ไท่ฮูหยินมองดูลูกสะใภ้สามและลูกสะใภ้สี่ที่ยิ้มอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วพยักหน้าเบาๆ
เป็นเช่นนี้ดียิ่งนัก ไม่ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นมิตรต่อกัน
มีเรื่องอะไรก็ไม่ควรรีบร้อน หากรีบร้อนอาจจะทำให้ขุ่นเคืองกันได้
นางหัวเราะเบาๆ “ลูกสะใภ้สาม เจ้าต้องสอนลูกสะใภ้สี่ให้ดี ส่วนลูกสะใภ้สี่ เจ้าก็ต้องตั้งใจเรียนจากลูกสะใภ้สาม”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามจับมือนาง จะพานางไปรู้จักกับท่านป้าที่ทำงานกับตัวเอง
สืออีเหนียงรู้สึกว่าบุ่มบ่ามเช่นนี้ไม่ค่อยดี อย่างน้อยก็ต้องมีการแนะนำที่เป็นทางการมากกว่านี้ นางยิ้มแล้วปฏิเสธอ้อมๆ “เรื่องนี้ท่านโหวยังไม่รู้เลย…ข้าบอกท่านโหวก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ เรื่องในเรือนก็ยังต้องจัดการอีกนิดหน่อย ประเดี๋ยวท่านโหวกลับมาจะไม่มีคนคอยรับใช้”
ฮูหยินสามอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองว่าลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไร ตัวเองเป็นคนส่งมอบอำนาจการดูแลจวนให้นางเอง ก็ควรที่จะบอกคุณชายสามก่อน ให้เขาแสร้งทำเป็นไปขอความช่วยเหลือจากท่านโหว เช่นนี้ ก็จะได้ถือว่าเขาชดใช้หนี้บุญคุณที่เขาเคยติดท่านโหวไว้แล้วได้บ้าง
คิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเอง” จากนั้นก็คิดว่าต้องเล่าเรื่องนี้ให้คุณชายสามฟังให้เร็วที่สุด ต้องบอกท่านโหวก่อนที่ท่านโหวจะกลับมาเรือนใน นางพูดคุยกับไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงสองสามประโยค อ้างว่ามีธุระ กลับไปที่เรือนของตัวเองแล้วรีบบอกคนให้ไปเรียกคุณชายสามกลับมา
สืออีเหนียงที่เมื่อเห็นว่าฮูหยินสามกลับไปแล้ว นางก็เล่าเรื่องว่านต้าเสี่ยนให้ไท่ฮูหยินฟัง “…ท่านโหวอยากให้เขาไปทำงานที่ส่วนรายงาน แต่เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ข้าคิดว่าให้เขาไปทำงานที่ศาลบรรพชนดีกว่า ท่านโหวบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องพิธีกรรมเหล่านั้น ดังนั้นจึงให้เขาไปทำงานที่ห้องซือฝัง ให้เขาคอยช่วยงานผู้ดูแลเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋จะจัดการผู้ดูแลเรือนนอกใหม่ ไท่ฮูหยินรู้อยู่แล้ว แต่การที่ให้ผู้ติดตามของสืออีเหนียงไปทำงานที่ห้องซือฝัง…สายตาของนางเต็มไปด้วยความแปลกใจ
ส่งคนไปทำงานเรือนนอกเร็วขนาดนี้
ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะมองสืออีเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า
สืออีเหนียงรู้สึกถึงความผิดปกติของไท่ฮูหยิน แต่ว่าเรื่องนี้ นางไม่มีทางเลือก
บอกไท่ฮูหยินไว้ก่อน ดีกว่าให้ไท่ฮูหยินไปได้ยินจากคนอื่น
“ข้าส่งคนไปบอกว่านต้าเสี่ยนแล้วเจ้าค่ะ” วิธีเดียวของสืออีเหนียงตอนนี้ก็คือ การเอาความเมตตาครั้งนี้ให้กับสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยิน เพื่อให้ไท่ฮูหยินรู้สึกสบายใจ “เขาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เฝ้าอยู่ที่หน้าประตู บอกว่ารอท่านโหวกลับมาแล้วจะก้มหัวขอบคุณท่านโหว แล้วยังบอกว่าอยากจะมาเจอท่าน” พูดจบนางก็ยิ้ม “เขาไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ข้าจึงบอกเขาว่าหากอยากจะเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยินจริงๆ ก็ให้เขาอยู่เรือนนอก หันหน้ามาทางเรือนของท่านแล้วก้มหัวให้ท่านสามครั้งก็พอ”
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ถึงตอนนั้นก็ให้ผู้ดูแลสอนเขา”
“ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดคุยกับไท่ฮูหยินสองสามประโยค เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องไปห้องสวดมนต์แล้ว สืออีเหนียงจึงเดินไปส่งไท่ฮูหยินไปห้องสวดมนต์ หลังจากนั้นนางก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
สะใภ้หยางฮุยจู่กำลังยืนรออยู่ที่ประตู
นางคือหญิงวัยสามสิบกว่าปี รูปร่างปานกลาง สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเขียว กระโปรงผ้าไหมสีน้ำตาล หน้าตาเคร่งขรึม ดวงตาเรียวยาว นางยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ฮูหยินกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ บ่าวรอท่านตั้งนานแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องที่จะให้สะใภ้หยางฮุยจู่ไปช่วยงานกานเหล่าเฉวียน นางคงระแวงไม่น้อย คิดว่านางไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้ จึงยิ้มแล้วพูดอย่างเกรงใจ “มีเรื่องอันใดหรือไม่”
สะใภ้หยางฮุยจู่หยิบถุงผ้าสีแดงเข้มออกมาจากแขนเสื้อ “สามีของบ่าวบอกว่า ท่านเป็นคนให้ซื้อของชิ้นนี้”
หู่พั่วเดินเข้าไปรับมา สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากเจ้าแล้ว” จากนั้นก็ให้หู่พั่วมอบเงินให้นางสองตำลึงเป็นรางวัล และยังให้ชิวอวี่พานางออกไปดื่มชา
กลับเข้ามาในห้อง เปิดถุงผ้าดู ไข่มุกที่กลมและนวลขาวก็กลิ้งออกมา
สืออีเหนียงหยิบไข่มุกที่ขนาดเท่าเมล็ดข้าวขึ้นมา “แค่สิบตำลึง ซื้อได้เยอะขนาดนี้”
หู่พั่วยิ้มแล้วยกชาร้อนมาให้สืออีเหนียง “ฮูหยินจะร้อยกำไลให้เจินเจี่ยเอ๋อร์หรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า เก็บไข่มุกไว้แล้วพูดว่า “เอาไปให้พ่อบ้านไป๋ ให้พ่อบ้านไป๋ช่วยเจาะรูตรงกลาง แล้วตรวจสอบว่าไข่มุกนี้ราคาเท่าไร ของปลอมหรือว่าของจริง”
ร้านเงินที่สามารถไปมาหาสู่กับสกุลสวีได้ต้องไม่ใช่ร้านธรรมดาอย่างแน่นอน ดีเหมือนกันจะได้ทดสอบความสามารถของสะใภ้หยางฮุยจู่
หู่พั่วยิ้มแล้วรับมา จากนั้นก็เล่าเรื่องที่รู้มาจากเว่ยจื่อให้สืออีเหนียงฟังเบาๆ
สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง
วีธีนี้ของฮูหยินสองช่างชาญฉลาดเสียจริง
แค่บอกว่าผู้ติดตามของตัวเองอยากจะหางาน เรื่องอื่นก็ไม่ต้องพูดอะไร สวีลิ่งอี๋เคารพนาง แน่นอนว่าเขาจะต้องจัดการให้เป็นอย่างดี และเงื่อนไขของผู้ติดตามคนนี้ก็สอดคล้องกับการเป็นเด็กรับใช้ชายที่ต้องคอยรับใช้อย่างใกล้ชิด…
“เราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ” หู่พั่วเป็นกังวล
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หนึ่งคือคุณชายน้อยสองต้องการบ่าวรับใช้แบบนี้จริงๆ สองคือฮูหยินสองหาคนที่สามารถและไว้วางใจได้ไปให้คุณชายน้อยสองตามคำขอร้องของฉินอี๋เหนียง นางไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อคุณชายน้อยสอง มีสิ่งใดต้องกังวล” จากนั้นก็สูดหายใจเข้ายาวๆ “หู่พั่ว ปีนี้คุณชายน้อยสองอายุสิบเอ็ดปีแล้ว ถึงแม้ว่าข้าอยากจะสั่งสอนเขาก็สั่งสอนไม่ทันแล้ว เขาเป็นบุตรของอนุภรรยา ตามหลักแล้ว แต่งงานแล้วต้องออกไปอยู่ข้างนอก ทุกคนควรจะแยกย้ายกันไปอย่างมีความสุข เหตุใดต้องสู้กันไปสู้กันมาเล่า”
หู่พั่วคิดตามก็พบว่าเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ว่าจะเอาใจคุณชายน้อยสองแล้วจะเป็นเช่นไร ตอนนี้เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากเอาใจใส่เขาขนาดนั้น บางทีเขาอาจจะคิดว่าไม่จริงใจก็ได้ แค่พอมีหน้ามีตาก็พอแล้ว!
สืออีเหนียงเห็นนางตระหนักได้ จึงพูดว่า “ก็แค่ไม่ควรคิดร้ายกับใคร แต่ควรพึงระวังคนที่จะคิดร้ายกับเรา เราต้องระวังไม่ให้คนอื่นมาสร้างความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับคุณชายน้อยสอง ทำให้ท่านโหวไม่พอใจ ส่วนเรื่องอื่น ไม่จำเป็นต้องสนใจ สาวใช้สองสามคนเป็นคนของเรา ต่อไปเรื่องที่จวนก็จะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าต้องหาวิธีเรียกใช้งานชิวอวี่ หลานเซวียน ซิ่วหลานและคนอื่นๆ จะทำทุกอย่างเองทั้งหมดไม่ได้ เจ้าก็มีแค่ตัวคนเดียว ถึงตอนนั้นเจ้าจะลำบาก ให้พวกนางไปมาหาสู่กับเหวินจู๋ที่ทำงานอยู่ที่เรือนของคุณชายน้องสองบ่อยๆ หากมีเรื่องใดที่คิดว่าไม่เหมาะสม ก็ให้รีบมารายงานเจ้า”
ตอนนี้หู่พั่วก็รู้สึกว่าตัวเองยุ่งมากอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ นางจึงรีบพยักหน้าซ้ำๆ
สืออีเหนียงพูดกับนาง “สาวใช้ในจวนเปลี่ยนคนบ่อย ตอนนี้เจ้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องไปทำ เจ้าต้องหาทางดูว่ามีหญิงสาวที่อายุเหมาะสมและฉลาดไหวพริบดีหรือไม่ ถึงตอนนั้นจะได้รับนางเข้ามา คนของเราจะได้ไม่ใช่แค่คนของป้าเถา”
หู่พั่วลังเล “ฮูหยินคิดว่ามีใครไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ตงชิงกับปินจวี๋ก็ไม่เด็กแล้ว…ต้องวางแผนล่วงหน้า”
หู่พั่วนึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงมักจะถามเรื่องของว่านต้าเสี่ยน นางสายตาเป็นประกาย ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านถูกชะตากับว่านต้าเสี่ยนหรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ถามนางเบาๆ “เขากับตงชิง เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร”
หู่พั่วยิ้มจนตาเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว “ต้าเสี่ยนเป็นคนดี ตงชิงก็อ่อนโยน…ฮูหยินสายตาเฉียบแหลมจริงๆ เจ้าค่ะ”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่ สะใภ้ว่านอี้จงก็มาพอดี
หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วพูดว่า “ช่างใจตรงกันเสียจริง” จากนั้นก็ออกไปต้อนรับสะใภ้ว่านอี้จงเข้ามา ส่วนตัวเองก็ถือไข่มุกไปหาพ่อบ้านไป๋
สะใภ้ว่านอี้จงนำกล่องกระดาษลูกพลับแห้ง สาลี่แห้ง ผลไม้แห้ง ถั่วลิสงและถั่วกรอบที่ราคาถูกมาด้วยสองกล่อง “ฮูหยินอย่าได้รังเกียจ น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ขอบ่าวเจ้าค่ะ” จากนั้นก็คุกเข่าลง ก้มหัวให้สืออีเหนียง “ต้าเสี่ยนมาไม่ได้ บ่าวก้มหัวให้ท่านแทนเขา บ่าวจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด บ่าวจะไม่ทำให้ท่านขายหน้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้คนเอาเก้าอี้มาให้นางนั่ง ถามถึงสถานการณ์ที่ตรอกจินอวี๋ พอรู้ว่าหลิวหยวนรุ่ยเป็นคนดูแลที่นั่น มีอาหารร้อนๆ ทาน แล้วยังทำเสื้อผ้าฝ้ายตัวหนาๆ ให้ทุกคนใส่ สืออีเหนียงก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ค่อยๆ พูดถึงเรื่องการแต่งงานของว่านต้าเสี่ยน
“… เงื่อนไขของเจ้าสูงหรือไม่”
“ฮูหยินล้อเล่นแล้วเจ้าค่ะ” สะใภ้ว่านอี้จงยิ้มอย่างข่มขื่น “ที่บ้านยากจน ไม่มีใครอยากแต่งเข้ามาหรอกเจ้าค่ะ”
“หากข้าเป็นคนรับรองให้ต้าเสี่ยนล่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม
สะใภ้ว่านอี้จงตกใจ แต่รอยยิ้มของนางกลับไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ “มีฮูหยินเป็นแม่สื่อ บ่าวคงหาที่ใดไม่ได้“
สืออีเหนียงเห็นนางไม่ค่อยมีความสุข จึงรู้ว่าในใจนางไม่ค่อยเต็มใจ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน แล้วอีกอย่าง ต่อไปนางคือแม่สามี…
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ของเจียงปิ่งเจิ้งและฉังจิ่วเหอ
เห็นได้ชัดว่า ว่านจงอี้ก็เป็นคนซื่อสัตย์เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะพูดถึงเรื่องของเจียงปิ่งเจิ้งไม่มากนัก พูดเรื่องของฉังจิ่วเหอเสียมากกว่า แต่นางก็ชื่นชมพวกเขา ไม่ตำหนิอะไรพวกเขาแม้แต่คำเดียว
ทุกคนพูดคุยกันครู่หนึ่ง สืออีเหนียงเห็นว่าสายแล้ว นางยื่นกล่องกระดาษที่สะใภ้ว่านอี้จงนำมาให้ตัวเองคืนให้นาง “ไปเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยินกับข้า”
สะใภ้ว่านอี้จงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก “เอ่อ คือ…”
“รับไปเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “คนกันเอง คุยกันได้ทุกเรื่อง การที่ต้าเสี่ยนได้มาทำงานที่จวน ก็เพราะความเมตตาของไท่ฮูหยิน เหมือนกับที่เจ้าบอก ความหมายเดียวกัน ไท่ฮูหยินก็คงจะไม่รังเกียจ”
สะใภ้ว่านอี้จงได้ยินเช่นนี้ก็รับกล่องกระดาษมา พึ่งจะเดินออกมาจากลานก็เจอกับหู่พั่วที่ไปรายงานพึ่งกลับมา นางพูดอย่างหดหู่ “ฮูหยินเจ้าคะ ‘รูบิค’ อันนั้น พ่อบ้านไป๋บอกว่ามันซับซ้อนเกินไป บอกให้คนเอาไปที่กรมราชกิจภายใน เกรงว่าอีกสองสามวันถึงจะได้คำตอบเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ตอนที่นางไปเรียนต่างเมือง มีชายผู้หนึ่งไล่จีบนางด้วยความยากลำบาก เขาบอกวิธีทำมันให้กับนาง แล้วยังมอบรูบิคที่เป็นแก้วที่เขาทำเองกับมือให้นาง นางจำได้ ตอนนั้นไม่รู้สึกว่ามันจะยากอะไร เหตุใดถึงต้องไปเอาที่กรมราชกิจภายใน
นางยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็พาสะใภ้ว่านอี้จงไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเห็นเช่นนี้นางก็ชอบอกชอบใจ พูดคุยกันสองสามประโยค ไม่เพียงแต่ให้เงินสองตำลึงเป็นรางวัลให้สะใภ้ว่านอี้จง แล้วยังมอบข้าวให้นางอีกด้วย
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็สบายใจ สิ่งที่นางทำได้นางก็ทำหมดแล้ว หวังว่าไท่ฮูหยินจะปล่อยวางจริงๆ
เมื่อฮูหยินสามมาถึง พวกนางรับใช้ไท่ฮูหยินทานอาหารกลางวัน จากนั้นก็ออกไปจากเรือนของไท่ฮูหยินพร้อมกัน
ระหว่างทาง ฮูหยินสามพูดคุยกับนางอย่างเป็นกันเอง ส่งนางถึงหน้าประตูลานจากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
สืออีเหนียงนอนกลางวัน พึ่งจะตื่นขึ้นมาก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านป้าคนสนิทสองคนของฮูหยินเวยเป่ยโหวมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
คงมาปรึกษาเรื่องที่จะส่งฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มากระมัง
สืออีเหนียงให้คนไปเชิญท่านป้าสองคนเข้ามา
มาเพราะเรื่องของฮุ่ยเจี่ยนเอ๋อร์จริงๆ ด้วย ถามนางว่า หากพรุ่งนี้เช้าหลินฮูหยินมาหานั้นเหมาะสมหรือไม่
สืออีเหนียงตอบรับ ให้รางวัลท่านป้าสองคนนั้นและให้หู่พั่วไปส่งพวกนางออกไป จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน นำจดหมายของหลินฮูหยินให้ไท่ฮูหยินอ่าน
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็เตรียมตัวหน่อย ให้พวกนางอยู่ทานข้าวด้วยกัน” จากนั้นก็บอกให้เว่ยจื่อนำกล่องแกะสลักสีแดงของตัวเองออกมา หยิบเหรียญทองแดงออกมาจากกล่องให้สืออีเหนียง “นี่คือป้ายคู่ของข้า หากเจ้าอยากได้อะไร ลูกสะใภ้สามไม่มี ก็ให้พ่อบ้านเรือนนอกไปซื้อมาให้เจ้า”
ให้นางเป็นคนต้อนรับหลินฮูหยิน
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจ นางเหลือบมองไปที่ป้ายคู่
กว้างแค่สองนิ้ว ยาวสองนิ้ว แกะสลักลายหัวปี่เซี๊ยะสีแดง ข้างล่างเขียนคำว่าจวนหย่งผิงโหว
หนึ่ง สอง สาม สี่…ไม่รู้ว่าป้ายคู่ที่มีคำว่า ‘หนึ่งมีอำนาจ’ มากน้อยแค่ไหน
นางรับป้ายคู่นั้นมาด้วยความเคารพ