ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะให้นางเป็นคนต้อนรับหลินฮูหยิน แต่ว่าฮูหยินสามก็ยังเป็นคนดูแลเรื่องในจวน เมื่อสืออีเหนียงออกมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน นางก็ไปที่เรือนของฮูหยินสาม
นางกำลังเก็บข้าวของอยู่กับชิวหลิง “…เครื่องเคลือบดินเผาสีเขียวอันนี้เป็นของส่วนกลาง อันละสี่สิบห้าตำลึง คู่นี้มีค่าเก้าสิบสองตำลึง แล้วก็ชามนี้ เป็นเครื่องสังคโลกสีแดง ถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้ เจ้าจดของพวกนี้ไว้ ถึงตอนนั้นไปงานเลี้ยงที่วัดฮู่กั๋วเจ้าก็ไปซื้อของที่คล้ายกันกลับมา ทุบให้แตกแล้วกองรวมกันไว้ ข้าจะไปเบิกเงินที่ส่วนกลาง”
สิ่งของของส่วนกลางหากหายแล้วต้องรับผิดชอบ แต่หากเสียหายต้องเห็นของที่เสียหายก่อนถึงจะไปเบิกเงินได้
ชิวหลิงพยักหน้า จดสิ่งของที่ฮูหยินสามบอกไว้
สาวใช้เข้าไปรายงานว่าสืออีเหนียงมาแล้ว ทันใดนั้น มือของชิวหลิงที่จับพู่กันไว้ก็สั่นเทา หมึกหยดลงบนกระดาษทำให้ตัวหนังสือเบลอ
ฮูหยินสามเบิกตาใส่นาง “ระวังหน่อย อย่าจดผิดเชียวล่ะ”
ชิวหลิงรีบลุกขึ้นแล้วตอบรับ ฮูหยินสามก็รีบเดินออกไป
ได้ยินว่ามาเพราะเรื่องต้อนรับหลินฮูหยิน นางจึงรับผิดชอบเอง “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณฮูหยินสาม จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง หยิบงานปักที่นับเสร็จแล้วออกมาดู หู่พั่วเข้ามาบอกว่า “สืบเรื่องของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ”
“ทำงานเร็วยิ่งนัก!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้หู่พั่วมานั่งพูดคุยบนเตียง
หู่พั่วเดินเข้ามานั่งตรงข้ามนาง “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นหลานสาวคนโตของสกุลหลิน ตอนที่คุณนายใหญ่สกุลหลินคลอดนางค่อนข้างคลอดยาก หลินฮูหยินเป็นคนเลี้ยงนาง ต่อมาคุณนายใหญ่สกุลหลินคลอดบุตรชายอีกสองคน หลินฮูหยินกลัวว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์จะไม่มีคนดูแล นางจึงเป็นคนดูแลฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เอง แล้วฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็ดันเป็นคนเก่ง เรียนนั่นเรียนนี่กับบรรดาท่านป้าตั้งแต่เด็กๆ แต่กลับเรียนเก่งกว่าบรรดาท่านป้าของตัวเองเสียอีก สองสามปีผ่านไป แม้แต่ ‘คัมภีร์วิจารณ์พจน์’ ก็เรียนจบแล้ว วรรณกรรมและศิลปะต่างๆ ก็เป็น เพราะเช่นนี้นางจึงมีหน้ามีตามากกว่าคุณชายทั้งหลาย บังเอิญคุณชายห้าของสกุลเฉินจื่อเสียง ศิษย์สำนักศึกษาเหวินหยวนเก๋อ หัวหน้ากระทรวงขุนนางภายใน ปีนี้อายุสิบห้าปี หน้าตาดีมีความสามารถ แล้วยังเป็นคนซื่อสัตย์ สอบบัณฑิตรุ่นเยาว์เมื่อปีก่อน คุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นเช่นนี้จึงอยากจะให้บุตรสาวของตัวเองแต่งงานกับเขา ส่งคนไปสืบมา แต่ใครจะรู้ว่ากฎเกณฑ์ของสกุลเฉินมากเกินไป ไม่เพียงแต่รับใช้เข้านอน คารวะยามเช้ายามเย็นก็จะประมาทเลินเล่อไม่ได้แม้แต่น้อย แม้แต่ลูกสะใภ้ยังต้องทำรองเท้าทำถุงเท้าเอง เย็บผ้ารีดผ้าเหมือนสาวใช้ คุณนายใหญ่สกุลหลินไม่อยากให้บุตรสาวลำบาก จึงล้มเลิกความคิดนั้นไป แต่ใครจะรู้ว่าหลินฮูหยินกลับคิดว่าคุณชายห้าของสกุลเฉินไม่เลว แล้วยังบอกว่า สกุลเฉินเป็นสกุลบัณฑิต ให้ความสำคัญกับเรื่องมารยาท ไม่ใช่สกุลเศรษฐีทั่วไป สกุลไหนก็เทียบไม่ได้ จึงเชิญท่านป้าที่มาจากสำนักเย็บปักถักร้อยมาสอนฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เย็บปักถักร้อย แต่ใครจะรู้ว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เรียนหนังสือเก่งกว่าเด็กผู้ชายเสียอีก แต่กลับเย็บปักถักร้อยไม่เป็น เปลี่ยนอาจารย์มาแล้วตั้งสี่ห้าคน หลินฮูหยินกำลังกังวล วันนั้นเจอกับท่านพอดี จึงรีบส่งนางมาเรียนกับท่าน”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา
ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์อายุเยอะว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์แค่ปีเดียว หลินฮูหยินและคุณนายใหญ่สกุลหลินเริ่มหาคู่ให้นางแล้ว แต่เรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ดูเหมือนจะไม่มีใครพูดถึงเลย นางเชื่อมาเสมอว่าโอกาสมีไว้ให้คนที่มีความพร้อม แต่เห็นได้ชัดว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ยังไม่พร้อม…แต่ว่านางคือท่านแม่ของเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางควรเป็นนายหญิงของจวนที่จัดการเรื่องนี้ใช่หรือไม่!
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด นางถามหู่พั่ว “เรื่องของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าไปได้ยินมาจากผู้ใด”
“ท่านป้าคนสนิทของคุณนายใหญ่สกุลหลินสนิมสนมกับสะใภ้หลี่เฉวียน คนดูแลรถม้าที่จวนเราเจ้าค่ะ ทั้งสองครอบครัวยังเป็นญาติกันด้วย! นางบอกว่าคุณนายใหญ่สกุลหลินกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางเฝ้าดูฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เย็บปักถักร้อยด้วยตัวเองทุกวัน มีครั้งหนึ่งฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์บอกว่าน่าเบื่อ ทิ้งสะดึงลงบนพื้นต่อหน้าคุณนายใหญ่ ทำเอาคุณนายใหญ่สกุลหลินโมโหเป็นอย่างมาก”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก
ไม่รู้ว่าทำไม นางถึงจิตนาการถึงชาติก่อน เรื่องที่เด็กผู้ชายข้างบ้านไม่ยอมเรียนไวโอลินแล้วโยนไวโอลินลงจากชั้นที่สิบหก…
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “พ่อบ้านไป๋ส่งคนนำไข่มุกมาให้ฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ”
“เร็วจัง” สืออีเหนียงบอกให้เขาเข้ามา
เป็นเด็กรับใช้ชายอายุเจ็ดแปดขวบ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ดูหล่อเหลา
ถึงแม้ว่าเขาจะยังเด็ก แต่กิริยามารยาทของเขากำลังพอดี ท่าทีดูเหมือนได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
“พ่อบ้านไป๋ให้ข้าน้อยมารายงานฮูหยินขอรับ บอกว่า ไข่มุกนี้ราคาสิบหกตำลึง ไม่มีเม็ดใดเป็นของปลอม ในนั้นมีไข่มุกห้าเม็ดที่มีขนาดเท่ากัน หากหยิบมาทำเครื่องประดับ อย่างน้อยสามารถขายได้ยี่สิบห้ายี่หกสิบตำลึง คนของร้านเงินคัดสรรค์ไข่มุกห้าเม็ดนั้นออกมาห่อไว้แล้วขอรับ” เขาพูดอย่างชัดเจนและเป็นระเบียบ
สืออีเหนียงชื่นชอบเขาเป็นอย่างมาก นางถามเขา “เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าน้อยชื่อเสี่ยวลู่จื่อขอรับ” เขาพูดด้วยความเคารพ “พึ่งจะเข้ามาทำงานในจวนเมื่อวาน ฮูหยินมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ บอกข้าน้อยได้เลยขอรับ”
สืออีเหนียงตกใจ
คิดไม่ถึงว่า ตัวเองจะเจอกับคนที่ชื่อเสี่ยวลู่จื่อเช่นนี้…แล้วฮูหยินสองก็ยังสั่งสอนเขามาดีขนาดนี้ ตัวเองเจอเขายังชอบเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสวีลิ่งอี๋
นางยิ้มให้เสี่ยวลู่จื่อด้วยสีหน้าที่สับสน ให้คนนำขนมมาให้เขาและให้ชิวอวี่ไปส่งเขา จากนั้นก็ให้หู่พั่วนำจดหมายไปเรียกหลิวหยวนรุ่ยมา
หู่พั่วรับปากแล้วเดินออกไป ผ่านไปไม่นาน สวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
เห็นสืออีเหนียงกำลังถักเชือกจีน เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าจะทำสิ่งใดอีก” นางพึ่งจะทำเสื้อคลุมให้เด็กไปสองตัว จะเอาไปให้อู่เหนียงและฮูหยินห้าคนละตัว
นางยิ้มและพูดว่า “ข้ากำลังร้อยกำไลให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ” นางลุกขึ้นไปรับเสื้อคลุมของสวีลิ่งอี๋มา
สวีลิ่งอี๋ตอบรับรู้แล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำ สืออีเหนียงเก็บงานขั้นตอนสุดท้าย
ร้อยกำไลไข่มุกด้วยด้ายสีขาว จากนั้นก็ถักด้ายที่เหลือเป็นรูปค้างคาว ทำเป็นหัวตะขอ เหลือด้ายสั้นๆไว้สองเส้น ด้ายค่อนข้างแข็งแรง ดูราวกับค้างคาวที่มีสองหาง ค้างคาวสองตัวนั้นราวกับมีชีวิต น่าสนใจเป็นอย่างมาก
นางเก็บข้าวของ เตรียมที่จะเอาไปให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ตอนที่ไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยิน ให้นางสวมออกมาเจอแขกพรุ่งนี้ สวีลิ่งอี๋ออกมาจากห้องน้ำ เขาหยิบไปดู ยิ้มแล้วพูดว่า “ค้างคาวถักได้สวยมาก”
สืออีเหนียงยิ้มแต่ก็ไม่พูดอะไร นางเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ท่านโหวกลับมาเร็วจังเลยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋กลับพูดว่า “เจ้าช่วยข้าเก็บข้าวของหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะไปอยู่ที่พระตำหนักนอกบนเขาซีซานสองสามวัน ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อใด”
สืออีเหนียงตกใจ นางรู้สึกไม่สบายใจ
“ใกล้จะปีใหม่แล้ว เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงนึกอยากจะไปอยู่ที่พระตำหนักนอกบนเขาซีซานเจ้าคะ…” นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง “มีเรื่องอันใดหรือไม่”
“ไม่มีเรื่องอันใด!” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ยังคงนิ่งสงบเหมือนปกติ “เจ้าอยู่ที่จวนอย่างสบายใจก็พอ พี่สะใภ้สามเป็นคนไม่คิดอะไร น้องสะใภ้ห้าก็กำลังตั้งครรภ์ วันที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องดูแลท่านแม่และลูกๆ ให้ดี”
ยังบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรอีก!
กฎหมายโบราณคือหากคนหนึ่งทำผิดกฎหมาย คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องถูกลงโทษไปด้วย
คิดเช่นนี้ สีหน้าของนางก็ซีดลง “ท่านโหว ข้าเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องข้างนอก แต่ท่านไม่บอกอะไรกับข้าเลย หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าก็คงไม่รู้เรื่องนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเตรียมตัวล่วงหน้า ถึงแม้จะบอกว่ายังมีคุณชายสามกับพ่อบ้านไป๋ แต่พวกเขาอยู่เรือนนอกนะเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋นึกถึงเรื่องที่นางจัดการตั้งแต่แต่งเข้ามา…ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปเรือนหน่วนเก๋อกับนาง
“ข้าเล่าให้เจ้าฟัง แต่เจ้าอย่าเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังเด็ดขาด” เขาพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “คืนก่อนไม่รู้ว่าองค์ชายห้าทานอะไรเข้าไป เขาทั้งอาเจียนทั้งท้องเสีย คนในสำนักหมอหลวงต่างทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่ได้สติ ฮ่องเต้จึงให้ข้าไปอยู่ที่พระตำหนักนอกบนเขาซีซานกับฮองเฮาและองค์ชายสอง เพราะผู้บัญชาการกองทัพทหารอวี้หลิน โอวหยางหมิงพาองค์ชายใหญ่กลับไปบูชาบรรพบุรุษที่บ้านเกิดแทนองค์ฮ่องเต้”
สืออีเหนียงใจหวิว
ในพระราชวังไม่สงบจริงๆ…
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าถึงแม้ว่าสีหน้าของสืออีเหนียงจะซีดเซียว แต่ท่าทีของนางกลับสงบ แล้วยังนิ่งสงบกว่าวันปกติเสียอีก เขาชื่นชมนางในใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสารนางที่นางยังเด็กแล้วต้องมาลำบากเพราะตัวเอง เขาถอนหายใจเบาๆ ลูบหัวนางพลางเอ่ยปลอบนาง “ไม่เป็นไร หากฮ่องเต้ไม่สนใจอะไรแล้วจริงๆ เขาคงไม่ให้ข้าและโอวหยางหมิงแยกย้ายกันติดตามองค์ชายสามและองค์ชายใหญ่ เจ้าต้องรู้ว่า โอวหยางหมิงเข้าไปในพระวังตั้งแต่อายุสิบสาม เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้ เป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางใจที่สุด ในมือของเขามีพระราชโองการของฮ่องเต้ สามารถเคลื่อนย้ายกองทัพทหารเขาซานซี มณฑลเหอเป่ย ข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน!”
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะมีความคิดเช่นนั้น ถึงแม้ว่าโอวหยางหมิงและองค์ชายใหญ่จะปลอดภัย แต่หากสกุลสวีไม่มีสวีลิ่งอี๋ มันจะเป็นเช่นไรกันเล่า…สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้นางก็เป็นกังวล “แล้วท่านโหวล่ะเจ้าคะ” นางจับแขนเสื้อของสวีลิ่งอี๋ไว้แน่น
สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลง มองเห็นนิ้วมือสีขาวของนาง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหัวใจของเขาก็อบอุ่นขึ้นมา เขากลับพูดคำบางคำที่ไม่ควรพูดออกมา “ตอนที่ฮ่องเต้คนก่อนสวรรคต ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงขึ้นครองบัลลังก์อย่างราบรื่น ไม่เกี่ยวข้องกับที่ข้าเคยเป็นผู้บัญชาการค่ายใหญ่ซีซาน…” หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดอีกว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถเคลื่อนไหวกองทัพทหารซีเป่ย แต่ข้าก็สามารถเคลื่อนไหวค่ายใหญ่ซีซาน”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่หมดห่วง แต่นางกลับรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจ “แต่ฮ่องเต้ส่งท่านไปที่เขาซีซาน…”
นางยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว
บางคนแม้มีแผนลับแต่สุดท้ายก็ยังถูกคู่ต่อสู้มองออก ทำได้แค่ยอมจำนน “ท่านโหว ท่านต้องคิดหาวิธีอื่นนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดด้วยสายตาที่หวาดกลัว
เพราะว่านางเรียนกฎหมาย นางเคยเห็นคดีโบราณบางคดี เช่นจุดจบที่น่าอนาจของฟังเซี่ยวหรู!
“ในเมื่อท่านมีความดีความชอบ ฮ่องเต้จะไม่รู้ความสัมพันธ์ของท่านกับค่ายใหญ่ซีซานได้เช่นไร แต่ยังส่งท่านไปที่ค่ายใหญ่ซีซาน…”
สวีลิ่งอี๋เข้าใจความหมายที่นางอยากจะสื่อทันที เขาเก็บซ่อนสีหน้าที่ตกใจเอาไว้ไม่อยู่
สตรีที่อยู่ตรงหน้าตนคนนี้ ฉลาดกว่าที่เขาคิด ดูเหมือนว่านางจะสามารถมองเห็นข้างในของเรื่องราวต่างๆ ผ่านพื้นผิวของเรื่องราวนั้นๆ อย่างเช่นเรื่องข้าวราและตอนนี้…แล้วตอนที่นางพึ่งจะแต่งเข้ามา สิ่งที่นางพูดตอนที่นางอ่านหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจวอยู่ข้างๆ ตน ทำให้อารมณ์ที่หงุดหงิดของเขาสงบลงทันที จากนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นได้ว่า นางพึ่งแต่งเข้าไม่ถึงสามเดือน!
นี่ไม่ใช่แค่ความฉลาด แต่มันคือการมองการณ์ไกล
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตื่นเต้น
แต่ความสามารถเช่นนี้…
คิดดูแล้ว มีคนที่มีความสามารถราวกับที่ปรึกษาทางการทหารคอยช่วยเหลือเขาดูแลครอบครัว ต่อไปเขาคงไม่ต้องกังวลเรื่องครอบครัวอีกแล้ว คงไม่ต้องไปจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้นด้วยตัวเองอีกแล้ว…ทันใดนั้น สายตาที่เขาใช้มองสืออีเหนียงก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“วางใจเถิด!” เขายิ้มแล้วตอบ “หากฮ่องเต้สงสัยในตัวข้า ก็คงมีการเคลื่อนไหวกำลังคนในค่ายใหญ่ซีซาน หรือแสดงพระมหากรุณาธิคุณเพื่อจะดูว่าข้าจะมีปฏิกิริยาเช่นไร หรือไม่ก็เคลื่อนย้ายคนของค่ายใหญ่ซีซานที่สนิมสนมกับข้าออกไปจนหมดเพื่อที่จะกันไว้ดีกว่าแก้ แต่นี่ฮ่องเต้กลับทรงไม่ได้ทำอะไร เราควรป้องกันเมื่อควรป้องกัน เคลื่อนย้ายเมื่อควรเคลื่อนย้าย” พูดจบ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ข้ารู้อยู่แก่ใจ ครอบครัวของข้า ข้าไม่มีทางทำให้พวกเจ้าเดือนร้อน”