีเหนียงใจเต้นเล็กน้อย
เว่ยจื่อปรนนิบัติรับใช้ไท่ฮูหยินมาจึงรู้ความคิดของไท่ฮูหยินดีที่สุด ดูแล้วโอกาสที่เถาฮวาจะถูกเลือกนั้นมีน้อยมาก แบบนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องมีคนนอกมาอยู่ข้างกายสวีซื่ออวี้
ไท่ฮูหยินถามอยู่ครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็นั่งตัวตรงแล้วจิบชา
ป้าเถารู้ว่าไท่ฮูหยินถามเสร็จแล้วจึงพาเด็กผู้หญิงเหล่านั้นถอยออกไป
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “คนที่ชื่อเถาฮวา หางานอื่นให้นางทำเถิด ส่วนคนอื่นๆ ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว”
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย
สืออีเหนียงตอบรับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็มองเว่ยจื่อด้วยแววตาขออภัย
เว่ยจื่อรู้สึกผิดหวังมากแต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีออกมา นางฝืนยิ้มให้สืออีเหนียง
“ส่งเด็กผู้หญิงเหล่านั้นให้ป้าตู้เป็นคนดูแล” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปเถิด”
สืออีเหนียงกับฮูหยินสามคารวะไท่ฮูหยินแล้วถอยออกไป ป้าเถาส่งเหวินจู๋และคนอื่นๆ ให้ป้าตู้ ส่วนป้ากานก็ส่งฟังถิงและคนอื่นๆ ให้ป้าตู้เช่นกัน จากนั้นแต่ละคนก็พาคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกกลับเรือน
เถาฮวาถามป้าเถาอย่างไร้เดียงสาว่า “ข้าจะได้ทำงานที่เรือนของฮูหยินหรือไม่เจ้าคะ”
เมื่อครู่ตอนที่ไท่ฮูหยินซักถามเถาฮวา สืออีเหนียงก็นั่งฟังอยู่ข้างๆ มารดาและบิดาของเว่ยจื่ออาศัยอยู่ในหมู่บ้าน เด็กคนนี้คงจะอาศัยพี่สาวของตัวเองเพื่อเข้ามาทำงานในเรือนของไท่ฮูหยิน ดังนั้นจึงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดว่าเมื่อมีเว่ยจื่ออยู่แล้วก็จะสมปรารถนาทุกอย่าง
ป้าเถาเองก็เดาได้แล้วเช่นกันจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยากทำงานในเรือนของฮูหยินอย่างนั้นหรือ”
เถาฮวายิ้มแล้วพูดว่า “แม่ข้าบอกว่าทางที่ดีควรไปทำงานที่เรือนของคุณชายน้อยสอง เช่นนี้ข้าก็จะสามารถเป็นสาวใช้ใหญ่เหมือนกับพี่สาวได้แล้ว”
ป้าเถายิ้มเล็กน้อย ให้คนพานางออกไปก่อน ปรึกษากับสืออีเหนียงว่า “จะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ดีเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หางานให้นางทำก็พอแล้ว แค่นี้ก็ถือว่าเห็นแก่หน้าของเว่ยจื่อแล้ว”
ป้าเถาถอนหายใจ “เกรงว่าก็คงต้องเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ” แต่ในใจกลับคิดว่าเถาฮวาเป็นคนพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะ เกรงว่าไม่ว่าจะส่งไปอยู่ที่ใดก็จะเป็นต้นตอของปัญหา!
เมื่อป้าเถาไปแล้วสืออีเหนียงก็อดถอนหายใจกับหู่พั่วไม่ได้ “ถึงแม้จะมีมารดาเดียวกันแต่นิสัยของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันจริงๆ”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านคงจะไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเว่ยจื่อมีนามว่าหลี่ฮวา แต่ที่บ้านมีเด็กมากมาย เลี้ยงไม่ไหวจึงได้ให้นางไปอยู่กับป้าที่โรงซักล้าง นางจึงได้อยู่ในจวนมาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่เหมือนเถาฮวาที่อยู่ในหมู่บ้านมาตั้งแต่เด็กจึงไม่ค่อยได้เห็นโลกกว้างเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หู่พั่วของพวกเราก็โตมาจากในหมู่บ้านมิใช่หรือ แต่เหตุใดกลับเฉลียวฉลาดและมีความสามารถเช่นนี้เล่า อย่างไรเสียทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละคน” ทำเอาหู่พั่วหน้าแดงไปหมด อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
นางถามถึงสถานการณ์ทางฝั่งของเรือนซีซาน “…มีข่าวอันใดหรือไม่”
หู่พั่วส่ายหน้า “ได้ยินมาว่าประตูใหญ่ปิดอยู่ตลอดไม่เคยเห็นว่ามีคนเข้าออก”
สืออีเหนียงไม่ได้กังวลอะไร
ที่ไม่มีข่าวเป็นเพราะว่าเกิดเรื่องขึ้นแต่คนของทางนั้นไม่ได้สังเกตเห็น หรือว่าจริงๆ แล้วไม่ได้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเลย
นางถอนหายใจคิดถึงเรื่องที่พรุ่งนี้จะต้องไปจวนจงซานโหวกับไท่ฮูหยินจึงเรียกปินจวี๋เข้ามา ทั้งสามคนปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะใส่ชุดอะไร สวมเครื่องประดับแบบไหน
สวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว
สืออีเหนียงรีบวางสิ่งที่อยู่ในมือลงแล้วออกไปต้อนรับ
เมื่อเทียบกับตอนเช้า อารมณ์ของสวีลิ่งอี๋ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากห้องชำระ เขาก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงภายในห้อง
“เรือนหน่วนฝังมาเปลี่ยนดอกไม้แล้วหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ซ้ำยังส่งต้นพุดตานสีแดงมาด้วย”
สวีลิ่งอี๋มองดูดอกไม้สีสดใสที่ปักอยู่ในแจกันสีเขียวบนระเบียง พยักหน้าแล้วถอดรองเท้าขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา
สืออีเหนียงไปชงชาให้เขาด้วยตัวเอง “ทำไมวันนี้ท่านโหวกลับมาเร็วล่ะเจ้าคะ”
นี่พึ่งจะยามเซิน ปกติจะกลับบ้านช้ากว่านี้ครึ่งชั่วยาม
“อ้อ พอดีว่าไม่มีเรื่องอันใดแล้ว” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างสบายๆ ต่อว่า “ดังนั้นจึงกลับมาเร็ว”
ไม่มีเรื่องอันใดจึงได้กลับมาเร็วอย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงไม่เชื่อ
สวีลิ่งอี๋ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ติดบ้าน
แต่นางแกล้งทำเป็นไม่รู้
ยิ้มแล้วเล่าให้เขาฟังว่าวันพรุ่งนี้ไท่ฮูหยินจะพานางไปแสดงความยินดีที่จวนจงซานโหว
สวีลิ่งอี๋ฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เหตุใดท่านแม่ไม่เห็นบอกข้า”
“อาจจะเป็นเพราะว่าท่านโหวยังไม่กลับมากระมังเจ้าคะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ข้าดูจากท่าทางของท่านแม่แล้วเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน บางทีไท่ฮูหยินอาจจะอยากไปดูความครึกครื้น”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า มองดูสาวใช้ในเรือน สีหน้ามีความลังเล
หรือว่าจะเหมือนกับเมื่อเช้านี้ มีเรื่องบางอย่างที่อยากจะพูดกับนาง?
สืออีเหนียงครุ่นคิด
หรือว่าจะให้ปินจวี๋ไปเก็บเสื้อผ้าที่เมื่อครู่นี้นางไม่ทันได้เก็บใส่ในหีบ หรือว่าจะให้ไปดูว่าอาหารที่เรือนไท่ฮูหยินทำเสร็จแล้วหรือยัง
จัดการไล่คนในห้องออกไปทีละคนจนหมด
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทันใดนั้นก็พูดอย่างไม่คิดอะไรว่า “เมื่อวานข้าคุยกับพี่สามถึงกลางดึก”น้ำเสียงของเขามีความลังเลอยู่เล็กน้อย
หนึ่งประโยคถูกเก็บเอาไว้ตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนนี้ เขาช่างเป็นคนที่มีความอดทนเสียจริง
สืออีเหนียงกลั้นหัวเราะเอาไว้ นั่งลงตรงข้ามเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็มีท่าทางผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เขาเม้มปากอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยประโยคที่สองออกมา ราวกับว่าเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ย
หรือว่าเมื่อคืนคุณชายสามเอ่ยคำพูดที่ฟังดูไม่ดีเท่าไร สวีลิ่งอี๋ไม่อยากให้ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องต้องเปิดเผยต่อหน้าภรรยา? หรือว่าคุณชายสามร้องขออะไรที่มากเกินไปสวีลิ่งอี๋จึงไม่อาจเอ่ยปากได้?
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรต่างก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คืออย่าปล่อยให้ร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเองทิ้งไว้ในใจของสวีลิ่งอี๋ต้องหายไปจนหมด…มิฉะนั้นหากในภายหลังเขาเจอเรื่องเช่นนี้อีก ตัวเองอาจไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขาอีกอย่างแน่นอน หากไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขาก็จะไม่สามารถเป็นคนที่เขาเชื่อใจได้ เมื่อไม่สามารถเป็นคนที่เขาเชื่อใจได้ก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเขา เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจากเขาก็จะไม่สามารถได้รับอิสรภาพอันสูงสุด…
สืออีเหนียงมองข้ามความสัมพันธ์ของพี่น้องเหล่านั้นไป ถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านโหวมีความคิดอย่างไรหรือเจ้าคะ”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็รู้สึกผ่อนคลายลง
การที่ได้พูดความในใจกับพี่สาม เขารู้ว่าภรรยาก๋ากั่นที่ยู่ตรงหน้าคือผู้ที่มีส่วนร่วมคนแรก แต่หากจะให้เขาปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นคนของเขา เขาก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง ให้เขาปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นกันเองเหมือนเพื่อนร่วมงานที่อยู่รอบตัวเขา เขาก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าหากให้เขาปฏิบัติต่อนางอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมาเหมือนกับว่าเป็นผู้ดูแลในเรือน ก็ทำให้เขารู้สึกว่าเย็นชาเกินไป…สำหรับภรรยาแล้ว เขาคิดอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออกว่าตอนนั้นตนเคยนั่งปรึกษาเรื่องในครอบครัวกับหยวนเหนียงอย่างสุภาพหรือไม่ ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่ต่างคนต่างก็ยึดมั่นถือมั่นกับความเห็นของตัวเอง สุดท้ายก็แยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์
ในช่วงขณะหนึ่งจึงไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรดี
แต่ยามนี้นางไล่บ่าวรับใช้ออกไปด้วยความเข้าใจและไม่ได้ถามว่าตัวเองคุยอะไรกับพี่สามกันแน่ เขาจึงอดรู้สึกโล่งใจไม่ได้
“พี่สามก็เป็นคนฉลาดเช่นกัน เขาสอบผ่านรอบความสามารถ ต่อมาท่านพ่อได้บอกว่าคนอย่างพวกเรามีเพียงความสามารถที่แท้จริงก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงปลอมๆ เหล่านั้น พี่สามจึงไม่ได้เข้าร่วมการสอบต่อ” เขาพูดอย่างจนปัญญา “จะว่าไปแล้วพี่สามก็เพียงแค่กังวลเรื่องอนาคตของเด็กๆ ก็เท่านั้น”
อ้อ!
สืออีเหนียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋มองนางด้วยสีหน้าจริงจังจึงพยายามไม่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย
ดูท่าสวีลิ่งหนิงจะยังไม่เปิดใจกับสวีลิ่งอี๋สักเท่าไร
แต่ว่าหากเป็นตัวนางเองก็อาจจะทำแบบนั้นเช่นกัน
คนอย่างสวีลิ่งอี๋จะเข้าใจความคิดที่ละเอียดอ่อนของสวีลิ่งหนิงที่น้อยเนื้อต่ำใจแต่ก็ยังรักศักดิ์ศรีได้อย่างไร
แต่เมื่อบรรลุเป้าหมายก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายกับสวีลิ่งอี๋เพื่อให้เขาเข้าใจ
“ข้าคิดๆ ดูแล้วที่พี่สามพูดก็ถูก ปีนี้ฉินเกอเองก็อายุสิบสามปีแล้ว ส่วนเจี่ยนเกอก็อายุสิบเอ็ดปีแล้ว ใกล้จะถึงวัยที่จะหารือเรื่องแต่งงานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่มีเงินออมมากนัก พี่สะใภ้สามอดร้อนใจไม่ได้จึงเกิดความละโมบโลภมากขึ้นมา”
สืออีเหนียงพยักหน้าทำสีหน้าเคร่งขรึม แต่ในใจกลับแอบรู้สึกตลก
จะว่าไปสวีลิ่งอี๋เป็นคนฉลาดและเก่งกาจมาก แต่ตอนนี้กลับพูดประโยคเช่นนี้ออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าเขาแกล้งทำเป็นเข้าใจในเหตุผลนั้นก็เพื่อคุณชายสาม
“ข้าจึงคิดว่าไม่สู้เติมเต็มให้พี่สาม ให้เขาได้ไปทำงานนอกเมืองหลวงก็พอแล้ว”
“ไปทำงานนอกเมืองหลวง!” เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ตาเป็นประกาย “ความคิดของท่านโหวดีมากเลยเจ้าค่ะ คนข้างนอกพูดเพียงแต่ว่าพี่สามล่าช้าไปหลายปีเพราะเรื่องครอบครัว ตอนนี้ทุกอย่างในจวนราบรื่น พี่สามต้องวางแผนอนาคตข้างหน้าเพื่อตัวเอง หากพี่สะใภ้สามอยากไปก็ไปด้วยกันได้ จะได้ไม่ต้องพูดเรื่องแยกจวนกันอยู่อีก”
สวีลิ่งอี๋เห็นแววตาเป็นประกายของนางและเห็นว่านางสามารถเข้าใจเจตนาของตัวเองได้ในทันที แววตาจึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
“ไปทำงานเป็นนายอำเภอในเขตใดเขตหนึ่ง ผ่านไปหลายปีเมื่อทุกคนเริ่มชินกับการที่พี่สามไม่ได้อยู่ที่เหอฮวาหลี่แล้ว ค่อยหาตำแหน่งขุนนางอื่นๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็ซื้อเรือนนอกไว้ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าก็กลับมาคารวะท่านแม่ เช่นนี้ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุขแล้ว”
สืออีเหนียงพยักหน้า คิดว่าความคิดนี้ช่างดีเสียจริง
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนก็จะอยู่ด้วยกันเพียงแค่ในนาม แต่ในความจริงได้แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง มีเรื่องอันใดก็ยังดูแลซึ่งกันและกันได้ อย่างไรเสียหากสกุลสวีมีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น สวีลิ่งหนิงก็ไม่มีทางหนีพ้นในฐานะคนของสกุลสวี
“เพียงแต่ว่ายังมีอีกหนึ่งเรื่อง…” สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าลังเล