โจวฮูหยินดึงสืออีเหนียงไปที่โต๊ะของนาง เมื่อมองเห็นคุณนายสามสกุลหวง ก็ชี้ไปที่นางพลางยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ก็คิดอยู่ว่าเหตุใดข้าไม่เห็นเจ้า ที่แท้ก็มาหลบอยู่ตรงนี้นี่เอง เห็นข้ามาก็ไม่ทักทายกันสักหน่อย”
คุณนายสามสกุลหวงยิ้มแล้วลุกขึ้น “ข้าก็รออยู่ตรงนี้ไงเล่า รอให้พี่หญิงกับฮูหยินสี่คุยกันเสร็จก่อนแล้วข้าค่อยเข้าไปทักทาย” พูดพลางเดินออกมาข้างหน้าโต๊ะแล้วย่อเข่าคำนับโจวฮูหยิน
โจวฮูหยินรีบคำนับกลับ
คุณนายใหญ่สกุลหลินเดินมาข้างหน้าโต๊ะแล้วคำนับโจวฮูหยินเช่นกัน
โจวฮูหยินคำนับกลับ ยิ้มพลางจับมือคุณนายใหญ่สกุลหลิน “เมื่อครู่ข้ายังถามเกี่ยวกับเรื่องงานแต่งของหมิงหย่วน แล้วตอนนี้ก็บังเอิญมาเจอเจ้าพอดี”
คุณนายใหญ่สกุลหลินยิ้มแหย “คนที่พอมีหน้ามีตาในเยี่ยนจิงก็ได้เห็นมาหมดแล้ว แต่หมิงหย่วนก็ยังไม่พอใจ หากพี่หญิงโจวเห็นว่ามีผู้ใดที่เหมาะสมก็ช่วยเอ็นดูหมิงหย่วนของพวกเราด้วย”
โจวฮูหยินรีบพูดขึ้นมาว่า “แน่นอน ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” แต่หางตากลับชำเลืองมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มอย่างอึดอัดในใจ
นี่มันเรื่องอันใดกัน!
เมื่อฮูหยินสามสกุลหวงเห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วเชิญให้โจวฮูหยินนั่งลง บรรดาสาวใช้นำชามาวาง ถังฮูหยินสั่งให้คนยกอาหารมา ทันใดนั้นก็มีสาวใช้สวมชุดแดงเขียวหน้าตาสะสวยยกอาหารออกมา
ในจวนสกุลถังยังมีแขกอีกหลายคนที่อยู่ในห้องโถงรอง คุณนายสี่สกุลถังให้คุณนายน้อยสามสะใภ้หยางคอยรับใช้อยู่ที่นี่ เมื่ออาหารมาวางครบแล้วก็เอ่ยขอตัวไปยังห้องโถงรอง ถังฮูหยินเป็นเจ้าภาพเชิญให้แขกผู้มีเกียรติรับประทานอาหารและดื่มสุรา ชั่วขณะนั้นบรรยาการครึกครื้นเป็นอย่างมาก
เมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยก็ย้ายกันไปดื่มชาที่เรือนหน่วนเก๋อข้างหลังห้องโถงบุบผา ถังฮูหยินถามว่าจะเล่นไพ่นกกระจอกหรือจะฟังเรื่องเล่าจากหนังสือ
ทุกคนมองไปที่ไท่ฮูหยิน ส่วนไท่ฮูหยินก็หันไปถามบรรดาท่านป้าของคุณหนูถัง “…จะเล่นไพ่นกกระจอกหรือจะฟังละครดีเล่า”
จวนสกุลเดิมของถังฮูหยินที่หลินถงก็ถือว่าเป็นสกุลใหญ่ คนในสกุลเคยเป็นผู้ว่าราชการมณฑล เคยเข้าร่วมการเมือง แต่เมื่อเทียบกับทุกคนที่นี่แล้วยังถือว่าต่างชั้นกันมาก ท่านป้าผู้นั้นได้พูดขึ้นมาว่า “อะไรก็ได้ อะไรก็ได้”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วถามคนรอบข้าง ทุกคนต่างบอกว่าอะไรก็ได้
“เช่นนั้นก็เล่นไพ่นกกระจอกกันเถิด” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้ก็อายุมากแล้ว ข้าไม่ชอบเสียงดัง”
ถังฮูหยินเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่อายุมากแล้ว จึงยิ้มแล้วพยักหน้า เรียกให้สาวใช้ยกโต๊ะเข้ามาสามสี่โต๊ะ แล้วไปเอาไพ่นกกระจอกไม้ไผ่หนานจู๋ เจิ้งไท่จวิน ไท่ฮูหยิน หวงฮูหยิน หลินฮูหยินนั่งโต๊ะเดียวกัน เหลียงฮูหยิน เฉียวฮูหยิน ท่านป้าและท่านอาของคุณหนูถังนั่งโต๊ะเดียวกัน หลี่ฮูหยินนั่งดูไพ่อยู่ทางซ้ายมือของไท่ฮูหยิน กานฮูหยินและโจวฮูหยินนั่งอยู่ด้วยกัน แล้วยังมีคุณนายใหญ่สกุลหลินกับท่านอาของคุณหนูถังอีกคนหนึ่งนั่งโต๊ะเดียวกัน
สืออีเหนียงนั่งอยู่ทางด้านขวาของไท่ฮูหยิน คุณนายสามสกุลหวงนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของหวงฮูหยิน ทั้งสองคนนั่งอยู่ติดกันและพูดคุยถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบของไพ่อยู่ตลอดเวลา สืออีเหนียงไม่ค่อยชำนาญด้านนี้ ส่วนใหญ่จะทำตามที่คุณนายสามสกุลหวงบอก พึ่งจะสังเกตเห็นว่าการเล่นไพ่นกกระจอกนั้นมีเคล็ดลับมากมายไม่ด้อยไปกว่าการคำนวณเลขระดับสูงเลย เมื่อค่อยๆ เข้าใจวิธีการเล่นแล้วจึงรู้สึกว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อคุณนายสามสกุลหวงเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้ไม่เต็มใจที่จะเล่น ก็พลันรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น
หวงฮูหยินที่อยู่ข้างๆ รำคาญนางที่คอยจู้จี้ “พวกเจ้าไปตั้งโต๊ะใหม่กันสิ” ทำเอาสืออีเหนียงตกใจรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าเล่นไม่เป็นหรอกเจ้าค่ะ”
คุณนายสามสกุลหวงหน้าแดงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ท่านป้าที่ต้อนรับแขกได้พาหญิงที่สวมเสื้อกั๊กสีฟ้าอมเขียวเดินเข้ามา
เมื่อสืออีเหนียงหันไปมองจึงได้รู้ว่าเป็นฮูหยินของเจียงไป่
เนื่องจากหยวนเหนียงเสียชีวิตไปแล้ว จุนเกอจึงต้องไว้ทุกข์ สองสกุลจึงทำได้เพียงแลกเทียบรายชื่อเท่านั้น เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเมื่อผ่านช่วงไว้อาลัยไปแล้วจะยังหารือเรื่องการแต่งงานอยู่หรือไม่
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด เจียงฮูหยินผู้นั้นก็ยิ้มแล้วย่อคำนับคารวะไท่ฮูหยิน “ได้ยินว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้าจึงได้มาคารวะ”
ไท่ฮูหยินเงยหน้าขึ้นมามองนางแล้วยิ้ม “มาตั้งแต่เมื่อใดกัน ทานข้าวแล้วหรือยัง” ท่าทางสนิทสนมเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงใจเต้นเล็กน้อย
นึกถึงครั้งแรกที่เห็นเจียงฮูหยิน ตอนนั้นนางดูมีท่าทีถ่อมตน แต่ตอนนี้นางกลับดูกระตือรือร้นที่จะเข้ามาคารวะไท่ฮูหยิน ในใจคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เกี่ยวดองกับสกุลสวี และความสนิทสนมที่ไท่ฮูหยินมีต่อนางเช่นนี้ คาดว่าคงจะมีเจตนาที่จะปรึกษาเรื่องการหมั้นหมายต่อหลังจากช่วงไว้อาลัยผ่านพ้นไป
เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงฮูหยินก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าพึ่งมาถึงเพราะที่เรือนมีแขกมาหา ดังนั้นจึงได้ทานข้าวก่อนแล้วค่อยออกมาเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ชี้ไปที่สืออีเหนียง “พวกเจ้าเคยเจอกันหรือไม่ นี่คือลูกสะใภ้สี่ของข้า”
เคยพบกันตอนทำศพให้หยวนเหนียง แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ทั้งสองคนยิ้มแล้วคำนับซึ่งกันและกัน เจียงฮูหยินพูดอย่างคลุมเครือว่า “เคยเจอแล้วครั้งหนึ่ง” จากนั้นก็พูดต่อว่า “ไม่ขอรบกวนความสนุกของทุกคนแล้ว อีกสักครู่ข้ายังต้องไปพบปะกับบรรดาน้องหญิงที่ห้องโถงรอง เห็นว่าท่านสุขภาพแข็งแรงข้าก็รู้สึกสบายใจ ตอนนี้ต้องขอตัวก่อน อีกประเดี๋ยวจะกลับมาพบท่าน” ไท่ฮูหยินพยักหน้าตอบรับ สืออีเหนียงพามาส่งที่หน้าประตู เห็นท่านป้าที่ต้อนรับแขกกำลังเดินเข้ามากับแม่สามีของสือเหนียง ไท่ฮูหยินสกุลหวังจากจวนเม่ากั๋วกง
นางรีบเข้าไปคารวะหวังฮูหยินผู้เฒ่า
หวังฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นนาง “แม่สามีของเจ้าพาเจ้ามาที่นี่เช่นนั้นหรือ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินกำลังเล่นไพ่นกกระจอกอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถามนางว่า “พี่หญิงสิบสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
หวังฮูหยินผู้เฒ่า พยักหน้า “นางสบายดี วันนี้อากาศเย็นข้าจึงไม่ได้พานางมาด้วย”
คาดว่าสือเหนียงก็คงไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้
สืออีเหนียงจึงพยักหน้า ยิ้มแล้วพาหวังฮูหยินผู้เฒ่าเดินเข้าไปในเรือนหน่วนเก๋อ
ทุกคนต่างพากันมาคำนับนาง ไท่ฮูหยินยังคงนั่งอยู่กับที่ ถังฮูหยิน เหลียงฮูหยินและคนอื่นๆ ลุกขึ้นคำนับนาง
สืออีเหนียงกลับไปหาไท่ฮูหยิน หลี่ฮูหยินผู้นั้นเอ่ยถามนางเสียงเบาว่า “ท่านนี่คือฮูหยินจากสกุลใด”
“เป็นฮูหยินผู้เฒ่าของท่านเม่ากั๋วกง” นางยิ้มแล้วพูดต่อว่า “พี่หญิงสิบของข้าได้แต่งเข้าจวนพวกนางไป”
เมื่อหลี่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา
เมื่อสืออีเหนียงเห็นเช่นนั้นก็อดถอนหายใจในใจไม่ได้
หวังฮูหยินผู้เฒ่าผู้นั้นได้เดินเข้ามา หลังจากที่ทุกคนทักทายกันเสร็จแล้ว หวังฮูหยินผู้เฒ่าก็เดินมากล่าวขอบคุณไท่ฮูหยิน “…ซ้ำยังตั้งใจส่งยาบำรุงมาให้ รอจนนางดีขึ้นแล้วข้าจะให้นางไปขอบคุณท่านที่จวนด้วยตัวเอง”
“หวังฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจกันเกินไปแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นพี่สาวของสืออีเหนียง การที่ข้าไปเยี่ยมนั้นก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว” ท่าทางดูเกรงใจเป็นอย่างมาก ทำให้รู้สึกถึงความห่างเหิน
สืออีเหนียงนึกถึงเทียบรายชื่อที่ไท่ฮูหยินมอบให้ สกุลหวังไม่ได้มีรายชื่ออยู่ในนั้น
ในเวลานั้นนางรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างก็อยู่ในแวดวงสังคมเดียวกัน แต่เหตุใดถึงไม่มีการไปมาหาสู่…ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทั้งสองสกุลจึงได้แยกกัน หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของหวังหลังและสวีลิ่งควน
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เจิ้งไท่จวินที่อยู่ข้างๆ ก็รีบเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ไท่ฮูหยินเพียงแต่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไร หวังฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้เล่าเรื่องการแท้งลูกของสือเหนียงให้ฟัง
เจิ้งไท่จวินอดถอนหายใจไม่ได้ “หญิงสาวท้องแรกคงจะยังไม่รู้ความ ส่วนใหญ่จึงมักจะเสียบุตรคนแรก…เจ้าไม่ต้องโศกเศร้าไป นางยังสาวอยู่ ดูแลตัวเองให้ดีประเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” จากนั้นก็ถามถึงฮูหยินห้า “ตานหยางสบายดีหรือไม่”
ไท่ฮูหยินใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ได้เชิญไต้ซือจี้หนิงมาดูฮวงจุ้ยให้ จึงได้ย้ายไปอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน ข้าเห็นว่าแก้มที่ขาวซีดนั้นเริ่มแดงระเรื่อแล้ว ส่วนรูปร่างก็อวบอิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่านางสบายดี”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว” เจิ้งไท่จวินพยักหน้า แล้วยังพูดถึงเรื่องที่สะใภ้สามของใต้เท้าเว่ยกรมพิธีกรรมก็ได้คลอดบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่งแล้ว
ชั่วขณะนั้นทุกคนได้ถูกหัวข้อนี้ดึงดูดความสนใจไป ทิ้งให้หวังฮูหยินผู้เฒ่ากลายเป็นธาตุอากาศ
ถังฮูหยินมองไปรอบๆ เห็นสะใภ้หยางกำลังดูไพ่ถัดจากโจวฮูหยิน นางขมวดคิ้วจากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปจับมือหวังฮูหยินผู้เฒ่า “พวกเราสองพี่น้องไม่ได้เจอกันมาสักพักแล้ว เจียงฮูหยินสบายดีหรือไม่ ได้ยินมาว่าเมื่อเดือนที่แล้วเขยของเจ้าได้เปิดยุ้งฉางเก็บเสบียงอาหาร ได้รับพระราชทานมาจากฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ”
เมื่อพูดถึงบุตรเขย ใบหน้าของหวังฮูหยินผู้เฒ่าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “บุตรเขยข้าเป็นคนขยันขันแข็ง การที่หลินเอ๋อร์ได้แต่งกับเขานั้นนับว่าเป็นบุญตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆ” ทั้งสองคนพูดพลางนั่งลงบนเตียงไม้แกะสลักลายดอกเหมยที่อยู่ข้างๆ
******
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากจวนจงซานโหว ไท่ฮูหยินอดถอนหายใจไม่ได้ “ช่างเหนื่อยเสียจริง!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วส่งชาร้อนให้นาง “ท่านดื่มชาเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินรับมาจิบหนึ่งอึก สีหน้าเผยให้เห็นความสบายใจ
“ท่านพักสายตาสักครู่เถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มพลางเอาเสื้อคลุมจิ้งจอกขาวมาห่มขาให้ไท่ฮูหยิน “กว่าจะถึงเรือนยังมีเวลาอีกครึ่งก้านธูป เมื่อถึงแล้วข้าจะเรียกท่านเองเจ้าค่ะ”
“ข้าว่ากลับไปนอนที่เรือนดีกว่า” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้อายุเยอะแล้ว เวลาหลับก็ตื่นยาก ส่วนเวลาตื่นก็หลับยาก” เอ่ยพลางถามสืออีเหนียง “วันนี้เจ้าได้เผยตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ลองบอกข้ามาสิว่าเจ้าเห็นสิ่งใดบ้าง”
สืออีเหนียงชะงักไปชั่วครู่
ความคิดแล่นอย่างรวดเร็ว
ไท่ฮูหยินอยากจะรู้สิ่งใด
นางเห็นความสัมพันธ์ของแต่ละจวนหรือไม่ หรือหมายถึงเห็นอุปนิสัยของคนเหล่านั้นหรือไม่
ระหว่างที่กำลังลังเล ไท่ฮูหยินจึงยิ้มแล้วเอ่ยเตือนนางว่า “หากท่านโหวถามเกี่ยวกับจวนจงซานโหว เจ้าจะตอบท่านโหวว่าอย่างไร”
พูดคุยกับบุรุษ แน่นอนว่าต้องพูดเกี่ยวกับการเมือง ประวัติศาสตร์ และเศรษฐกิจ…
หัวใจของนางเต้นระรัว ยิ้มแล้วตอบว่า “ถังฮูหยินต้อนรับเราไปที่เรือนหลัก ล้วนเป็นแขกที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ อย่างเช่น เจิ้งไท่จวินจวนติ้งกั๋วกง หวงฮูหยินจวนหย่งชังโหว หลินฮูหยินจวนเวยเป่ยโหวและยังมีคนอื่นๆ อาหารกลางวันรับประทานที่ห้องโถงบุปผาเล็กหลังเรือนหลัก เพียงแต่ว่าขณะที่กำลังทานข้าวมีคนมาเพิ่มอีกสองคน…”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นแววตาก็ส่องประกาย
สืออีเหนียงรู้ว่าตัวเองเดาถูกแล้ว
รอยยิ้มจึงดูสงบมากขึ้น
“คนหนึ่งเป็นฮูหยินของบัณฑิตสำนักหวาไก้เตี้ยน เสนาบดีกรมอาญาใต้เท้าเหลียง อีกคนเป็นฮูหยินของหลี่จง ผู้บัญชาการทหารมณฑลซานซี ได้ยินมาว่าเจี้ยนหนิงโหวต้องการยกบุตรสาวคนรองให้กับคุณชายใหญ่สกุลเหลียง แต่คุณชายใหญ่ได้หมั้นหมายกับคุณหนูเจ็ดสกุลกานแห่งจวนจงฉินปั๋วแล้ว ส่วนคุณชายรองก็ได้หมั้นหมายกับบุตรสาวคนรองของใต้เท้าหวง ผู้ตรวจการณ์มณฑลเจ้อเจียง เจี้ยนหนิงโหวจึงได้ยกบุตรสาวคนรองให้แต่งกับคุณชายสามสกุลเหลียงแทน ที่น่าแปลกก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ยินเรื่องการหมั้นหมายระหว่างคุณชายใหญ่สกุลเหลียงกับคุณหนูเจ็ดของจวนจงฉินปั๋ว” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หันไปมองไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินกำลังมองสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นสืออีเหนียงหยุดมองตัวเอง จึงยิ้มแล้วจับมือนาง “เด็กดี เจ้าช่างฉลาดเสียจริง” พูดพลางลูบหัวนางไปด้วย สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู “เมื่อเจอท่านโหวก็ให้บอกกล่าวกับเขาเช่นนี้”
เจตนารมณ์ของบุรุษมักจะถูกเปิดเผยผ่านการกระทำของสตรีในเรือน…ไท่ฮูหยินคงจะอยากให้นางเป็นดวงตาอีกคู่ให้สวีลิ่งอี๋กระมัง
นางมีความสามารถพอที่จะทำงานนี้ และนี่คือเป้าหมายที่นางต้องการบรรลุ
สืออีเหนียงจึงพยักหน้าอย่างมีความสุข “ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ระหว่างที่สนทนากัน รถม้าก็ได้มาถึงเหอฮวาหลี่แล้ว
สวีลิ่งอี๋และคุณชายสามได้ข่าวว่าพวกนางกำลังจะกลับมาแล้ว จึงได้พาบ่าวรับใช้ถือโคมแดงมาต้อนรับที่ประตูฉุยฮวา
ไท่ฮูหยินลงจากรถ แล้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าห้าล่ะ”
สวิลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “ข้าเห็นว่าวันนี้อากาศหนาวจึงให้เขากลับไปก่อน ตอนนี้น้องสะใภ้ห้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ข้างกายจะขาดคนไม่ได้”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า สืออีเหนียงพยุงนางเดินผ่านประตูฉุยฮวาเข้าไปในจวน
ฮูหยินสามพาสาวใช้มารอที่ประตู
ทั้งสี่คนและสาวใช้กลุ่มใหญ่พากันเดินห้อมล้อมพาไท่ฮูหยินกลับเรือน