แม้แต่หู่พั่วยังมองความคิดของไท่ฮูหยินออก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสืออีเหนียงและคนที่รับใช้ไท่ฮูหยินมาแล้วตั้งหลายปี
สืออีเหนียงรู้สึกไม่สบายใจ
ตามหลักแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์โตขนาดนี้แล้ว นางควรที่จะแยกเรือนได้แล้ว แต่การที่นางให้เจินเจี่ยเอ๋อร์มาอยู่กับตัวเอง หนึ่งคือนางชอบเจินเจี่ยเอ๋อร์มาก อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์กับนาง สองคือถือโอกาสนี้ตีสนิทกับจุนเกอ นางไม่ได้อยากให้เจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่นี่นานๆ เพราะว่าอี๋เหนียงสามคนอยู่ที่ลานทางทิศตะวันออก สวีลิ่งอี๋ไปมาไม่สะดวก แล้วฮูหยินห้าก็ยังอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน ตอนนี้ยังไม่มีที่ที่เหมาะสม เดิมทีคิดว่าหลังจากฤดูร้อนปีหน้า ฮูหยินห้าก็จะอยู่เดือนเสร็จ จากนั้นค่อยหาที่ดีๆ ในสวนดอกไม้ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่คนเดียว แต่คิดไม่ถึงว่า กลับทำให้ไท่ฮูหยินคิดแบบนี้
นางอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงดัง “ท่านแม่…” แต่กลับไม่รู้จะอธิบายเช่นไร
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วตบมือนางเบาๆ สายตาเป็นประกาย “ไม่ต้องกลัว ประเดี๋ยวข้าออกเงินเอง”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็พากันหัวเราะ
สืออีเหนียงจึงต้องเก็บแผนของตัวเองไว้ในใจก่อน ทันใดนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านป้าคนสนิทของคุณนายใหญ่สกุลหลินของจวนเวยเป่ยโหวมาคารวะฮูหยินสี่เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไปดูเถิด ข้า เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอจะเดินเล่นในลาน”
สืออีเหนียงตอบรับแล้วเดินออกไป
แต่ท่านป้าสองคนนั้นกลับนำเทียบเชิญมาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
“คุณหนูใหญ่ของเราเชิญคุณหนูใหญ่สกุลสวีไปชมดอกเหมยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วรับเทียบเชิญมา “ไปแน่นอน” จากนั้นก็ให้รางวัลท่านป้าทั้งสองแล้วเดินไปที่เรือนปีกทิศตะวันออก
ไท่ฮูหยินกำลังชี้ไปที่ห้องโถงกลาง “…เป็นเด็กเป็นเล็ก มีภาพทิวทัศน์ ดอกไม้ ทำให้ดูมีชีวิตชีวา” เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามานางก็จ้องมองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยื่นเทียบเชิญในมือให้ไท่ฮูหยิน “คุณหนูใหญ่สกุลหลินเชิญเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปชมดอยเหมยเจ้าค่ะ!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ
คิดไม่ถึงว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จะทำแบบนี้จริงๆ…แล้วสกุลหลินก็ยังไม่มีใครห้ามนาง!
จู่ๆ นางก็รู้สึกอิจฉาฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ แล้วก็กังวลว่าสืออีเหนียงจะไม่อนุญาต ทำให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เสียใจ แล้วจะไม่สนใจตัวเองอีก แต่ก็กลัวว่าสืออีเหนียงจะเห็นแก่หน้าตา อนุญาตให้นางไปแต่ในใจกลับไม่พอใจ ตัวเองไปแล้วก็คงไม่มีความสุข คิดไปคิดมา นางก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มให้นาง “เพิ่งจะผ่านไปไม่นานกลับมีคนคิดถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้ว”
พี่น้องสกุลสวีตอนเด็กๆ ก็เป็นหัวโจกของการก่อเรื่อง หากไม่ใช่เพราะว่าที่จวนมีเรื่องมากมาย นางก็คงจะไม่ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์อยู่แต่ที่จวน เวยเป่ยโหวเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เจินเจี่ยเอ๋อร์กับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ดี
“เช่นนั้นก็ต้องเตรียมการ ถึงตอนนั้นก็ให้ป้าตู้ไปกับเจ้า” ไท่ฮูหยินบอกสืออีเหนียง
สืออีเหนียงรีบยิ้มแล้วตอบรับ
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่าทุกคนอนุญาตให้นางไป แววตาของนางก็ปรากฏความปิติยินดี
จุนเกอที่อยู่ข้างๆ ตะโกนร้อง “ข้าก็จะไปด้วย!”
สีหน้าของเจินเจี่ยเอ๋อร์พลันมัวหมองลง
หากให้เขาไปด้วยโดยที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้เชิญเขา มันคงจะไม่ดี แต่หากไม่พาเขาไปด้วย ก็กลัวว่าจุนเกอจะไม่พอใจแล้วสร้างปัญหา ทำให้ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงไม่พอใจ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องของหญิงสาว ลูกผู้ชายอย่างเจ้าจะไปทำอะไร ข้าเรียกอวี้เกอมาเล่นกับเจ้าดีหรือไม่”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้ว
แต่จุนเกอกลับตะโกนออกมาว่า “ข้าจะเล่นกับพี่สามขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้านะ!” สืออีเหนียงพูด
จุนเกอพยักหน้าทันที “ข้าจะไปขี่ม้ากับพี่สาม!”
สืออีเหนียงหัวเราะ “ได้ ข้าจะดูว่าเจี่ยนเกอจะเอาม้ามาจากไหนให้เจ้าขี่!”
ทุกคนพากันหัวเราะ
*****
ทางฝั่งของเฉียวเหลียนฝัง นางถือแก้วชาร้อนนั่งอยู่บนเตียงเตา สีหน้าของนางดูลังเล “ไท่ฮูหยินอยู่ที่ลานหลัก เราจะไม่ไปจริงๆ หรือ เมื่อก่อนนางชื่นชอบข้ามาก…”
ซิ่วหยวนกระซิบเบาๆ เตือนเฉียวเหลียนฝังด้วยความอดทน “คุณหนู เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน ตอนนี้ก็คือตอนนี้…แล้วอีกอย่าง ตั้งแต่ท่านแต่งเข้ามา ไท่ฮูหยินไม่เคยมาเจอท่านสองต่อสองเลยสักครั้ง แล้วก็ไม่เคยพูดจาเป็นห่วงเป็นใยท่านต่อหน้าคนอื่น…นายหญิงพูดถูกเจ้าค่ะ ตอนนี้คนที่ท่านพึ่งพาได้มีแค่ท่านโหวคนเดียว ท่านอย่าทำให้ท่านโหวผิดหวังนะเจ้าคะ!”
เฉียวเหลียนฝังกัดฟันเงียบไม่พูดไม่จา
ซิ่วหยวนเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่านางยังคิดไม่ได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นตัวเอง ก็คงจะคิดไม่ได้เหมือนกัน แต่ตอนที่นายหญิงจะกลับไปนางก็เรียกซิ่วหยวนไปพูดคุยด้วยอยู่นาน แล้วยังบอกให้นางดูแลคุณหนูดีๆ ไม่เช่นนั้น ตัวนางเองก็ไม่มีทางมีอนาคตที่ดีแน่นอน
คิดเช่นนี้ นางจึงตักเตือนอีกว่า “วันนั้นท่านโหวบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้ท่านหายไวๆ แล้วไปคารวะฮูหยินตามกฎเกณฑ์ ท่านไม่พอใจ รู้ว่าท่านโหวไม่ได้นอนที่เรือนหลัก ก็ไปดีดพิณตอนกลางค่ำกลางคืน ฮูหยินก็ไม่ว่าอะไร แต่ตอนที่ท่านโหวจะเดินทางออกจากจวนไป นางกลับรายงานฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียง แต่ไม่รายงานท่าน เกรงว่าเป็นเพราะนางคงจะไม่พอใจ”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ส่งเสียง “หึ” อย่างประชดประชันแล้วพูดว่า “นางไม่พอใจแล้วอย่างไร ข้าก็ไปอธิบายให้นางฟังแต่เช้าไม่ใช่หรือ อยู่ต่อหน้าท่านโหว ถึงอย่างไรนางก็ยังต้องให้คนไปเอาเก้าอี้มาให้ข้านั่ง”
ซิ่วหยวนรู้ว่าเฉียวเหลียนฝังยังปากแข็ง นางจึงไม่เถียงอะไรเฉียวเหลียนฝังอีก เพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า“ดังนั้น ฮูหยินก็กลัวท่านโหว ท่านก็ยิ่งต้องคว้าหัวใจของท่านโหวเอาไว้ วันนั้นที่ท่านไปคารวะฮูหยิน ท่านโหวก็ดูดีใจมิใช่หรือเจ้าคะ”
เฉียวเหลียนฝังไม่พูดไม่จา สีหน้าของนางสับสน
ซิ่วหยวนเห็นเช่นนี้ก็ตักเตือนนางอีก “ท่านลองดูเหวินอี๋เหนียงสิเจ้าคะ ท่านโหวอยากจะนอนที่นั่นก็นอน ไม่อยากนอนก็ไม่นอน เพราะว่านางอ้างชื่อเสียงของท่านโหวทำกิจการข้างนอก เช่นนี้เรียกว่ามีได้ก็มีเสีย ตอนนี้ท่านยอมก้มหัว ถึงแม้ว่าจะไม่มีหน้ามีตา แต่ท่านโหวเห็นเช่นนี้ก็จะรักและเอ็นดูท่านมากขึ้น ดีกับท่านมากขึ้น ตอนที่นายหญิงมาก็บอกเช่นนี้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ บอกให้ท่านรีบตั้งครรภ์บุตรชาย ต่อไปท่านก็จะมีที่พึ่งพา มีหน้ามีตาไปกับท่านโหว ท่านดูอย่างฉินอี๋เหนียงสิเจ้าคะ นางแก่ขนาดนั้นแล้วแต่ท่านโหวก็ไม่เคยเฉยเมยต่อนาง จะว่าไปแล้วก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าของคุณชายน้องสองไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เฉียวเหลียนฝังก้มหน้าลงพลางบิดนิ้วไปมา สีหน้าของนางค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ซิ่วหยวนเห็นว่าสิ่งที่ตัวเองพูดได้ผล นางก็พูดต่ออย่างดีใจ “คุณหนู เช่นนั้นข้าให้จูหรุ่ยไปจับตาดูฉินอี๋เหนียง ไปดูว่านางกำลังทำอะไร หากนางไปหาไท่ฮูหยินเราก็ไป หากนางไม่ไป เราก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เพราะว่าท่านก็กำลังป่วยอยู่!”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าเบาๆ
ซิ่วหยวนถึงได้โล่งอก นางรีบเรียกจูหรุ่ย บอกให้นางไปจับตาดูที่เรือนของฉินอี๋เหนียง
ผ่านไปไม่นานจูหรุ่ยก็กลับมารายงาน “ฉินอี๋เหนียงกำลังพูดคุยอยู่กับอี้อี๋เหนียงเจ้าค่ะ ดูแล้วไม่เหมือนจะไปที่ใดนะเจ้าคะ”
ซิ่วหยวนยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนู เช่นนั้นเราก็อยู่ที่เรือนเถิดเจ้าค่ะ! ไม่จำเป็นต้องออกไปมองสีหน้าของคนอื่น”
เฉียวเหลียนฝังพยักหน้า ก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ฉินอี๋เหนียงคุยอะไรกับอี้อี๋เหนียง”
จูหรุ่ยยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่ากำลังจะปรึกษากันเรื่องเงินค่าน้ำมันของวัดฉือหยวนเจ้าค่ะ แล้วยังบอกว่า ปีนี้อยากจะเพิ่มเงินอีกห้าสิบตำลึงเพื่อขอยันต์เเคล้วคลาดมาให้คุณชายน้อยสอง”
ซิ่วหยวนนึกถึงวันที่ฉินอี๋เหนียงสวมเสื้อคลุมหนังกระรอกสีเขียว แล้วตอนนี้ก็ได้ยินจูหรุ่ยบอกว่านางจะเพิ่มเงินค่าน้ำมันห้าสิบตำลึงให้กับวัดฉือหยวนทุกปี นางก็ตกใจ เล่าเรื่องเสื้อคลุมและเรื่องเงินค่าน้ำมันงาให้เฉียวเหลียนฝังฟังเบาๆ “…สาวใช้อย่างนาง มีสิทธิ์อะไรสวมเสื้อคลุมหนังกระรอก เพิ่มเงินอีกห้าสิบตำลึง ก็เพราะว่าท่านโหวทั้งนั้น ก็เพราะว่านางมีบุตรชายหนึ่งคน คุณหนูเจ้าคะ เรื่องนี้ท่านต้องพิจารณาให้มากๆ นะเจ้าคะ”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าตกใจ สีหน้าของนางซีดเซียว เงียบไปอยู่นานแล้วพูดว่า “นางไม่ไป เราก็ไม่ไป!”
ซิ่วหยวนรีบพยักหน้า “คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ เช่นนั้น เรียกจูหรุ่ยกับจูเอ้อร์มา เรามาเล่นไพ่กันดีกว่า”
พอเฉียวเหลียนฝังพยักหน้า ซิ่วหยวนก็รีบออกไปเรียกสาวใช้สองคนเข้ามา
*****
สืออีเหนียงเห็นว่าค่อนข้างสายแล้ว จึงเชิญไท่ฮูหยินอยู่ทานข้าวที่เรือนของตัวเอง ไท่ฮูหยินตอบตกลง สืออีเหนียงจึงส่งคนไปเชิญฮูหยินสามมาทานด้วยกัน จากนั้นก็รับใช้ไท่ฮูหยินไปนั่งที่เตียงเตาในห้องปีกทิศตะวันตก ยกชาให้ไท่ฮูหยินด้วยตัวเอง นึกถึงตอนที่ตัวเองบอกว่าจะเรียกสวีซื่ออวี้มาเล่นกับจุนเกอแล้วไท่ฮูหยินเลิกคิ้ว จากนั้นก็เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอกำลังเล่นปลาทองที่นางเลี้ยงไว้ในบ่อในห้องทิศตะวันออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางจึงพูดเบาๆ “ข้าคิดว่าพรุ่งนี้เจินเจี่ยเอ๋อร์จะย้ายเข้ามาแล้ว คุณชายน้อยใหญ่ คุณชายน้อยสอง คุณชายน้องสาม จุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นพี่น้องกัน อยากให้พวกเขามาเล่นกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ ต่อไปพวกเด็กๆ หากโตแล้ว ชายหญิงก็จะสนิทสนทกันมากไม่ได้ ถือโอกาสตอนนี้ ให้พวกเขาได้เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน ถึงแม้ว่าต่อไปจะแยกย้ายกันไป แต่ความสัมพันธ์ในวัยเด็กก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “เจ้าช่างคิดได้รอบคอบ ต่อไปหากเจินเจี่ยเอ๋อร์ออกเรือนก็ต้องมีพี่น้องของสกุลเดิมคอยช่วยเหลือ พี่น้องของสกุลเดิมก็ต้องมีนายท่านที่มีอำนาจคอยช่วยเหลือเหมือนกัน!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเหมือนที่ท่านพูดเจ้าค่ะ ข้ายังไม่อยากให้นางรู้ จึงยังไม่ได้บอกนาง” จากนั้นก็ปรึกษาไท่ฮูหยินเรื่องเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปจวนสกุลหลัวควรสวมชุดแบบใด สวมเครื่องประดับอะไร ให้สาวใช้คนใดติดตามไปด้วย เอาของสิ่งใดไปบ้าง…ต่างๆ นาๆ จนกระทั่งฮูหยินสามมาแล้วถึงหยุดพูดคุย
นางได้ยินว่าไท่ฮูหยินจะทานข้าวที่เรือนของสืออีเหนียง นางจึงรีบบอกให้คนยกอาหารของไท่ฮูหยินไปที่เรือนของสืออีเหนียง รับใช้ไท่ฮูหยินทานข้าวอย่างขยันขันแข็ง จากนั้นก็ส่งไท่ฮูหยิน เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอกลับไปนอนกลางวันกับสืออีเหนียง
ระหว่างทางกลับ สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่เจินเจี่ยเอ๋อร์จะไปจวนสกุลหลินให่ฮูหยินสามฟัง “…ถึงตอนนั้นอยากจะให้พี่สะใภ้สามส่งรถม้าไปให้นาง ส่งท่านป้าที่มีความสามารถไปกับนางด้วย”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นางรับปาก จากนั้นก็ถอนหายใจ “เจินเจี่ยเอ๋อร์จะไปเป็นแขกที่จวนเวยเป่ยโหว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เด็กๆ โตแล้ว ก็ต้องมีสังคมเป็นของตัวเองเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามพยักหน้า พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นก็แยกย้ายกัน แต่เรื่องที่เจินเจี่ยเอ๋อร์จะไปเป็นแขกที่จวนเวยเป่ยโหวก็แพร่กระจายออกไปถึงหูของทุกคนราวกับติดปีก
เหวินอี๋เหนียงค้นกล่องของตัวเอง เรียกชิวหงเข้าไป แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น “เจ้าดูนี่สิ กำไลไข่มุกหนานจูนี้พอได้หรือไม่”
ชิวหงมองดู ไข่มุกแต่ละเม็ดขนาดเท่าเล็บมือ กลมและนวลขาว ส่องประกายแวววาว งดงามจนทำให้ผู้คนตกตะลึง
“ท่าน…” นางมองเหวินอี๋เหนียงด้วยความตกใจ
เหวินอี๋เหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าแอบเอาไปให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ บอกให้นางมอบของสิ่งนี้เป็นของขวัญให้คุณหนูใหญ่สกุลหลิน” จากนั้นก็หยิบหยกสีเขียวมรกตขนาดหนึ่งนิ้วออกมา “อันนี้มอบให้ไท่ฮูหยินให้เตรียมเป็นของขวัญพบหน้า”
มองดูหยกสีเขียวมรกตที่สดราวกับต้นไผ่สีเขียวหลังฝนตก ชิวหงก็ลังเลขึ้นมา “เกรงว่าเรื่องของขวัญไท่ฮูหยินและฮูหยินคงจะช่วยเตรียมไว้แล้วนะเจ้าคะ…”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกราวกับลูกโป่งที่ถูกเข็มทิ่มแทงจนแตก นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยความเสียใจ หัวเราะเยาะตัวเอง “ก็จริง ถึงแม้ว่าข้าจะส่งไปให้นางมันก็เป็นแค่ของที่ไม่มีที่มา จะสร้างปัญหาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เสียเปล่า!”
ชิวหงเห็นเช่นนี้นางก็เสียใจ พูดเบาๆ “หรือว่า ให้ฮูหยินสี่นำไปให้เจินเจี่ยเอ๋อร์? ข้าเห็นว่าฮูหยินสี่ใจดีนะเจ้าคะ…”
เหวินอี๋เหนียงส่ายหน้า “ผู้คนในจวนนี้มีใครดูไม่ใจดีบ้างเล่า!” นางวางของลงในกล่องด้วยความผิดหวัง “ก็ดีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเตรียมของขวัญให้นาง ประหยัดเงินให้ข้าได้ไม่น้อย”