สืออีเหนียงพึมพำ “รู้หรือไม่ว่าเด็กรับใช้ชายผู้นั้นมีนามว่าอะไร”
“ทราบเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูด “มีนามว่าเสี่ยวลู่จือ อายุประมาณเก้าถึงสิบปี หยางฮุยจู่แอบบุกเข้าไปดูในห้องของเสี่ยวลู่จือ บอกว่าเขาหน้าตาสะอาดสะอ้าน พูดจาสุภาพมีมารยาท ดูเหมือนว่าจะอ่านหนังสือออกอีกต่างหาก”
หน้าตาซื่อสัตย์ สุภาพเรียบร้อย แล้วยังอ่านหนังสือออก…เห็นได้ชัดว่าจะส่งเขาให้ไปเป็นบ่าวรับใช้คนสนิท!
สืออีเหนียงยิ้ม จากนั้นก็ถามถึงฉินอี๋เหนียง “…มีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”
“ได้ยินสาวใช้คนสนิทของฉินอี๋เหนียงบอกว่า สองสามวันมานี้ ฉินอี๋เหนียงไม่ค่อยอยากอาหาร นอนก็ไม่หลับ ซิ่งฮวาสาวใช้คนสนิทของนางจึงให้คนไปนำน้ำมนต์จากวัดฉือหยวนมาให้นางดื่มเจ้าค่ะ”
“ดื่มน้ำมนต์?” สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
หู่พั่วพยักหน้า “ฉินอี๋เหนียงศรัทธาในตัวไต้ซือจี้หนิงผู้นั้นเป็นอย่างมาก นางบริจาคเงินค่าน้ำมันให้กับวัดฉือหยวนทุกปี”
สืออีเหนียงรู้สึกขบขันจนแทบอยากจะหัวเราะออกมา
ถึงแม้ว่าคนในจวนจะมีไม่มาก แต่ความศรัทธานั้นช่างมากล้นเสียจริง
นางเล่าเรื่องที่สกุลหลินอาจจะขอให้นางช่วยสอนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เย็บปักถักร้อยให้หู่พั่วฟัง “เราสองสกุลอาศัยอยู่ข้างกัน ในจวนจะต้องมีท่านป้าที่อายุมากไปมาหาสู่กับคนที่นั่นอย่างแน่นอน เจ้าช่วยข้าสืบเรื่องฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เสียหน่อย ถึงตอนนั้นเราจะได้มีการเตรียมตัวไว้” จากนั้นก็พูดถึงเรื่องตรอกจินอวี๋ “ใกล้จะปีใหม่แล้ว เจ้าส่งคนนำเงินจำนวนห้าสิบตำลึงไปให้พวกเขา แล้วบอกว่าให้พวกเขาฉลองปีใหม่อย่างสบายใจ มีเรื่องอันใดก็รอให้หิมะหยุดตกก่อนแล้วค่อยว่ากัน” จากนั้นนางก็บอกหู่พั่วอีกว่า “พรุ่งนี้เจ้าช่วยปลุกข้าตื่นตอนยามโฉ่ว”
หู่พั่วพยักหน้า จดจำคำที่สืออีเหนียงบอกทุกคำ ยามโฉ่วของวันต่อมา นางก็มาเรียกสืออีเหนียงให้ตื่นนอน
อากาศหนาวๆ เช่นนี้ สืออีเหนียงจึงนอนอยู่ใต้ผ้าห่มอยู่นานกว่าจะยอมลุกออกมา เก็บข้าวของเสร็จก็นั่งทานแอปเปิ้ลอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของสวีลิ่งอี๋
นางอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ บอกให้หู่พั่วออกไปดู
ผ่านไปครู่หนึ่ง หู่พั่วกลับมาด้วยท่าทีแปลกๆ “เฉียวอี๋เหนียงกำลังรับใช้ท่านโหวทานอาหารเช้าเจ้าค่ะ สาวใช้ถามบ่าวว่ามีเรื่องอันใดหรือไม่ บ่าวบอกแค่ว่ามาดูว่าท่านโหวไปราชสำนักแล้วหรือยัง นอกนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรเจ้าค่ะ”
สาวใช้สองสามคนที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างๆ ต่างพากันกลั้นหายใจด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องก็เงียบงันขึ้นไม่น้อย
คาดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋ไม่คิดที่จะมา…
สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หู่พั่วก็กระอึกกระอัก
อับอายขนาดนี้แล้ว คงไม่มีเรื่องใดที่ต้องเกรงกลัวอีก
สืออีเหนียงเอ่ยถามนาง “มีเรื่องอันใดอีกหรือไม่”
หู่พั่วเดินไปข้างหน้าแล้วกระซิบเบาๆ “ได้ยินมาว่าเมื่อวานท่านโหวนอนที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นไปใหญ่
หากไม่อยากให้ผู้อื่นรับรู้ ตนต้องไม่กระทำสิ่งใด ยิ่งไปกว่านั้น เกรงว่าในเรือนของนางจะมีคนของอี๋เหนียงทั้งสามอยู่แล้ว เมื่อถึงคราวที่เฉียวอี๋เหนียงต้องรับใช้ท่านโหวเข้านอนครานั้น ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับสวีลิ่งอี๋แต่เพียงเพราะเขาแค่ไม่มีอารมณ์ แต่เมื่อคืนเขาพึ่งจะเข้านอนที่นั่น เช้าวันนี้นางกลับให้สาวใช้คนสนิทออกไปดูความเคลื่อนไหว หากคนที่จิตใจไม่ดีรู้เข้า…มันจะเกิดอะไรขึ้นกันเล่า!
นางแอบก่นด่าสวีลิ่งอี๋อยู่ในใจ
บอกว่าจะให้นางรับใช้เขาทานอาหารเช้ามิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่รักษาคำพูด!
แต่ในใจนางก็รู้ว่าจะโทษสวีลิ่งอี๋ไม่ได้
เมื่อวานนางก็แค่พูดออกไปเช่นนั้น ตอนนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ตอบกลับมาแล้ว บอกให้นางไม่ต้องตื่นเช้าขนาดนั้น
เหตุใดถึงได้ทำพลาดเช่นนี้!
หรือว่า…กลัวว่าตัวเองจะทำให้เขาไม่พอใจ!
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงก็พยักหน้าในใจ
ใช่แล้ว ที่บอกว่าวันนี้จะรับใช้เขาทานอาหารเช้า ก็เพราะว่าตอนนั้นรู้สึกผิดที่ปฏิเสธเขา วันนี้นางถึงได้มีพฤติกรรมเช่นนี้ คิดว่าเขาจะให้นางรับใช้เขาทานอาหารเช้า เช่นนั้นก็จะได้ถือว่าเขาให้อภัยนางที่นางปฏิเสธเขาเมื่อวาน เพื่อให้ตนรู้สึกสบายใจขึ้นเพียงเท่านั้น
คิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก
ตัวเองระมัดระวังเกินไปกระมัง
หากไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ก็จะไม่สามารถทำสิ่งใดสำเร็จได้ บุรุษคือผู้นำนอกบ้าน สตรีคือผู้นำในบ้าน เรื่องในเรือน ตัวเองต้องเป็นคนจัดการ นอนที่เรือนของใครกี่วัน ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นคนกำหนด แต่เขาก็เห็นด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดนางถึงต้องรู้สึกผิดกันเล่า
คิดเช่นนี้ นางจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย
หู่พั่วมองนางแต่ก็ไม่พูดไม่จาอยู่นาน เห็นนางนั่งหน้าแดงอยู่ตรงนั้น คิดว่านางกำลังหงุดหงิด จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช้านี้โรงครัวทำซุปไก่ที่ต้มด้วยสมุนไพรฤดูหนาว บ่าวให้คนตักมาให้ท่านสักถ้วยดีหรือไม่เจ้าคะ!”
“ดีสิ!” สืออีเหนียงพยักหน้า “เจ้านำกล่องงานปักของข้าออกมาด้วย ข้าจะดูว่ามีงานปักที่สวยงามและเรียบง่ายหรือไม่ หากฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาข้าจะได้นำออกมาให้นางดูเป็นตัวอย่าง”
หู่พั่วเห็นว่าสีหน้าของนางค่อยๆ กลับมาปกติเหมือนเดิม นางก็ดีใจและไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องของท่านโหว เฉียวอี๋เหนียงและอาหารเช้าอีกต่อไป นางรีบยิ้มแล้วตอบรับ เรียกสาวใช้ยกอาหารเช้าเข้ามา จากนั้นก็พาสาวใช้สองคนออกไปนำกล่องงานปักของสืออีเหนียงมา
สืออีเหนียงทานซุปไก่หนึ่งถ้วย จากนั้นก็นั่งเลือกงานปัก คิดว่าหากเจินเจี่ยเอ๋อร์มาหานาง จุนเกอก็คงจะมาด้วย ถึงตอนนั้นต้องคิดหาวิธีดึงดูดให้เขาเข้ามาเล่นในห้อง นางหัวหมุนไม่หยุด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กผู้ชายชอบเล่นอะไร” นางถามหู่พั่ว
หู่พั่วตกใจ ครุ่นคิดอยู่นานแต่กลับส่ายหน้า “บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ!” หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถามเบาๆ “ท่านจะเตรียมไว้ให้จุนเกอหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจ “ของเล่นที่ข้าเล่นตอนนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะกับจุนเกอสักเท่าไร”
หู่พั่วครุ่นคิดแล้วพูดว่า “หรือว่า ให้บ่าวไปถามเจ้าคะ”
“อืม” สืออีเหนียงพูด “เจ้าลองไปถามก่อน แล้วค่อยกลับมารายงานข้าตอนเย็น”
ในขณะที่นางกำลังพูด สะใภ้หนานหย่งก็มาพอดี เห็นสืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างนางก็ตกใจ
สืออีเหนียงอธิบายราวกับที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง “อ๋อ อีกสองวันคุณนายใหญ่สกุลหลินจวนข้างๆ อาจจะพาฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ บุตรสาวของนางมาให้ข้าช่วยสอนการเย็บปักถักร้อย ข้าจึงเอาของเก่าออกมาดูว่ามีอันไหนเหมาะสมหรือไม่ ถึงตอนนั้นจะเอาไปเป็นต้นแบบให้นาง”
สะใภ้หนานหย่งได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม “ท่านมีแขกหรือเจ้าคะ ให้บ่าวช่วยตัดกระดาษแปะหน้าต่างใหม่ให้ ดีหรือไม่เจ้าคะ ใกล้จะปีใหม่แล้ว ให้ดูรื่นเริงสักหน่อย” พูดจบนางก็พูดอย่างเขินอาย “ฝีมือการตัดกระดาษของบ่าวธรรมดา บ่าวตัดเป็นแค่คำว่าเจริญรุ่งเรืองและเหลือกินเหลือใช้ตลอดทั้งปี ป้าตู้ ท่านป้าคนสนิทของไท่ฮูหยิน ตัดเป็นทุกอย่าง ไม่ต้องวาดลายบนกระดาษสีแดง แค่จับกรรไกรแล้วคิดอยากจะตัดแบบไหนก็ตัดได้เลยเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ!” สืออีเหนียงคิดไม่ถึงจริงๆ นางยิ้มแล้วพูดว่า “แต่ว่าเจ้าเก่งกว่าข้า ข้าตัดเป็นแค่คำว่ายินดี สักวันเชิญป้าตู้มาสอนเราตัดกระดาษก็คงจะดี”
สะใภ้หนานหย่งได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าตกใจ “บ่าวขอมีส่วนร่วมด้วยนะเจ้าคะ…”
สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่านางยังต้องดูแลบุตร จึงรีบพูดว่า “หากเจ้ามีงานต้องทำก็ไปทำเถิด”
สะใภ้หนานหย่งได้ยินเช่นนี้ก็โบกมือซ้ำๆ “บ่าวไม่มีงานอะไรเจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วพูดอย่างเขินอาย “บ่าวก็อยากเรียนการตัดกระดาษกับป้าตู้ แต่บ่าวแค่ไม่กล้าเอ่ยปากถามเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าอยากเรียน ถึงตอนนั้นก็มาเรียนด้วยกันเถิด หากเจ้ากังวลว่าจะไม่มีใครดูแลบุตรสาว ก็พานางมาด้วย สาวใช้ในเรือนของข้ามีตั้งเยอะแยะ ให้พวกนางช่วยดูแลให้ก็ได้”
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยคือเสียงที่ไพเราะที่สุดในโลก!
สะใภ้หนานหย่งยิ้มอย่างมีความสุข
สืออีเหนียงปรึกษานาง “เจ้าม้วนผมมวยดอกโบตั๋นให้ข้า ม้วนเหมือนตอนที่ข้ากลับสกุลเดิม แต่ว่าอย่าม้วนสูงขนาดนั้น หากม้วนสูงเกินไปจะราวกับว่าข้าแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่…” นางพูดเบาๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นผู้ใหญ่อยู่แล้วก็ตาม!”
สะใภ้หนานหย่งได้ยินเช่นนี้ก็ปิดปากยิ้ม เดินไปหน้ากระจกกับสืออีเหนียง ม้วนผมมวยดอกโบตั๋นที่ต่ำกว่าปกติ ไม่ได้ปักปิ่นปักผมเหมือนคนทั่วไป นางปักปิ่นขี้ผึ้งปะการังรูปทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสองอัน ใส่ต่างหูดอกติงเซียงเล็กๆ ข้างในสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว ข้างนอกสวมเสื้อกั๊กยาวที่มีลวดลายของดอกเหมย กล้วยไม้และต้นไผ่สีเขียวอ่อน สวมกระโปรงผ้าไหมสีเขียว ทำให้นางดูผอมเพรียวและสง่างาม
สืออีเหนียงคิดว่าไม่เลวเลยทีเดียว นางยิ้มแล้วบอกให้หู่พั่วนำสร้อยข้อมือหยกมาใส่
หยกลายผีเสื้อสองตัวที่ขนาดเท่าเล็บมืออยู่กลางดอกเหมยสีแดง ข้างล่างห้อยด้วยเครื่องประดับสีแดงยาวๆ ขยับไปมามีสีแดงอยู่ในสีเขียวอ่อนกับสีเขียวมรกต ความสวยงามเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้กลับทำให้นางยิ่งดูงดงามและมีเสน่ห์มากขึ้น
“ฮูหยินสี่งดงามมากเลยเจ้าค่ะ!” สะใภ้หนานหย่งมองนางด้วยสายตาที่อิจฉา
สืออีเหนียงจับหยกลายผีเสื้อสองตัวนั้นเล่นไปมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “ก็แค่ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง”
สะใภ้หนานหย่งมองดูใบหน้าที่งดงามของนางด้วยดวงตาที่สดใส นางรู้สึกว่าสืออีเหนียงงดงามกว่าเครื่องประดับพวกนั้นเสียอีก แต่นางพูดไม่เป็นจึงแค่มองหน้าสืออีเหนียงแล้วยิ้ม สืออีเหนียงเห็นว่าเริ่มสายแล้ว นางจึงพาหู่พั่วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินตื่นตั้งนานแล้ว เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามาสายตาของนางก็เป็นประกาย นางยิ้มแล้วพูดว่า “คนเราต้องแต่งตัวเสียบ้าง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองดูเสื้อกั๊กยาวที่ตัวเองสวมอยู่ “เพราะว่าเสื้อที่ท่านแม่มอบให้สวยงามต่างหากเจ้าค่ะ!” นี่คือหนึ่งในผ้าที่ไท่ฮูหยินมอบให้เมื่อวันก่อน
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ
ท่านป้ายกโต๊ะเข้ามา
สืออีเหนียงรับใช้ไท่ฮูหยินทานอาหารเช้า
ไท่ฮูหยินดึงนางมานั่งด้วย
สืออีเหนียงปิดปากยิ้ม “ข้าใช้น้ำผึ้งนิดหน่อย…พึ่งจะทานข้าวมาเจ้าค่ะ”
ตอนที่นางเดินเข้าไปใกล้ๆ ไท่ฮูหยินก็เห็นว่านางไม่ได้แต่งหน้าแต่กลับดูขาวสะอาดกว่าคนทั่วไป แต่ตอนนี้ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ไท่ฮูหยินจึงมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงได้เห็นว่านางกันคิ้วและริมฝีปากแดงนั้นมีความแวววาวราวกับลูกแก้วใส
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “เจ้าคือนางฟ้าตัวน้อย”
สืออีเหนียงยิ้ม แต่นางกลับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นางหวังว่าจะสามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับไท่ฮูหยินไว้ได้ และหวังว่าไท่ฮูหยินจะยอมรับการใช้ชีวิตของนาง รวมถึงการแต่งตัวที่นางชอบ…รู้สึกว่าไท่ฮูหยินนั้นไม่ใช่คนหัวโบราญ จึงลองทดสอบดู โชคดีที่ไท่ฮูหยินไม่ได้รังเกียจ สามารถผ่านด่านไปได้อย่างราบรื่น
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินไท่ฮูหยินบอกป้าตู้ “ไปเถิด ไปบอกโรงครัวทำขนมไข่มา”
สืออีเหนียงรู้ว่ามันคือขนมที่ทำมาจากไข่ไก่ ใช้แม่พิมพ์ทำเป็นรูปดอกเหมย ลูกพลัมและลูกท้อ มีขนาดเท่าผลอิงเถา ปกติแล้วทำเป็นขนมให้จุนเกอทาน แต่เหตุใดไท่ฮูหยินถึงให้คนทำขนมนี้ในตอนนี้เล่า แต่ว่าขนมไข่ผลไม้นี้นั้นหวานแต่กลับไม่เลี่ยน ละลายในปาก อีกทั้งยังย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนเฒ่าเหมือนกัน
ป้าตู้เหลือบมองสืออีเหนียง จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วเจ้านั้นยังเด็ก รู้จักแค่เรื่องสวยๆ งามๆ กินขนมไข่รองท้องก่อนเถิด!” นางพูดด้วยสายตาที่หยอกล้อ
ที่แท้ก็ทำให้ตัวนาง!
สืออีเหนียงตอนเช้าดื่มซุปไก่ไปแล้ว อีกทั้งยังทานขนมเปียกปูนไปสองชิ้น ขนมเกาลัดอีกสองชิ้น นางไม่หิวเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของไท่ฮูหยิน เห็นว่าไท่ฮูหยินอารมณ์ดี นางจึงกะพริบตา ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่เคยทำเช่นนี้มาก่อนใช่หรือไม่เจ้าคะ ไม่เช่นนั้น ขนมไข่ของเราคงไม่มีแม่พิมพ์เยอะแยะขนาดนั้น!”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้นางก็เข้าใจ หยอกล้อให้ไท่ฮูหยินชอบใจ นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เช่นนั้น ข้าก็คงต้องยอมทานเสียแล้วกระมัง”