ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 159 ชวนเชิญ(ปลาย)

ตอนที่ 159 ชวนเชิญ(ปลาย)

เจินเจี่ยเอ๋อร์ยืนยิ้มอยู่หน้าสืออีเหนียง นางหน้าแดง ถึงแม้ว่าจะพูดจาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ แต่มันกลับปกปิดท่าทีที่ตื่นเต้นของนางเอาไว้ไม่อยู่ “…ทำดอกไม้แล้วใช้ด้ายไหมสีเขียวผูกไว้กับต้นตงชิง แล้วดอกไม้แต่ละแบบยังมีกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป มองดูแล้วก็ราวกับเทพธิดาดอกไม้ที่ลงมาบนโลกมนุษย์ เสกให้ดอกไม้ของพวกนางบานสะพรั่งในชั่วข้ามคืน” นางพูดแล้วปิดปากยิ้ม

“นี่เป็นความคิดของของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์อย่างนั้นหรือ” สืออีเหนียงใช้ผ้าเช็ดหน้าปอกส้มให้นาง “ไม่น่าจะทำได้ในชั่วข้ามคืน คงจะทำไว้อยู่แล้ว เมื่อมีแขกมาจึงนำมาผูกไว้”

เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า รับส้มมาแล้วพูดขอบคุณสืออีเหนียงเบาๆ แบ่งส้มออกเป็นสองส่วน แล้วยื่นหนึ่งส่วนให้สืออีเหนียง “แต่ว่า เทียบกับดอกไม้สดของจวนเราไม่ได้เจ้าค่ะ” นางพูดเบาๆ “ยิ่งไปกว่านั้น จวนของพวกนางไม่ใหญ่เท่าจวนของเรา อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างแออัด อี๋เหนียงสองสามคนอาศัยอยู่ห้องชั้นบนของเรือนปีกทิศตะวันออกเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงหัวเราะ

สตรีล้วนแต่ชอบซุบซิบนินทา!

“ท่านโหวสกุลหลินมีบุตรชายหกคน ล้วนแต่อยู่ด้วยกัน คงจะแออัดไม่เบา”

สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วถามว่า “จวนของพวกนางมีห้องหน่วนฝังหรือไม่”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นห้องหน่วนฝังเจ้าค่ะ”

“ไม่เช่นนั้น เจ้าก็บอกให้คนของห้องหน่วนฝังส่งไม้สนไปให้พวกนาง” สืออีเหนียงยิ้ม “เกรงว่าคงจะดีกว่าที่เจ้าส่งสิ่งของเงินๆ ทองๆ พวกนั้นไป”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ “ข้าก็คิดเช่นนี้เจ้าค่ะ กะว่าจะกลับมาปรึกษากับท่านแม่”

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องที่ข้าทำได้เจ้าก็สามารถทำได้ ต่อไปไม่ต้องมาปรึกษาข้า เจ้าตัดสินใจเองเถิด”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ “จะได้เช่นไรเจ้าคะ…”

“เหตุใดจะไม่ได้” สืออีเหนียงยิ้ม “เจ้าคือคุณหนูใหญ่ของจวนเรา ย่อมได้อย่างแน่นอน”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่พูดอะไร นางมองไปที่สืออีเหนียงแล้วยิ้มอย่างเขินอาย “ข้า…”

สืออีเหนียงหวังว่านางจะมั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ จึงจับมือนางแล้วย้ำอีกครั้ง “เรื่องที่ข้าทำได้ เจ้าก็ทำได้”

เจินเจี่ยเอ๋อร์น้ำตาคลอ พลันนึกถึงที่สืออีเหนียงบอกนางว่าอย่าร้องไห้ตามอำเภอใจ นางจึงกะพริบตาเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ ยิ้มแล้วถามสืออีเหนียง “ท่านแม่ไปหาท่านป้าสาม ผ่านไปได้ด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”

สืออีเหนียงรู้สึกอุ่นใจ

เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นห่วงตัวนาง

“ท่านย่าพาข้าไปรู้จักกับท่านป้าผู้ดูแลด้วยตัวเอง” นางพูดคุยกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ราวกับสหาย “ทุกคนเห็นเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกนางต้องเป็นมิตรกับข้าอยู่แล้ว แต่ว่า ข้าคิดว่าตัวเองพึ่งจะเข้ามา ควรจะนิ่งเอาไว้ก่อน คอยเรียนรู้ตามท่านป้าสามของเจ้า ดูว่าท่านป้าสามของเจ้าจัดการเช่นไร ถึงแม้ว่าจะมีท่านป้าผู้ดูแลมาถามความเห็นจากข้า แต่ข้าก็ไม่ตอบอะไร บอกแค่ว่าต้องให้ท่านป้าสามเป็นคนตัดสินใจ เช่นนี้ ถึงจะเป็นการไว้หน้าท่านป้าสามของเจ้า แล้วก็จะไม่ได้พูดอะไรผิดหรือทำอะไรผิดไป เพียงเพราะยังไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของจวน เราต้องรู้ว่า ผู้บังคับบัญชากลัวการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะผิด แต่เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของผู้บังคับบัญชา เราก็ต้องทำผิดให้จนถึงที่สุด แต่ความผิดพลาดแบบนี้ก็มีขีดจำกัด อย่างเช่น มันอาจจะทำให้เกิดผลที่ร้ายแรงตามมา หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธี เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คืออย่าบุ่มบ่ามตัดสินใจอะไรตามอำเภอใจ…”

นางเล่าความคิดและวิธีของตัวเองให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ฟังอย่างละเอียด

นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับนางเมื่อต้องแต่งเข้าไปสกุลสามี แล้วต้องไปเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย

เจินเจี่ยเอ๋อร์ฟังอย่างตั้งใจ

“ที่จริงแล้ว วิธีที่ดีที่สุดก็คือดูสมุดบัญชี ดูรายได้และรายจ่ายของจวน ล้วนแต่มีบันทึกเอาไว้หมด เจ้าอยากรู้กฎเกณฑ์ของสกุลนี้ แค่ดูบัญชีก็รู้ทุกอย่าง อย่างเช่น หากรู้ว่ารายได้ของสกุลนี้มาจากที่ใด เจ้าก็จะรู้ว่าสกุลนี้ใช้จ่ายอย่างไรเช่นกัน หากรู้ว่าเงินของสกุลไปที่ไหน เจ้าก็จะรู้ว่าควรจะจ่ายเงินออกไปเช่นไร…”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็พึมพำ “เรือนนอกส่งเงินมาให้เรือนในทุกปีไม่ใช่หรือเจ้าคะ ทำไมยังต้องรู้ว่าสกุลควรใช้จ่ายเช่นไร”

สืออีเหนียงเห็นว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ตั้งใจฟังคำพูดของตัวเองนางก็ดีใจ จากนั้นก็อธิบายให้นางฟัง “อย่างเช่น หากรายได้ส่วนใหญ่ของสกุลมาจากไร่นา เจ้าก็ต้องพิจารณาว่าหากปีไหนไม่มีรายได้จะทำเช่นไร เพราะไม่มีทางที่จะมีรายได้เท่าเดิมทุกปี เจ้าต้องเก็บส่วนหนึ่งไว้ แล้วใช้ส่วนอื่นแทน”

เจินเจี่ยเอ๋อร์เข้าใจทันที “หมายความว่า เราต้องไม่ดูรายได้ในปีที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด ต้องดูแค่รายได้ที่ปกติ”

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ

สมแล้วที่เจินเจี่ยเอ๋อร์มีเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลเหวิน ปัญหาบัญชีเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ก็มองออก

นางพยักหน้า “ใช่แล้ว”

หลังจากที่ได้รับคำชมจากสืออีเหนียง เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็กล้าหาญขึ้นไม่น้อย นางพูดว่า “หากรู้ว่าเงินของสกุลไปที่ใดแล้ว ก็สามารถทำเรื่องต่างๆ ตามแบบเดิมได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

สืออีเหนียงเห็นว่านางสรุปจากเรื่องหนึ่งก็สามารถอนุมานไปถึงเรื่องอื่นๆ ได้ นางก็ยิ้มแล้วพูดให้กำลังใจ “ใช่ ใช่ ใช่” พูดต่ออีกว่า “หากมีสาวใช้คนสนิทออกเรือน เจ้าต้องให้เงินเท่าไร จะให้เงินเช่นไร เรื่องพวกนี้ล้วนแต่มีกฎเกณฑ์ หากไม่ทำตามกฎเกณฑ์ หนึ่งคือลูกน้องไม่พอใจ สองคือคนที่มาจัดการต่อไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร เรื่องพวกนี้ หากเปิดดูสมุดบัญชี ทำตามกฎเกณฑ์เดิม ก็จะไม่มีใครมาว่าอะไรเราได้”

เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าแล้วพูดว่า “หากโปรดปรานมาก ก็ควรจะใช้เงินส่วนตัวมอบให้เอง แต่ไม่ควรแหกกฎและนำเงินส่วนรวมจากบัญชีของจวนมาใช้จ่าย”

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ นางลูบหัวเจินเจี่ยเอ๋อร์เบาๆ

เจินเจี่ยเอ๋อร์ช่างมีพรสวรรค์เสียจริง!

“เจ้านับลูกคิดเป็นหรือไม่”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าซีดเซียว

สืออีเหนียงตระหนักได้ทันทีว่า เจินเจี่ยเอ๋อร์มีข้อห้ามบางอย่างเนื่องจากสถานะของตัวเอง เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับสายตาที่สกุลสวีใช้มองเหวินอี๋เหนียงอย่างแน่นอน แต่นางคิดว่าเช่นนี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี

คนเราต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง ไม่ใช่หลบหนี!

“ข้าอยากหาคนมาสอนข้านับลูกคิด เจ้าอยากเรียนด้วยกันหรือไม่” นางยิ้มแล้วเอ่ยถามเจินเจี่ยเอ๋อร์

เจินเจี่ยเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านป้าสองเคยสอนวิธีนับในใจให้ข้า บอกให้ข้าตั้งใจฝึกฝนเจ้าค่ะ!”

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ จากนั้นก็คิดว่า เช่นนั้นก็สอดคล้องกับท่าทางที่สูงส่งและสง่างามของฮูหยินสอง

นางไม่อยากให้ความคิดของคนสองคนมากระทบต่อเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ลำบากใจ นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ไม่เลว!”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดว่า “ท่านป้าสองยังบอกอีกว่า สกุลอย่างเรา สตรีทำกิจการเล็กๆ เพื่อความสนุกสนานได้ แต่ไม่ควรไปยุ่งกับกิจการใหญ่ๆ เนื่องจากเรานั้นทำกิจการได้สะดวกกว่าคนอื่นๆ อาจจะทำให้ตระกูลพ่อค้าอื่นไม่พอใจ ทำให้เกิดความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นขึ้นมา”

พูดอย่างสมเหตุสมผล

สกุลอย่างหย่งผิงโหว แค่บอกว่าอยากทำกิจการ พวกเขาก็สามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องมีรากฐานอะไรแม้กระทั่งการร่วมหุ้น แต่บนโลกใบนี้ไม่เคยมีอะไรที่ได้มาง่ายๆ อย่างเช่นการฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่นโดยที่ตนเองมิได้ลงทุนลงแรงด้วยเลย หากไปหาเงินจากคนอื่น ก็ต้องนำของที่เท่าเทียมกันไปแลก!

สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่แปลกที่ฮูหยินสองและฮูหยินห้าจะเปิดร้านน้ำหอมดอกไม้ด้วยกัน!”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหน้า “ท่านป้าสองไม่ได้เปิดร้านน้ำหอมดอกไม้กับท่านน้าหญิงห้าเจ้าค่ะ ท่านน้าหญิงห้าต่างหากที่เปิดร้านน้ำหอมดอกไม้อยู่แล้ว แต่มาขอวิธีทำจากท่านป้าสอง ท่านป้าสองบอกวิธีทำให้ท่านน้าหญิงห้า ต่อมาท่านน้าหญิงห้าบอกว่ากิจการน้ำหอมเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก แล้วจะแบ่งหุ้นสองส่วน มอบให้ท่านป้าสองหนึ่งส่วน แต่ท่านป้าสองตอบปฎิเสธเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ

คิดไม่ถึงว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะรู้เรื่องนี้ จากนั้นนางก็คิดว่า ฮูหยินสองเปรียบเสมือนอาจารย์ของนาง พวกนางคงจะอยู่ด้วยกันบ่อยๆ นางรู้เรื่องพวกนี้ก็คงไม่แปลก

เจินเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะ “เรื่องพวกนี้ท่านป้าสามเป็นคนเล่าให้ท่านฟังใช่หรือไม่เจ้าคะ”

เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้

สืออีเหนียงส่งยิ้มให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “ไม่ใช่ เมื่อก่อนข้าก็อยากทำร้านน้ำหอมดอกไม้ ภายหลังจึงรู้ว่าทั้งเยี่ยนจิงมีแค่ร้านของฮูหยินห้าสองร้าน แล้วยังได้ยินมาว่าทำร่วมกันกับฮูหยินสอง ข้าจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็พูดอย่างเขินอาย “มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านป้าสามเคยมาถามข้า ข้าบอกแล้วนางก็ไม่เชื่อ ข้านึกว่านางเป็นคนเล่าให้ท่านแม่ฟัง…แต่ว่า ข้าไม่รู้วิธีทำน้ำหอมดอกไม้จริงๆ เพราะว่าเมื่อก่อนข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้” พูดจบนางก็มองสืออีเหนียงด้วยความไม่สบายใจ

แน่นอนว่านางไม่ได้คิดอะไรแล้วนางจะไปสนใจเรื่องพวกนั้นทำไมกัน

สืออีเหนียงรีบพูด “วิธีทำน้ำหอมดอกไม้ข้าก็มี แต่ว่าข้าแค่ไม่เคยทำ ในเมื่อสกุลของเรามีร้านน้ำหอมดอกไม้สองร้านแล้ว คนสกุลเดียวกันจะแย่งกิจการสกุลเดียวกันได้อย่างไร แน่นอนว่าเราไม่ควรคิดเรื่องนี้อีกต่อไป”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็เอ่ยราวกับจะชดเชยอะไรบางอย่าง นางพูดว่า “หรือว่าให้ข้าบอกท่านป้าสองว่าให้นางบอกวิธีทำน้ำหอมดอกไม้กับท่าน วิธีทำน้ำหอมดอกไม้ของท่านป้าสองมีชื่อเสียงมาก เครื่องหอมที่โด่งดังที่สุดของวัดฉือหยวนก็มาจากท่านป้าสอง ใช้สูตรที่ปรับปรุงใหม่ ตอนนี้ขายดีมากเลยเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงไม่อยากให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปขอร้องใครเพื่อตัวเอง นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าดูข้าสิ มีเวลาทำกิจการที่ไหนกัน ก็แค่ตอนที่แต่งงาน มีคนส่งน้ำหอมดอกไม้มาสองขวด ข้าเห็นแล้วก็ชอบมันมาก จึงคิดอยากจะทำน้ำหอมเอง ยิ่งคิดดูแล้ว ในเมื่อข้าชอบ คนอื่นก็ต้องชอบเหมือนกัน จึงมีความคิดที่จะเปิดร้าน”

เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “หรือว่า รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ ข้าช่วยท่านทำน้ำหอมที่เรือน หากทำไม่ได้ ค่อยไปถามท่านป้าสองดีหรือไม่เจ้าคะ!”

สืออีเหนียงพูดอย่างคลุมเครือ “ตอนนี้ข้ายุ่งมาก คิดแล้วแต่ใช่ว่าจะได้ทำ ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที!”

เจินเจี่ยเอ๋อร์คิดดูแล้วก็เห็นด้วย จากนั้นก็ถามถึงเรื่องขึ้นปีใหม่กับสืออีเหนียง “…มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ”

ก็ดีเหมือนกัน จะได้เรียนรู้การดูแลจวนด้วยกัน!

“ได้สิ!” สืออีเหนียงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก “เรามาดูบัญชีด้วยกัน เรียนรู้เรื่องพวกนี้เอาไว้ ต่อไปเจ้าเจอกับเรื่องเช่นนี้ก็จะได้ทำเป็น”

เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดง

สืออีเหนียงปิดปากยิ้ม

มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

สืออีเหนียงตกใจ

รีบลุกขึ้นดูนาฬิกาไขลาน ยังไม่ถึงยามอู่

เหตุใดจึงกลับมาตอนนี้

นางพูดกับเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วรีบออกไปต้อนรับ

ทันทีที่เปิดม่านออกไป ก็เห็นสวีลิ่งอี๋กำลังเดินผ่านลานตรงมายังเรือนหลัก

เขาดูเหน็ดเหนื่อย แต่สีหน้ากลับนิ่งสงบเหมือนปกติ ทำให้ผู้คนคาดเดาอารมณ์ที่แท้จริงของเขาไม่ออก

“ท่านโหว!” สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับ เจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ตามนางออกมาก็ย่อเข่าตาม

สวีลิ่งอี๋เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์เขาก็ตกใจ

สืออีเหนียงรีบยิ้มแล้วอธิบาย “เจินเจี่ยเอ๋อร์โตแล้ว ข้าอยากให้นางช่วยข้าเย็บปักถักร้อย ไท่ฮูหยินจึงให้นางย้ายมาอยู่ที่เรือนของเราชั่วคราว เมื่อน้องสะใภ้ห้าคลอดแล้ว ข้าอยากให้นางย้ายไปที่เรือนในสวนดอกไม้หลังจวน เรื่องนี้ตัดสินใจเร่งด่วน จึงไม่ได้ปรึกษากับท่านโหวเจ้าค่ะ…”

นางยังพูดไม่จบ สวีลิ่งอี๋ก็โบกมือ “เรื่องพวกนี้เจ้าตัดสินใจเองเถิด” เขามองเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ลังเลราวกับว่ามีบางสิ่งจะพูด ทำท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เดินเข้าไปในเรือน

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท