ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 161 ตกใจ(กลาง)

ตอนที่ 161 ตกใจ(กลาง)

การร้องไห้ของไท่ฮูหยินทำให้ฮองเฮาประหลาดใจ

ไท่ฮูหยินร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเป็นอย่างมาก “ฮองเฮาเป็นพระมารดายังสามารถร้องไห้เสียพระทัยได้ แต่คนเป็นพระบิดาต่อให้เจ็บปวดมากเพียงใดก็พูดออกมาไม่ได้ นึกถึงตอนนั้นที่บุตรชายคนโตของหม่อมฉันจากไป ท่านโหวคนก่อนไม่ทานข้าวแม้แต่คำเดียวถึงสามวัน…”

นางยังไม่ทันได้พูดจบ ฮองเฮาก็ปิดหน้าร้องไห้เสียงดัง

ทุกคนในห้องล้วนพากันร้องไห้ไปกับนาง

ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะเดินไปที่เตียง “ฮองเฮาโปรดอย่าเศร้าไปเลยเพคะ”

ฮองเฮาพลันลุกขึ้นแล้วกอดไท่ฮูหยินเอาไว้ “ท่านแม่…เจ้าห้าเขา เขา…”

นางกำนัลที่สวมเสื้อคอกลมสีม่วงแขนแคบ สวมกระโปรงสีแดงปักลายดอกทานตะวันสีแดงเข้ม สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก สืออีเหนียงตระหนักได้ทันทีว่าฮองเฮาทรงลืมการวางตัวไปแล้ว

นางก้าวไปข้างหน้าแล้วกระซิบกับนางกำนัลผู้นั้นว่า “เกรงว่าฮองเฮาทรงมีเรื่องจะพูดคุยกับไท่ฮูหยินตามลำพังนะเจ้าคะ”

นางกำนัลผู้นั้นรับรู้ได้นานแล้ว กำลังส่งสายตาเป็นนัยให้นางกำนัลกับขันทีที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้จึงรีบบอกกับสืออีเหนียงว่า “ฮูหยินพูดถูกแล้ว” จากนั้นก็สบตากับสืออีเหนียงแล้วเดินออกไปก่อน

นางกำนัลและขันทีที่ปรนนิบัติอยู่ในพระตำหนักต่างก็พากันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ถอยออกมาอย่างเงียบๆ ยืนอยู่กลางลานพระตำหนักจากระยะไกล นางกำนัลผู้นั้นปิดประตูพระตำหนักอย่างระมัดระวังแล้วเดินลงบันไดมากับสืออีเหนียง ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ข้าคือหวงเสียนอิง ขอคารวะฮูหยินเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงรีบตอบทันที “หวงกูกู[1]เกรงใจเกินไปแล้ว”

แต่สายตากลับลอบสังเกตอย่างละเอียด

ดูแล้วท่าทางจะอายุยี่สิบต้นๆ รูปร่างเล็ก หน้าตาสะสวย แม้สีหน้าจะมีความระแวดระวังอยู่มาก แต่ก็ปรากฏความมั่นใจในตัวเอง

ดูแล้วคงจะเป็นนางกำนัลที่มีหน้ามีตาในพระตำหนักคุนหนิง

สืออีเหนียงยื่นถุงเงินให้ “เป็นของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรก ขอหวงกูกูโปรดรับไว้ด้วย”

หวงกูกูประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มบางๆ รับถุงเงินมาแล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็กล่าวขออภัยว่า “ข้ายังต้องไปปรนนิบัติฮองเฮา อยู่เป็นเพื่อนฮูหยินไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย “เชิญหวงกูกูตามสบาย ข้าจะรออยู่ข้างนอก”

พูดจบก็เดินไปอยู่ข้างต้นไห่ถังที่จวนตะวันตก

หวงกูกูยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินไปเฝ้าที่ด้านข้างของพระตำหนัก

สืออีเหนียงยืนอยู่พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอก

“ข้าแค่อยากมาพบฮองเฮาเท่านั้น…” น้ำเสียงอ่อนแรงฟังแล้วน่าสงสารยิ่งนัก

“หวงกุ้ยเฟยโปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเหลยกงกงไม่ได้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ก็ไม่ได้แข็งกร้าว “ฮองเฮาทรงโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ต้องการพักผ่อนอย่างสงบ นี่เป็นคำสั่งของฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าขัดคำสั่ง ขอหวงกุ้ยเฟยทรงมาใหม่ในวันหลังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงที่อ่อนโยนนั้นอ้อนวอนขอร้อง แต่เหลยกงกงกลับไม่ยอมหลีกทางให้ สุดท้ายหวงกุ้ยเฟยที่น่าเอ็นดูผู้นั้นก็ต้องเดินจากไปด้วยความเสียดาย

สืออีเหนียงใจเต้น

ขันทีในวังล้วนมีหูตาที่คอยสอดส่องทุกทิศทาง เหลยกงกงผู้นี้กล้าต่อกรกับหวงกุ้ยเฟย คิดว่าคงจะมีที่พึ่งเป็นแน่

ต้าโจวตั้งมั่นมาร้อยปี เป็นยุคแห่งความสงบสุขของเสียงเพลงและการเต้นรำ นางไม่เชื่อว่าสวีลิ่งอี๋จะมีอำนาจมากขนาดนั้น แสดงว่าหากเบื้องหลังของเหลยกงกงไม่ใช่ฮ่องเต้ เช่นนั้นก็เป็นฮองเฮา…

สืออีเหนียงมองไปยังห้องหน่วนเก๋อทิศตะวันออกอย่างครุ่นคิด

ไม่นานหลังจากที่หวงกุ้ยเฟยจากไปก็มีเสียนเฟย จิ้งเฟย จางเจี๋ยอวี๋[2] ซ่งเจี๋ยอวี๋ หยางเหม่ยเหริน[3] อวี๋เหม่ยเหริน ค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นทีละคน แต่ก็ล้วนถูกเหลยกงกงขวางไว้นอกประตู

ฟ้าค่อยๆ มืดแสงลง ลมพัดผ่านร่างกาย

มีนางกำนัลยื่นเตาไฟพกพาให้นาง “เอาไว้เพิ่มความอบอุ่นให้ฮูหยินเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวขอบคุณนาง มอบเงินให้นางเป็นรางวัล แสร้งทำเป็นถามขึ้นอย่างสงสัย “ข้าได้ยินมาว่าซ่งเจี๋ยอวี๋นั้นมีหน้าตางดงามอย่างยิ่ง เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

นางกำนัลผู้นั้นพยักหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “เดิมทีนางกับหยางเหม่ยเหรินต่างก็เป็นนักดนตรีในพระราชวัง”

พูดง่ายๆ ก็คือคนที่เกิดในสกุลต่ำต้อยต้องใช้หน้าตาเพื่อปรนนิบัติรับใช้

สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย

สะใภ้หยางนั้นพยายามกำจัดนางอย่างสุดกำลัง!

อย่างไรก็ตามวิธีนี้นั้นต่ำช้าเกินไป คนอื่นมองก็เข้าใจได้ในทันที ไม่แปลกที่โจวฮูหยินไม่สนใจนาง!

ขณะที่กำลังครุ่นคิด หวงกูกูก็ค่อยๆ เปิดม่านพระตำหนักหลวงขึ้นแล้วพยักหน้าให้นาง “ฮองเฮาเชิญให้ฮูหยินเข้ามาเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เรียกนางกำนัลอีกสองสามคน “ไปนำน้ำอุ่นมาเช็คหน้าให้ไท่ฮูหยิน!”

สืออีเหนียงรับรู้ได้ทันทีว่าอารมณ์ของทั้งสองคนสงบลงแล้ว เดินตามหวงกูกูเข้าไปในห้องหน่วนเก๋อทิศตะวันออก

ฮองเฮากำลังเอนหลังพิงหมอนอิง ส่วนไท่ฮูหยินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้จิ่นอู้ข้างๆ เตียง ดวงตาและจมูกของทั้งสองแดงก่ำ ในมือมีผ้าเช็ดหน้าที่ใช้ซับที่หางตา

สืออีเหนียงเดินเข้าไปคารวะฮองเฮาแล้วไปยืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยินโดยไม่พูดไม่จา นางกำนัลได้นำน้ำอุ่นเข้ามาแล้ว หวงกูกูพานางกำนัลห้าหกคนมาปรนนิบัติฮองเฮาล้างหน้า สืออีเหนียงมีนางกำนัลคอยช่วยปรนนิบัติไท่ฮูหยินล้างหน้า ไม่มีใครพูดอะไร ในห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงน้ำและเสียงบิดผ้าเช็ดหน้า

ไม่นานฮองเฮาและไท่ฮูหยินก็ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ไท่ฮูหยินจึงลุกขึ้นกล่าวลา “ฮองเฮาโปรดดูแลตัวเองด้วยเพคะ พรุ่งนี้หม่อมฉันจะมาเยี่ยมท่านอีก”

ฮองเฮามองท่านแม่ น้ำตาพลันรื้นขึ้นมา “ดึกมากแล้ว ไท่ฮูหยินระวังตัวด้วย”

ทั้งสองได้กลับสู่ความห่างเหินของเชื้อพระวงศ์กับข้าราชบริพารอีกครั้ง

ไท่ฮูหยินกล่าวขอบพระทัย สืออีเหนียงเข้าไปประคองแล้วพาเดินออกจากพระตำหนัก

ได้พบกับเหลยกงกงพอดี เมื่อเห็นไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงเขาก็โค้งคำนับแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทกับองค์ชายสามเสด็จมาแล้ว” ไม่รอให้ไท่ฮูหยินได้พูดตอบอะไรก็รีบเดินเข้าไปในพระตำหนักหลวงทันที

ไท่ฮูหยินถอนหายใจยาว พาสืออีเหนียงออกจากพระตำหนักคุนหนิง พบกับฮ่องเต้ที่นั่งประทับอยู่บนเกี้ยวที่หน้าประตูพระตำหนัก ทั้งสองคนรีบหลบไปที่ข้างกำแพง

เกี้ยวถูกวางลง ฮ่องเต้ทรงเดินออกมาทักทายไท่ฮูหยิน “ไท่ฮูหยิน!” ไท่ฮูหยินรีบคุกเข่าลง สืออีเหนียงไม่มีเวลามาสนใจแผ่นหินหยกใต้เท้าที่ถูกลมหนาวพัดผ่านแล้วรีบคุกเข่าลงตาม หัวเข่าของนางสัมผัสได้ถึงความเย็นอย่างรวดเร็ว

“ไท่ฮูหยินลุกขึ้นเถิด!” น้ำเสียงของฮ่องเต้เจือไปด้วยความอ่อนโยน ชายหนุ่มที่สวมชุดลายมังกรสีเหลืองสดใสรีบเข้ามาพยุงไท่ฮูหยินพลางหันมาพูดกับสืออีเหนียงว่า “ฮูหยินหย่งผิงโหวก็ลุกขึ้นเถิด”

“หม่อมฉันขอขอบพระทัยองค์ชายสามเพคะ” ไท่ฮูหยินกล่าวขอบคุณเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล

เมื่อสืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็พูดว่า “ขอบพระทัยองค์ชายสามเพคะ” จากนั้นก็ลุกขึ้นมาประคองอีกด้านหนึ่งของไท่ฮูหยิน

เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าองค์ชายสามมองสืออีเหนียงอย่างสงสัย

สืออีเหนียงอาศัยโอกาสนี้เหลือบมององค์ชายสาม

อายุไม่เกินสิบเอ็ดสิบสองปี ผิวขาวกระจ่างใส มีดวงตาเรียวยาวดั่งหงส์ที่เหมือนกับสวีลิ่งอี๋

หลานชายหน้าเหมือนลุงของเขา!

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ประโยคนี้ก็โผล่ขึ้นมาให้หัวของสืออีเหนียง

“ฟ้ามืดแล้ว” ฮ่องเต้กำชับคนรอบข้าง “ใช้เกี้ยวของเราส่งไท่ฮูหยินออกจากวัง”

เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็จะคุกเข่าลงปฏิเสธ

แต่ฮ่องเต้ทรงตรัสขึ้นมาว่า “ไท่เอ๋อร์ เจ้าไปส่งไท่ฮูหยินออกจากวังเถิด!”

องค์ชายสามโค้งรับพระบัญชาทันที “พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”

ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปในพระตำหนักคุนหนิง

องค์ชายสามทรงเรียกขันทีมายกเกี้ยว

ไท่ฮูหยินกุมมือองค์ชายสาม “ไม่ต้องหรอก ท่านเดินไปเป็นเพื่อนหม่อมฉันก็พอแล้ว”

องค์ชายสามพูดเสียงเบาว่า “ไท่ฮูหยินฟังเสด็จพ่อข้าเถิด บางครั้งท่านก็ระวังตัวมากเกินไป ทำให้เสด็จพ่อทรงไม่สบายพระทัย”

เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ใจเต้นรัว

คิดไม่ถึงว่าองค์ชายสามอายุยังน้อยแต่กลับมีความคิดเช่นนี้ หรือเป็นเพราะว่าเด็กในราชวงศ์จะโตเร็วเป็นพิเศษ

นางนึกถึงสวีซื่ออวี้…และอดไม่ได้ที่จะหันไปมององค์ชายสาม

องค์ชายสามเงยหน้าขึ้นมาพอดี ทั้งสองคนสบตากัน

สืออีเหนียงพยักหน้าให้องค์ชายสามอย่างเป็นมิตร องค์ชายสามมีท่าทีสงบนิ่ง พยักหน้ากลับเล็กน้อยแล้วเข้าไปประคองไท่ฮูหยินด้วยความตั้งใจ “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน เกี้ยวจะมาในไม่ช้า หากช้ากว่านี้ในพระตำหนักก็จะใส่กุญแจแล้ว อีกทั้งเมื่อครู่กรมพิธีการได้ถวายพระบรมราชานุญาติให้เสด็จพ่อจัดพิธีศพของน้องห้าเช่นเดียวกับเชื้อพระวงศ์ พรุ่งนี้ก็จะนำเข้าสู่โลงศพ องค์ชาย ขุนนาง บรรดาคนในวังรวมทั้งองค์หญิง ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปที่อยู่ในเมืองหลวงและบรรดาฮูหยินจะมารวมตัวกันเพื่อไว้อาลัย อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ท่านยังต้องมาคอยชี้แนะเสด็จแม่ เรื่องวุ่นวายก็ยังมีอีกมากมาย ท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดี”

มีประโยคหนึ่งที่ทำให้ไท่ฮูหยินน้ำตารื้น “องค์ชายสามพูดถูกแล้ว องค์ชายสามพูดถูกแล้ว หม่อมฉันจะดูแลสุขภาพให้ดี ท่านวางใจได้เพคะ”

องค์ชายสามพูดปลอบใจไท่ฮูหยินอีกสองสามประโยค เมื่อขันทียกเกี้ยวมาแล้ว องค์ชายสามก็เข้าไปประคองไท่ฮูหยินขึ้นเกี้ยวด้วยตัวเอง จากนั้นก็ประกบข้างไท่ฮูหยินซ้ายขวากับสืออีเหนียงพาไท่ฮูหยินไปส่งที่ประตูตะวันออก

รถม้าของจวนสกุลสวีรออยู่ที่ประตูตะวันออกนานแล้ว สวีลิ่งอี๋และคุณชายห้ายืนรออยู่ข้างรถม้า เมื่อเห็นองค์ชายสามก็พากันเข้าไปคำนับ

องค์ชายสามมองสวีลิ่งอี๋ ขอบตาแดงก่ำร้องเรียก “ท่านโหว”

มีท่าทางเหมือนเด็กบ้างแล้ว

สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาด้วยความประหลาดใจว่า “เหตุใดองค์ชายสามถึงอยู่ที่นี่”

องค์ชายสามพูดขึ้นมาว่า “เสด็จพ่อกับข้าไปเยี่ยมเสด็จแม่ บังเอิญได้พบไท่ฮูหยินจึงให้ข้าพามาส่ง”

สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “องค์ชายสามควรจะรีบกลับไป ปกติแล้วฮ่องเต้จะทรงวุ่นวายอยู่แต่กับงานราชการ โอกาสเช่นนี้มีไม่มากนัก” พูดพลางมองหน้าเขาอย่างมีความหมาย

เมื่อองค์ชายสามได้ยินดังนั้นก็พลันสั่นสะท้าน รีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวดูแลสุขภาพด้วย ข้าจะกลับวังบัดเดี๋ยวนี้!” พูดพลางคำนับสวีลิ่งอี๋ แล้วหันไปพยักหน้าให้ไท่ฮูหยินกับคุณชายห้า พาขันทีกับนางกำนัลเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังพระตำหนักคุนหนิง

สวีลิ่งอี๋ประคองไท่ฮูหยินขึ้นรถม้า “มีเรื่องอันใดกลับไปค่อยว่ากันขอรับ”

ไท่ฮูหยินพยักหน้า ขึ้นรถม้าไปกับสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่ด้านหน้าของรถม้า คุณชายห้านั่งอยู่ด้านหลังของรถม้า เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวก็หายลับไปในความมืด

******

คนที่พอมีอำนาจในจวนสวีต่างก็รู้ว่าองค์ชายห้านั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ทุกคนล้วนตัวสั่นเทา บรรยากาศภายในจวนตึงเครียดเป็นอย่างมาก

คนที่จะมาทานอาหารเย็นมาครบกันหมดแล้วรวมถึงฮูหยินห้าที่อาศัยอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน

ทุกคนทานข้าวกันอย่างเงียบๆ สวีซื่อฉินและสวีซื่อวี้มองหน้ากันแล้วรีบลุกขึ้นขอตัวลา

เมื่อสืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปอุ้มจุนเกอแล้วกำชับเจินเจี่ยเอ๋อร์เสียงเบาว่า “ช่วยข้ากล่อมเขาเข้านอนที”

เมื่อสวีลิ่งอีเห็นว่าจุนเกอซุกอยู่ในอ้อมกอดของสืออีเหนียงอย่างว่าง่าย สายตาก็ฉายแววประหลาดใจ

ส่วนฮูหยินสามเห็นว่าสืออีเหนียงขอตัวออกไปแล้ว จึงลุกขึ้นไปจูงมือสวีซื่อเจี่ยน “พรุ่งนี้เจี่ยนเกอจะต้องไปสำนักศึกษาแต่เช้า”

ไท่ฮูหยินพยักหน้า กำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง สวีลิ่งอี๋ก็พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า “สืออีเหนียงอยู่ก่อน ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์พาจุนเกอไปพักผ่อนได้แล้ว”

นอกจากไท่ฮูหยินแล้วคนอื่นๆ ก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา รวมถึงตัวสืออีเหนียงเองด้วย

เมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าตกใจ รีบอุ้มจุนเกอออกไป แต่เพราะว่ามีแรงน้อยจุนเกอจึงลื่นไถลไปกองกับพื้นทันที หากไม่ใช่เพราะมีแม่นมที่อยู่ข้างๆ คอยรับไว้ก็คงล้มไปแล้ว

โชคดีที่จุนเกอสนิทกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ จึงไม่ได้รู้สึกเสียใจที่สืออีเหนียงไม่ได้อยู่ด้วย เพียงแค่จูงมือเจินเจี่ยเอ๋อร์เดินออกไปอย่างมีความสุข

ฮูหยินสามยิ้มเจื่อนแล้วรีบพาเจี่ยนเกอกลับเรือน

เมื่อคุณชายห้าเห็นดังนั้นก็หันไปมองฮูหยินห้าแล้วพูดเสียงเบาว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถิด”

แววตาของฮูหยินห้าฉายแววไม่สบอารมณ์ แต่ยังคงยิ้มพลางพยักหน้า มีสาวใช้และป้าๆ เดินห้อมล้อมออกไป

——————-

[1]กูกู เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้อาวุโส

[2]เจี๋ยอวี๋ ตำแหน่งพระสนมชั้นสูงในองค์จักรพรรดิ พระสนมระดับที่ 3 ชั้นเอก พระสนมขั้น 1 เจี๋ยยวี๋ หมายถึง หญิงงามผู้ได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ

[3]เหม่ยเหริน ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ พระสนมระดับที่ 4 ชั้นเอก พระสนมขั้น 2 เหม่ยเหริน แปลว่า ผู้มีความงดงาม

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท