ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 144 เยี่ยมเยือน(ปลาย)

ตอนที่ 144 เยี่ยมเยือน(ปลาย)

ไท่ฮูหยินชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก นางทานข้าวต้มไปครึ่งชาม ขนมไข่ก็ทำเสร็จพอดี ไท่ฮูหยินบอกให้คนเอาไปใส่ในกล่องกระดาษเพื่อนำไปทานบนรถม้า

กัดทีละคำ ไม่จำเป็นต้องจิบชาตาม

ไท่ฮูหยินบอกนางว่า “ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า นิยมเขียนคิ้วเส้นเดียว แต่ว่าจื่ออวี๋…ก็คือหวงฮูหยิน นางเป็นคนหน้าเหลี่ยม ทุกครั้งที่มีงานสังสรรค์นางไม่เคยเข้าร่วม”

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสนใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านกับหวงฮูหยินรู้จักกันตั้งแต่เด็กหรือเจ้าคะ”

ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ตอนที่ท่านพ่อของข้าเป็นผู้ตรวจการณ์ของมณฑลส่านซี ท่านพ่อของนางเป็นผู้ว่าการมณฑลส่านซี ตอนที่ท่านพ่อของข้ารับตำแหน่งอาลักษณ์อยู่ที่กรมอาญา ท่านพ่อของนางก็รับตำแหน่งอาลักษณ์อยู่ที่กรมโยธาธิการ…เราสองตระกูลเป็นเพื่อนบ้านกันกว่าสิบปี ต่อมาข้าแต่งเข้ามาที่จวนหย่งผิงโหว นางก็แต่งเข้าไปที่จวนหย่งชังโหว ข้ากับนางต่างก็เป็นบุตรสาวคนเดียวเหมือนกัน อีกทั้งไม่ใช่คนเยี่ยนจิง หลังจากแต่งงานเข้ามาอยู่ในสกุลขุนนาง เราก็ไปมาหาสู่กันราวกับพี่น้อง”

ไม่น่าแปลกใจเมื่อในตอนที่นางนั้นแต่งงาน กลับไม่มีใครมาที่เรือนของไท่ฮูหยินเลย

ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินจะดูออกว่าสืออีเหนียงคิดอะไรอยู่ นางจึงยิ้มให้สืออีเหนียง “หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสกุลเดิมของข้าไม่ค่อยมีใคร ตั้งแต่เด็กข้าก็เคยอิจฉาคนอื่นที่มีพี่น้องมากมาย ข้าจึงอยากมีลูกมีหลานเยอะๆ” นางพูดจนทำให้สืออีเหนียงหน้าแดง ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ชอบไพฑูรย์น้ำเงินและทับทิมสีแดงพวกนั้น แต่กลับชอบปะการังและขี้ผึ้งพวกนี้”

พอไม่พูดถึงเรื่องลูกๆ หลานๆ สืออีเหนียงก็เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นไม่น้อย นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ายังเด็ก ไม่เหมาะที่จะสวมใส่ของพวกนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ชอบเจ้าค่ะ”

พวกนางพูดคุยหัวเราะกัน ผ่านไปไม่นานก็มาถึงจวนจงซานโหว

การแต่งตัวของสืออีเหนียงดึงดูดความสนใจจากทุกคนจริงๆ

คุณนายสามสกุลหวงถึงกับจับมือนางมามองซ้ายมองขวา แล้วยังถามว่า “กำไลเส้นนี้ ฮองเฮาเป็นคนมอบให้อย่างนั้นหรือ”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าร้อยขึ้นเองตอนที่ไม่มีสิ่งใดจะทำเจ้าค่ะ”

คุณนายสามสกุลหวงเอ่ยชื่นชมนาง

เหลียงฮูหยินกลับยิ้มแล้วพูดกับไท่ฮูหยินว่า “มีเพียงฮูหยินสี่เท่านั้นที่สามารถใส่สีนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น อาจจะมีความเรียบง่ายแต่คงไม่มีความสง่างามเช่นนี้”

ไท่ฮูหยินมองดูสืออีเหนียงที่ยิ้มอย่างใจกว้าง ยืนอยู่กับคุณนายสามสกุลหวง คุณนายใหญ่สกุลหลินและโจวฮูหยิน สายตาของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากทานกลางวันเสร็จแล้ว ทุกคนไปหาคุณหนูถัง สืออีเหนียงก็ดึงดูดความสนใจจากบรรดาคุณหนูที่มาส่งคุณหนูถัง

“สวมชุดสีเขียนอ่อนในฤดูหนาว!”

“ดูกำไลนั่นสิ”

“กระโปรงผ้าไหมสีเขียวที่ปักลายด้วยดอกไม้สีเขียว”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่านางคือผู้ใด”

“ได้ยินมาว่าคือฮูหยินหย่งผิงโหว”

“คนที่แต่งเข้ามาใหม่?”

“ที่แท้อนุภรรยาของหย่งผิงโหวก็คือเฉียวเหลียนฝัง…”

เสียงนั้นค่อยๆ เบาลง จากนั้นก็มีคนหันมามองนางด้วยสายตาที่อิจฉา

ทันใดนั้น บนสนทนาของพวกนางก็กลายเป็นสกุลหลัวและฮูหยินหย่งผิงโหว

มีเหตุการณ์เกิดใดขึ้น ย่อมต้องมีคนนินทา

สืออีเหนียงไม่สนใจสายตาแปลกๆ พวกนั้น หลังจากไปร่วมงานแต่งงานกับไท่ฮูหยินเสร็จแล้วพวกนางก็พากันกลับจวนโดยเร็ว

ฮูหยินสามเป็นคนออกมาต้อนรับพวกนาง

เห็นสืออีเหนียงนางก็ตกใจ “วันนี้น้องสะใภ้สี่แต่งตัวงดงามจริงๆ”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เพราะว่าต้องเข้าร่วมพิธีดื่มสุรามงคลเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินสามพยักหน้า มองนางอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน “ท่านโหวและคุณชายห้ายังไม่กลับมาเจ้าค่ะ คุณชายสามอยู่ที่ห้องซือฝัง วันนี้ท่านกลับมาเร็วจริงๆ”

ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “อายุมากแล้ว ทนทรมานไม่ไหวจึงกลับมาเร็วหน่อย” ฮูหยินสามประคองไท่ฮูหยินเข้าไปในเรือน ป้าตู้และสาวใช้คนอื่นๆ ก็รับใช้นางเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตา

ฮูหยินสามมองดูสืออีเหนียง “ใกล้จะปีใหม่แล้ว หากเจ้าไม่มีสิ่งใดทำ ไม่สู้มาช่วยข้าซื้อของปีใหม่ดีกว่าเล่า!”

สืออีเหนียงตกใจ

“เรื่องนี้ข้าจะบอกท่านแม่เอง” ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดว่า “จะว่าไปแล้ว ปีใหม่เป็นงานใหญ่ หากจัดการเรื่องของขวัญปีใหม่ได้แล้ว วันธรรมดาๆ ก็มีแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ชักชวน

ผ่านไปไม่นาน สืออีเหนียงพลันเข้าใจในทันที

ฮูหยินสามตัดสินใจที่จะไปกับคุณชายสามแล้ว

คงกลัวว่าจะไม่มีใครมาดูแลเรื่องในจวนแทนนาง เมื่อถึงตอนนั้นหากว่าไท่ฮูหยินไม่ยินยอมให้นางจากไป…

สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

นางและสวีลิ่งอี๋กังวลว่าฮูหยินสามจะไม่ไป แต่ฮูหยินสามกลับกังวลว่าตัวเองจะไม่ได้ไป! แต่ไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาจะจัดการเรื่องของสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนสองพี่น้องเช่นไร…

นางกำลังครุ่นคิด เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอเมื่อรู้ว่าพวกนางกลับมาแล้วจึงออกมาคารวะ

ทันทีที่พวกเขาเห็นการแต่งตัวของสืออีเหนียงก็มีสีหน้าตกใจ

หลังจากคารวะเสร็จแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์มองดูกำไลที่อยู่บนข้อมือของนางด้วยความสนอกสนใจ

แต่น่าเสียดายที่กำไลนี้มีราคาสูงจนเกินไป หากมอบให้เด็กอย่างเจินเจี่ยเอ๋อร์คงไม่ดี ไม่เช่นนั้นตนก็จะมอบให้นางเอาไปเล่น…ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว ทันใดนั้นสืออีเหนียงก็มีความคิดใหม่ขึ้นมา ไม่สู้ใช้ไข่มุกทำเป็นกำไลให้เจินเจี่ยเอ๋อร์สักเส้น ส่วนเส้นนี้ค่อยมอบให้ตอนที่นางแต่งงาน!

กำลังครุ่นคิด ไท่ฮูหยินที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างมีชีวิตชีวา นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก็เหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด วันนี้เจ้าไม่ต้องมาหาข้าแล้ว”

ออกไปข้างนอกมาทั้งวัน รู้สึกมีฝุ่นเกาะเต็มตัว สืออีเหนียงจึงตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง

นางเพิ่งจะเดินเข้ามา ปินจวี๋ก็พูดว่า “ชิวหง สาวใช้คนสนิทของเหวินอี๋เหนียงมาที่นี่ตั้งหลายครั้ง มาดูว่าท่านกลับมาแล้วหรือยังเจ้าค่ะ!”

“เหวินอี๋เหนียงมีเรื่องอันใดหรือ!” สืออีเหนียงยิ้มและถอดเสื้อคลุมออก ลี่ว์อวิ๋นรับใช้นางไปห้องน้ำ

ปินจวี๋เดินตามมา “ว่ากันว่าคุณชายสามของสกุลเหวินนำของขวัญปีใหม่มาที่เมืองหลวง คุณนายสามสกุลเหวินก็มาด้วย ผู้ดูแลสกุลเหวินเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู รอการตอบกลับจากที่นี่เจ้าค่ะ!”

ไม่รู้ว่าสกุลสวีและสกุลเหวินสนิทกันมากเพียงใด รอถามสวีลิ่งอี๋ก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน

“บอกพวกเขาว่า วันนี้ดึกมากแล้ว ข้าไม่สะดวก พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน!”

ปินจวี๋ตอบรับแล้วเดินออกไป

สืออีเหนียงอาบน้ำสระผม ยุ่งอยู่เกือบสองชั่วโมง สวมเสื้อคลุมเดินออกมา เจอสวีลิ่งอี๋นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตาในห้องข้างในนางก็ตกใจ

“ท่านโหวกลับมาตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ เหตุใดจึงไม่ส่งคนมาบอกข้า”

สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมองนางแล้วพูดว่า “พึ่งจะกลับมา” ก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อแต่ปากกลับพูดว่า “เจ้าจะปลูกดอกดารารัตน์หรือ”

“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับ สายตาของนางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังต้นอ่อนของดอกดารารัตน์ที่อยู่บนขอบหน้าต่าง “ดูว่ามันจะออกดอกเหมือนห้องหน่วนฝังหรือไม่”

สวีลิ่งอี๋ตอบรับรู้แล้วพูดว่า “รีบไปเช็ดผม ข้ามีเรื่องบางอย่างจะพูดกับเจ้า”

สืออีเหนียงรีบเดินไปนั่งข้างโต๊ะเครื่องแป้ง สาวใช้สองสามคนช่วยกันเช็ดผมให้สืออีเหนียง ผ่านไปไม่นานก็เช็ดจนแห้ง นางม้วนผมธรรมดาๆ ไล่สาวใช้ออกไปจนหมด จากนั้นก็ไปนั่งตรงข้ามสวีลิ่งอี๋

สวีลิ่งอี๋จึงได้วางหนังสือลงแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าว่านต้าเสี่ยน อ่านหนังสือออกหรือไม่”

“อ่านออกเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตกใจ

ดูเหมือนว่ากลยุทธ์ของตัวเองจะได้ผล และสวีลิ่งอี๋ก็เริ่มจัดการเรือนนอกแล้ว…

รู้อยู่แล้วว่านี่คือเรื่องใหญ่ แต่สายตากลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองปกหนังสือ

มันคือหนังสือ ‘รวมปรัชญาทั้งสี่’

“จะปีใหม่แล้ว ส่วนรายงานค่อนข้างยุ่ง” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ “ข้าอยากจะหาบ่าวรับใช้ชายเพิ่มสักสองสามคน บอกให้เขาไปช่วยงานที่นั่นเถิด!”

ส่วนรายงานมีหน้าที่รับผิดชอบการต้อนรับแขกในจวน รายงานแขกที่มา ต้อนรับแขกที่มา เป็นงานที่ได้ค่าตอบแทนไม่น้อย แต่ว่านต้าเสี่ยนเป็นคนซื่อสัตย์ ให้เขาทำงานในที่เช่นนั้น อาจจะไม่สามารถแสดงจุดแข็งของเขาเองได้ คนของนางมีไม่มากนัก นางต้องมีการฝึกฝนที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคนเพื่อให้พวกเขาสามารถพึ่งพาตัวเองได้

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ว่านต้าเสี่ยนซื่อสัตย์เกินไป เกรงว่าเขาจะทำงานใหญ่ไม่ได้ หากท่านอยากจะใช้งานเขาจริงๆ ไม่สู้ให้เขาไปอยู่ที่ศาลบรรพชน ช่วยดูแลเครื่องบูชายังจะเหมาะกับนิสัยของเขามากกว่า”

แน่นอนว่านี่คืองานสบาย แต่ต้องมีความจงรักภักดี ไม่เช่นนั้น หากขโมยเครื่องบูชาไปขาย ถึงแม้ว่าจะตีเขาให้ตายก็เอาเครื่องบูชากลับมาไม่ได้

สวีลิ่งอี๋พยักหน้า

สืออีเหนียงกล้าพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าว่านต้าเสี่ยนคงจะเป็นคนที่จงรักภักดีจริงๆ

เขาพึมพำ “งานที่ศาลบรรพชนดูเหมือนจะง่าย แต่ผู้ที่ดูแลเครื่องบูชาต้องคุ้นเคยกับพิธีบูชา เขาอาจจะไม่เหมาะสม”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้พิจารณามากขนาดนี้ ท่านโหวช่างคิดได้รอบคอบมากเจ้าค่ะ”

สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิดด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้น ให้เขาไปทำงานที่ห้องซือฝังเถิด! เพราะว่าห้องซือฝังก็อยากจะหาบ่าวรับใช้ชายสองสามคนไปช่วยงาน”

คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะเคลื่อนไหวใหญ่เช่นนี้…ดูเหมือนว่าเขาตัดสินใจที่จะจัดระเบียบใหม่แล้วจริงๆ!

ไปทำงานที่ห้องซือฝังก็ไม่เลว คนซื่อสัตย์ทำงานที่ซื่อสัตย์ เขาจะได้รู้สึกสบายใจ

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะให้คนเขียนจดหมายไปบอกเขาประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ พรุ่งนี้เช้าให้เขามาขอบคุณท่าน”

“ก็แค่ทำงานเป็นบ่าวรับใช้ ขอบคุณอะไรกัน!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ไม่เป็นไร!”

สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องของเช้าวันนี้ขึ้นมา นางยิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่คุณนายสามสกุลเหวินจะมาคารวะนาง “…ไม่รู้ว่าไปเจอกับนางดีหรือไม่ จึงอยากจะถามความคิดเห็นจากท่านโหวเจ้าค่ะ”

สวีลิ่งอี๋พูดอย่างจริงจัง “สกุลเหวินเป็นสกุลพ่อค้า สนใจแต่เรื่องกำไร ไม่ต้องไปเจอก็ได้”

สืออีเหนียงตกใจ

นางคิดว่าถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ชอบสกุลเหวิน แต่สกุลเหวินเป็นถึงหนึ่งในพ่อค้ารายใหญ่ของต้าโจว ถึงอย่างไรก็ควรจะรับมือ และสกุลเหวินยังส่งบุตรของภรรยาเอกแต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยาของสกุลสวีแล้วสกุลสวีก็ยอมรับ พวกเขายอมจำนนต่อสกุลสวีแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป สวีลิ่งอี๋กลับมีท่าทีไม่อยากไปมาหาสู่กับสกุลเหวิน!

ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจ แต่นางก็เคารพการตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋

เพราะเขาต่างหากที่เป็นนายใหญ่ของตระกูล

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกนาง”

สวีลิ่งอี๋พยักหน้า สายตาของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าเรื่องที่ควรจะบอกเขาก็บอกหมดแล้ว อีกทั้งท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดแสงลง นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวจะทานข้าวตอนนี้เลย หรือประเดี๋ยวค่อยทานเจ้าคะ”

สวีลิ่งอี๋มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นว่ามีโคมสีแดงแขวนใต้ชายคา เขาจึงพูดว่า “ทานตอนนี้เถิด!”

สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ไปจัดอาหาร ส่วนตัวเองก็คอยรับใช้เขาอยู่ข้างๆ

สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เห็นเจ้ากลับมาเร็วเช่นนี้ คิดว่าเจ้ายังไม่ได้ทานข้าวเสียอีก”

“ฤกษ์งามยามดีของคุณหนูถังคือยามเซิน จึงทานกันเร็วหน่อยเจ้าค่ะ”

สวีลิ่งอี๋ทานอาหารเย็นคนเดียว จากนั้นก็ไปที่เรือนของเฉียวเหลียนฝัง

สืออีเหนียงหยิบเทียบรายชื่อที่ไท่ฮูหยินมอบให้มาเพื่อทำความคุ้นเคยกับผู้คนอีกครั้ง ต้องทำความคุ้นเคยให้มากที่สุด

วันต่อมา เมื่อฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงมาคารวะสืออีเหนียง สืออีเหนียงก็บอกให้เหวินอี๋เหนียงอยู่ก่อน นางปฏิเสธสกุลเหวินไปอย่างอ้อมๆ

เหวินอี๋เหนียงตกใจ นางพูดเบาๆ ว่า “สกุลหลัวและสกุลเหวินล้วนแต่เป็นคนเจียงหนาน อยู่ในเมืองที่ตัวเองไม่คุ้นเคยอย่างเยี่ยนจิงเช่นนี้ ก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หากทุกคนเจอกันบ่อยๆ กิจการที่ทำร่วมกันได้นั้นมีตั้งมากมาย เหตุใดฮูหยินถึงได้กีดกันสกุลเหวินเพียงเพราะสกุลเหวินเป็นพ่อค้าเจ้าคะ ท่านไม่รู้ว่าพ่อค้าให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์มากที่สุด เรื่องใดที่สัญญาไปแล้วก็ไม่มีทางที่จะผิดสัญญา!”

สืออีเหนียงแอบตกใจอยู่ในใจ

คำพูดของเหวินอี๋เหนียง ดูเหมือนจะเป็นนัยทุกประโยค!

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท