ระหว่างทางที่กำลังไปหาไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงจงใจเดินอยู่ข้างๆ สวีลิ่งอี๋ เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้สึกอายเล็กน้อยจึงเดินตามหลังอยู่ไกลๆ
สืออีเหนียงตำหนิเสียงเบาว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็อยู่ อย่างไรท่านก็ควรเห็นแก่หน้านางบ้าง ชักสีหน้าใส่เหวินอี๋เหนียงเช่นนี้แล้วจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์คิดอย่างไร”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่ใหญ่ สืออีเหนียงอยากจะพูดเกลี่ยกล่อมอีกสองสามประโยค เขากลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้ารู้แล้ว!”
สืออีเหนียงผ่อนคลายลง หันหลังแล้วเดินไปหาเจินเจี่ยเอ๋อร์
“เรื่องต่างๆ ในเรือนข้าฝากให้ป้าตู้ดูแลแล้ว หากต้องการสิ่งใดก็ให้บอกกับนางได้เลย” นางอธิบายกับเจินเจี่ยเอ๋อร์อย่างละเอียด “นับจากวันนี้เป็นต้นไปเราจะต้องไปไว้อาลัยห้าวัน เมื่อครบห้าวันทุกอย่างก็เรียบร้อย”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ท่านแม่วางใจได้ ข้าจะอยู่เรือนดูแลจุนเกอเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้สืออีเหนียงวางใจได้ นางแอบยัดถุงเงินให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ “ข้างในมีเงินอยู่สิบตำลึงเงิน ไม่มากเท่าไร เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น”
เจินเจี่ยเอ๋อร์นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรีบปฏิเสธ “ข้าไม่ต้องการ ข้ามีเงินของข้าอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้ารับไปเถิด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “นี่เป็นเงินที่ข้าให้เจ้า หากเจ้าไม่ได้ขาดแคลนเงินจริงๆ ก็เก็บออมไว้เป็นเงินส่วนตัว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่ง นางไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธอีก ยิ้มขอบคุณแล้วรับเงินมา เดินเคียงอยู่ข้างๆ สืออีเหนียงตลอดทางไปหาไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเสียงกระซิบจากด้านหลัง จู่ๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นคุณชายห้าที่แต่งกายอย่างเรียบร้อยกำลังประคองตานหยางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับว่าจู่ๆ ก็รู้ความขึ้นมา สวีลิ่งอี๋ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม แววตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ส่วนสวีลิ่งควนที่จับจ้องดูสวีลิ่งอี๋มาตลอดเห็นดังนั้นก็รู้สึกว่าการที่วันนี้ตื่นเช้านั้นไม่เสียเปล่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นฮูหยินสองประคองไท่ฮูหยินออกมา คุณชายห้าก็รีบประคองภรรยาเดินออกจากประตูฉุยฮวาไปขึ้นรถม้า
ด้านนอกพึ่งจะมีแสงจากพระอาทิตย์ คนสกุลสวีก็มาถึงประตูซือซ่านแล้ว
บรรดาฮูหยินเข้าไปด้านใน ส่วนบรรดาขุนนางอยู่ด้านนอกประตู
สวีลิ่งอี๋พาคุณชายสาม คุณชายห้า ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและคนอื่นๆ แยกย้ายกันไป
ยังไม่ถึงฤกษ์ไว้อาลัย คนที่มาไว้อาลัยก็ทยอยกันมามากกว่าครึ่งแล้ว ต่างพากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบกัน
เมื่อเห็นคนของจวนสกุลสวีมาถึงก็มีคนออกมาต้อนรับทันที
สืออีเหนียงเห็นว่าหวงฮูหยินพาบรรดาสตรีสกุลหวงมาด้วย คุณนายสามสกุลหวงก็มาด้วย นางรีบเข้ามาทักทายไท่ฮูหยิน
ทั้งสองสกุลรู้จักกันดี
ทุกคนพากันคารวะซึ่งกันและกัน ซับน้ำตาที่ไหลรินให้องค์ชายห้าอยู่หลายครั้ง อีกทั้งยังมีคนทยอยเข้ามาทักทายอยู่เรื่อยๆ
ชั่วขณะนั้น สตรีสกุลสวีก็ได้ถูกผู้คนล้อมรอบ ฮูหยินสองคอยพยุงไท่ฮูหยินอยู่ตลอดเวลา ส่วนฮูหยินห้าก็มีคนคอยห้อมล้อมนาง มีเพียงฮูหยินสามที่ฝืนยิ้มแล้วเดินตามหลังไท่ฮูหยิน
คุณนายสามสกุลหวงพาสืออีเหนียงไปยืนอยู่ด้านข้าง แอบชี้ไปยังคนกลุ่มเล็กๆ ทางซ้ายมือแล้วลอบมองดูพวกนางอยู่ไม่ไกล “เจ้าเห็นหรือไม่ นั่นเป็นคนของเจี้ยนหนิงโหวกับคนสกุลโซ่วชังปั๋ว”
สืออีเหนียงมองไปเห็นคุณนายน้อยสามแซ่หยางสกุลถังที่อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยกำลังยืนมองมาทางนี้เช่นกัน เมื่อเห็นสืออีเหนียงมองมา นางก็หันหน้าไปพูดคุยกับคนข้างๆ ราวกับว่าไม่เห็นสืออีเหนียง
ไม่รู้ว่าสตรีแซ่หยางคิดอย่างไรกับตัวเองกันแน่ ต่อให้เป็นเพราะสวีลิ่งอี๋ แต่ไม่ใช่ว่าแต่เดิมสกุลหยางนั้นไม่เต็มใจมิใช่หรือ!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็มีคนเรียกนางเสียงเบาว่า “ฮูหยินสี่!”
เมื่อนางหันไปมองก็พบว่าเป็นคุณนายใหญ่สกุลหลิน
สืออีเหนียงรีบย่อเข่าคำนับ “คุณนายใหญ่สกุลหลิน”
คุณนายใหญ่สกุลหลินคำนับนางแล้วพูดกับนางว่า “ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าองค์ชายห้าจะจากไปเช่นนี้”
ข่าวที่ทางการประกาศออกมาคือการวินิจฉัยโรคผิดพลาด
สืออีเหนียงตอบรับไปกับนาง “เขารีบด่วนจากไป แม้แต่โอกาสที่จะหาหมอชาวบ้านมารักษาก็ยังไม่มี”
“ต้องจัดการกับสำนักหมอหลวงเสียแล้ว” คุณนายใหญ่สกุลหลินพยักหน้า กานฮูหยินพาสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามา ทุกคนพากันคำนับและแนะนำตัวซึ่งกันและกัน สืออีเหนียงพึ่งจะรู้ว่าสตรีนางนี้เป็นฮูหยินของพี่ชายของกานฮูหยิน เป็นพี่สะใภ้ฝั่งสกุลเดิมของนาง สามีเป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายปกครอง ขุนนางระดับสามของราชสำนัก
สืออีเหนียงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
การที่สกุลเดิมมีพี่ชายเช่นนี้คอยหนุนหลัง กานฮูหยินคงใช้ชีวิตอยู่ในสกุลกานอย่างไม่ง่ายนัก
ทุกคนพึ่งจะเอ่ยทักทายกันเสร็จก็เห็นโจวฮูหยินกับเหลียงฮูหยินเดินเข้ามา
โจวฮูหยินพูดมาแต่ไกลว่า “ข้าก็คิดอยู่ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นพวกเจ้าเลย!”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปคำนับโจวฮูหยินและเหลียงฮูหยิน โจวฮูหยินประคองมือสืออีเหนียงไว้แล้วไปพบไท่ฮูหยินกับนาง
เมื่อฮูหยินสองเห็นโจวฮูหยินก็พยักหน้าทักทายเล็กน้อย
โจวฮูหยินก็พยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับ นางสนิทสนมกับทุกคน แต่กลับเย็นชากับฮูหยินสองเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงมองอย่างแปลกใจ
โจวฮูหยินก็ไม่ได้ปิดบังนาง พูดเสียงเบาว่า “นางเห็นพวกเราเป็นเพียงแม่ไก่ไร้ความรู้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ข้าเห็นนางแล้วกลับรู้สึกว่าขาของนางยาวเกินไปและดูประหลาด ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบากกันเล่า”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินว่ามีคนไม่ชอบฮูหยินสอง หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์เช่นนี้นางคงหัวเราะไปแล้ว
ไท่ฮูหยินกับเหลียงฮูหยินพูดคุยกันเสร็จพอดี หันมาถามโจวฮูหยินว่า “แล้วแม่สามีเจ้าล่ะ”
โจวฮูหยินรีบพูดอย่างนอบน้อม “กำลังพูดคุยอยู่กับฮองเฮาที่พระตำหนักคุนหนิงเจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางพูดจบก็มีขันทีวิ่งเข้ามาหา “ไท่ฮูหยิน ฮองเฮาทรงมีรับสั่งให้เชิญท่านและบรรดาฮูหยิน ไปพูดคุยที่พระตำหนักคุนหนิง”
คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็มองด้วยสายตาอิจฉา สตรีสกุลสวีกลายเป็นจุดสนใจในทันที
สืออีเหนียงถอนหายใจเล็กน้อย
ตราบใดที่เป็นสตรี ในสถานการณ์ที่ได้รับเกียรติเช่นนี้จะทำให้รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย ไม่แปลกที่ใครๆ ต่างก็พากันแสวงหาตำแหน่งที่มีอำนาจ
ฮูหยินสองเอ่ยเรียกสืออีเหนียงเบาๆ “เจ้าประคองไท่ฮูหยินเดินนำหน้า”
สืออีเหนียงคือฮูหยินของหย่งผิงโหว!
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วให้สืออีเหนียงประคองไปที่พระตำหนักคุนหนิงแทน
พระตำหนักคุนหนิงเต็มไปด้วยสีขาวโพลน นางกำนัลและขันทีสวมชุดไว้อาลัยยืนอยู่ข้างนอก คนที่มาต้อนรับพวกนางยังคงเป็นเหลยกงกง
ไม่ได้พบกันแค่วันเดียว ฮองเฮาดูเหมือนจะซูบผอมลงไม่น้อย ทันทีที่ได้เห็นคนสกุลสวีขอบตาของนางก็พลันแดงก่ำ “ไท่ฮูหยิน” สายตาจับจ้องไปที่ฮูหยินสอง “อี๋เจิน พวกเราไม่ได้เจอกันนานยิ่งนัก”
ฮูหยินสองน้ำตาไหลพรากทันที “ฮองเฮาเพคะ”
ทั้งสองหลั่งน้ำตาออกมา
ข้างๆ มีคนพูดเกลี่ยกล่อมว่า “ฮองเฮาโปรดอย่าเศร้าพระทัยไปเลย มิฉะนั้น ไท่ฮูหยินจะเสียใจอีกนะเพคะ”
สืออีเหนียงมองไปตามเสียง
คนที่พูดเป็นสตรีอายุพอๆ กันกับไท่ฮูหยิน รูปร่างสูงปานกลาง ขาวอวบอั๋น คิ้วเรียวงาม ดูมีสง่าเป็นอย่างมาก
เมื่อฮูหยินสองได้ยินเช่นนั้นก็รีบย่อเข่ากล่าวขออภัย “อี๋เจินเสียมารยาทแล้ว”
ฮองเฮารีบพูดขึ้นมาว่า “เจ้ากับข้าไม่ได้เจอกันนานแล้ว” เหมือนกลัวว่าจะมีคนตำหนิฮูหยินสอง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์เพียงแค่พี่สะใภ้น้องสะใภ้
ไท่ฮูหยินรีบพาบรรดาสตรีสกุลสวีเข้าไปคารวะฮองเฮา ฮองเฮาให้คนพาไท่ฮูหยินไปนั่ง ไท่ฮูหยินกล่าวขอบคุณแล้วพาบรรดาสตรีสกุลสวีไปคารวะองค์หญิง
องค์หญิงพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการคำนับกลับ
นางกำนัลยกเก้าอี้จิ่นอู้เข้ามา ไท่ฮูหยินปฏิเสธอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องจำใจนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ ฮูหยินสอง ฮูหยินสาม สืออีเหนียง และฮูหยินห้ายืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยิน ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็มีนางกำนัลเข้ามารายงานว่า “ไทเฮาเสด็จมาเพคะ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นไปตอนรับ องค์หญิง ไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ก็เดินตามมาติดๆ
หลังจากคุกเข่าคำนับอยู่สักพักหนึ่ง ทุกคนก็แยกย้ายกันนั่งลง
มีขันทีมารายงานว่า “ได้ฤกษ์ไว้อาลัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ฮูหยินพาสตรีสกุลสวีกล่าวลา
เมื่อฮองเฮาเห็นดังนั้นกำลังจะเอ่ยปากพูด ไทเฮากลับทรงพูดขัดขึ้นมาว่า “ไท่ฮูหยินก็อายุมากแล้ว แล้วยังเป็นพระอัยยิกาขององค์ชายห้า แม้ว่าราชวงศ์และข้าราชบริพารจะแตกต่างกัน แต่ก็ต้องมีลำดับผู้อาวุโส ไท่ฮูหยินไปนั่งที่พระตำหนักฉือหนิงเป็นเพื่อนข้าเถิด! หิมะตกลมแรงเช่นนี้ หากหนาวเข้าไปถึงกระดูกจะแย่เอาได้” พูดพลางเดินเข้าไปจับมือไท่ฮูหยิน “เจ้าและข้าล้วนอายุมากแล้ว ไม่อาจทนรับความทรมานเช่นนี้ได้” ท่าทางสนิทสนมกับไท่ฮูหยินเป็นอย่างมาก จากนั้นก็กำชับองค์หญิง “เจ้าพาตานหยางกับลูกสะใภ้ของนางไปที่ประตูซือซ่านเถิด”
องค์หญิงตอบรับอย่างนอบน้อมว่า “เพคะ”
ไม่เปิดโอกาสให้คนสกุลสวีและฮองเฮาได้สนทนากัน
สืออีเหนียงรีบชำเลืองมองฮูหยินสอง
กลับเห็นว่านางสงบนิ่งดุจสายน้ำ ดูไม่ออกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย
นางอดที่จะชื่นชมในใจไม่ได้
ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดสวีลิ่งอี๋ถึงมอบเรื่องนี้ให้ฮูหยินสอง ด้วยความสงบนิ่งและใจเย็นของนางก็เพียงพอที่จะทำให้คนใกล้ตัวสงบตาม ต้องรู้ว่าตอนนี้สกุลสวีเหมือนมดในกระทะร้อน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรีบติดต่อฮองเฮาและโน้มน้าวนาง หากเวลาผ่านไปนานจะต้องมีคนพูดอะไรบางอย่างต่อหน้าฮองเฮาอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง เรื่องใดจะเกิดขึ้นก็ไม่มีใครกล้าคาดคิด
ไท่ฮูหยินปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมว่า “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ”
ไทเฮาสีหน้าซีดเล็กน้อย “ตอนนี้ไท่ฮูหยินไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่สนิทกับข้าเหมือนเก่าแล้ว”
เมื่อพูดเช่นนี้แล้ว หากไท่ฮูหยินยังปฏิเสธอีกก็จะทำให้ไทเฮาเสียหน้า
“ได้รับความเมตตาจากไทเฮา หม่อมฉันซาบซึ้งใจยิ่งนักเพคะ” ไท่ฮูหยินมีท่าทางอ่อนโยน “จะว่าไปแล้วหลายปีมานี้หม่อมฉันก็คิดถึงไทเฮามาโดยตลอด เพียงแต่ในจวนมีเรื่องวุ่นวายมากมายจึงไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ กลัวว่าเมื่อมาหาท่านก็จะมาบ่นให้ท่านฟัง ทำให้ท่านรู้สึกไม่สบายใจ หม่อมฉันจึงไปพระตำหนักฉือหนิงน้อยลง”
“เป็นเช่นนี้!” เมื่อไทเฮาได้ยินดังนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่รู้ว่าท่านไม่สบายใจ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องยิ่งมาระบายให้กันฟัง!” หันไปเร่งองค์หญิง “พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด!”
องค์หญิงไม่กล้ารอช้า รีบพาบรรดาสตรีสกุลสวีออกจากพระตำหนักคุนหนิงไปที่ประตูซือซ่าน
เสียงร่ำไห้ที่ประตูซือซ่านดังสะเทือนฟ้า ทำเอาสืออีเหนียงตกใจ เมื่อมองอย่างละเอียดก็พบว่าสตรีแต่ละคนล้วนเอาผ้าเช็ดหน้ามาปิดหน้า มองไม่เห็นน้ำตา
เมื่อเห็นสืออีเหนียงและคนอื่นๆ เดินเข้ามา พวกนางก็เงยหน้าลอบมองผ่านผ้าเช็ดหน้า
ฮูหยินสองรีบดึงแขนเสื้อสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “รีบร้องไห้เร็วเข้า” พูดเสร็จก็คุกเข่าลงตรงที่ว่างที่เหลือไว้ให้พวกนางแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงจริงๆ
นางคิดว่าฮูหยินสองจะสงวนท่าที คิดไม่ถึงว่านางจะร้องไห้เสียใจยิ่งกว่าคนอื่นๆ…แต่ก็ยังรักษาความสง่างามทำให้คนมองไม่รู้สึกว่าดูไม่ดี
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรแล้ว นางรีบคุกเข่าลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วส่งเสียงร้องไห้ตาม
แต่ในใจกลับเป็นห่วงฮูหยินห้า
ไม่รู้ว่านางจะเป็นอะไรหรือไม่
ยังดีที่นางยังไม่ทันได้คุกเข่าร้องไห้ก็มีขันทีมาถ่ายทอดคำสั่งของฮองเฮา ให้ฮูหยินห้าไปพักผ่อนที่พระตำหนักด้านข้าง
มองด้านหลังของฮูหยินห้า สืออีเหนียงก็รู้สึกวางใจ แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นใบหน้าของฮูหยินสองโดยไม่ได้ตั้งใจ และพบว่านางกำลังถอนหายใจอย่างโล่งอก
สืออีเหนียงครุ่นคิด
******
ทุกคนร้องคร่ำครวญกันมามากกว่าครึ่งชั่วยาม เมื่อครบกำหนดก็ค่อยๆ ทยอยไปพักผ่อนโดยมีขันทีพาทุกคนไปพักผ่อนที่พระตำหนักข้างๆ
องค์หญิงและเหล่าบรรดาเชื้อพระวงศ์มีขันทีเล็กพาไปพักผ่อนที่พระตำหนักหลัง ส่วนคนอื่นๆ อยู่ที่พระตำหนักด้านหน้า
ฮูหยินห้านั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่พระตำหนักด้านหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือก
ฮูหยินสองรีบเดินเข้าไปหา “ตานหยาง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”