ร้อยรักปักดวงใจ – ตอนที่ 166 การเปลี่ยนแปลง(ต้น)

ตอนที่ 166 การเปลี่ยนแปลง(ต้น)

ฮูหยินห้าส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

“ถึงอย่างไรก็ต้องระวังตัวดัวย” ฮูหยินสองพูดต่อว่า “วันนี้ต้องอดทนไปก่อน เดี๋ยวจะหาวิธีขอพระราชโองการพิเศษเพื่อให้เจ้าได้พักผ่อนอยู่ที่เรือน” แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะดูเรียบเฉยแต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกสงบและเชื่อฟัง

ที่กล้าพูดเช่นนี้เพราะว่าอีกประเดี๋ยวจะได้พบฮองเฮาอย่างนั้นหรือ

สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนาง

แต่ฮูหยินห้ากลับไม่สงสัยสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย นางจับมือฮูหยินสองด้วยสีหน้าซาบซึ้งใจ “ขอบคุณพี่สะใภ้สองเจ้าค่ะ”

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” ฮูหยินสองตบมือนางเบาๆ “การดูแลครรภ์เป็นเรื่องใหญ่”

ขณะที่กำลังพูดคุย คนที่มาไว้อาลัยก็มากันเกือบครบแล้ว แต่ส่วนใหญ่ดูท่าทางเอื่อยเฉื่อย บ้างก็นั่งลงพักผ่อน บ้างก็รวมตัวกระซิบกระซาบกัน

เมื่อไท่ฮูหยินไม่ได้อยู่ด้วย หวงฮูหยิน หลินฮูหยินและคนอื่นๆ ก็นับว่าเป็นผู้อาวุโส พวกนางมีความเคร่งขรึมในฐานะผู้อาวุโส จึงเพียงแค่พยักหน้าให้สืออีเหนียงและคนอื่นๆ ส่วนคุณนายสามสกุลหวงและคุณนายใหญ่สกุลหลินล้วนยังเยาว์วัย พวกเขาจึงจำเป็นต้องอยู่รับใช้ผู้อาวุโสของตัวเอง ไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาพูดคุยกับพวกนาง

ทันใดนั้น บรรดาสตรีสกุลสวีก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว

เมื่อฮูหยินสามเห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียง “เหอะ” อยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา แต่ฮูหยินสองกลับกระซิบบอกสืออีเหนียงว่า “เจ้าจับตามองคนของเจี้ยนหนิงโหวกับคนจวนโซ่วชังปั๋ว คิดหาวิธีดึงความสนใจของพวกนาง ข้าจะหลบออกไปสักประเดี๋ยวแล้วจะกลับมา!”

มอบหมายหน้าที่ให้นางโดยไม่ลังเล แน่นอนว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับเรื่องที่ตัวเองสามารถเข้าร่วมประชุมระดับสูงกับคนในสกุลสวีเมื่อคืนนี้ และฮูหยินสองคงต้องการยืนยันความสามารถในการมองคนของสวีลิ่งอี๋อย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ท่าทีของฮูหยินสองคงไม่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ นี่ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกว่าฮูหยินสองเชื่อใจสวีลิ่งอี๋เป็นพิเศษ

นางเองก็เชื่อในสายตาของสวีลิ่งอี๋เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงพูดตรงๆ ว่า “ข้าว่าเช่นนี้เสี่ยงเกินไป ไม่สู้ฉวยโอกาสนี้สลบไปเลยเสียดีกว่า”

เมื่อฮูหยินสองได้ฟังก็ตกตะลึงไปชั่วครู่

สายตาของทั้งสองจับจ้องไปที่ฮูหยินห้าพร้อมกัน

ฮูหยินห้าถูกฮูหยินสองและสืออีเหนียงจับจ้องจนรู้สึกขนลุก นางถามด้วยความสงสัยว่า “มีอะไรหรือ”

ฮูหยินสองหันไปมองสืออีเหนียง “เป็นความคิดที่ดี!” เผยให้เห็นความชื่นชมผ่านทางแววตาของนาง

แทนที่ฮูหยินสองจะอาศัยโอกาสนี้แกล้งเป็นลม ไม่สู้ปล่อยให้ฮูหยินห้าเป็นลมไปเสียดีกว่า ประการแรกนางเป็นน้องสะใภ้ของฮองเฮา เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮองเฮาต้องเสด็จมาเยี่ยมเยียนด้วยพระองค์เองหรือส่งนางกำนัลระดับสูงมาดูแลอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะสามารถฉวยโอกาสพูดคุยกับฮองเฮาได้ตามลำพัง ประการที่สองเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็จะมีเหตุผลที่จะขอพระราชโองการพิเศษให้ฮูหยินห้าไม่ต้องมาไว้อาลัย

ความคิดถือว่าดี แต่สืออีเหนียงกลับไม่คิดจะบอกฮูหยินห้าด้วยตัวเอง นางคิดถึงตอนที่ฮองเฮาเรียกฮูหยินสองว่าอี๋เจินทั้งน้ำตา ไม่ว่าจะด้วยประสบการณ์หรือความสัมพันธ์ ตอนนี้ตัวเองยังถือว่าห่างไกลกับฮูหยินสองอยู่มาก

สืออีเหนียงก้มหน้าลง ทำท่าทางไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

เมื่อฮูหยินสองเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว

คนสกุลหลัวก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น มีเล่ห์กลร้อยมายา เวลานางขอให้ทำอะไรบางอย่างก็จะหลบหลีกเพราะกลัวว่าปัญหาจะมาถึงตัว

ดวงตาของนางฉายแววเย้ยหยัน ก้มหน้ากระซิบกับฮูหยินห้าอยู่สักพักใหญ่

ฮูหยินห้าเพียงแค่แสดงสีหน้าตกใจในตอนแรก จากนั้นนางก็พูดกับฮูหยินสองด้วยสีหน้าที่สงบลง ไม่นาน นางก็เอามือกุมท้องแล้วร้องคร่ำครวญ

ฮูหยินสองที่อยู่ด้านข้างรีบพูดขึ้นว่า “ตานหยาง ตานหยาง เจ้าเป็นอะไรไป”

สืออีเหนียงเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย

ฮูหยินห้านั้นความสามารถโดดเด่นในหมู่สตรีผู้งดงามจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงเสี่ยนจู่ เป็นตำแหน่งที่มิอาจดูแคลนได้

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงเดินไปหาฮูหยินห้า “น้องสะใภ้ห้า เจ้าเป็นอะไรไป” น้ำเสียงดูเป็นกังวลอย่างมาก

ฮูหยินสามก็เข้ามาห้อมล้อมนางด้วยความกังวล

หวงฮูหยินและคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็รีบเดินเข้ามา ได้ยินฮูหยินห้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า “ข้า ข้า ข้าปวดท้อง”

“รีบไปตามหมอหลวง” สีหน้าของหวงฮูหยินเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก นางจับมือของตานหยางเพื่อปลอบใจ “อย่ากลัวไปเลย”

ในห้องเสียงดังเอะอะโวยวาย

ต่างคนต่างพากันพูดด้วยความเป็นห่วง

แม้แต่มหาดเล็กที่คอยรับใช้อยู่ในพระตำหนักก็ลนลานเช่นกัน บางคนก็ไปรายงานหัวหน้าขันที บางคนก็ไปรายงานฝ่ายกรมพิธีการ บางคนก็วิ่งไปที่พระตำหนักคุนหนิง

คนในพระตำหนักหลังก็ได้ยินข่าวแล้วเช่นกัน องค์หญิงและคนอื่นๆ ก็รีบมาหา โจวฮูหยินที่รับใช้อยู่ข้างกายองค์หญิงก็เล่นใหญ่เกินจริงตามนิสัยของนาง นางโพล่งเข้าหาฮูหยินห้าแล้วตะโกนเสียงดังว่า “ตานหยาง ตานหยาง เจ้าอย่าทำให้ข้าตกใจสิ!”

ตานหยางรีบคว้ามือของโจวฮูหยินมาจับทันที “พี่หญิงโจว ข้ากลัว” น้ำตาไหลลงมาเหมือนหยาดฝน

สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้

ต่อให้มีประสบการณ์มาสองชาติแต่เมื่อเทียบกับคนพวกนี้แล้ว ตัวเองยังด้อยกว่าอยู่มาก…

ท่ามกลางความโกลาหล เหล่าขันทีกลุ่มหนึ่งก็วิ่งเข้ามาตามหลังขันทีที่สวมเครื่องแบบระดับหก

“ฮูหยินท่านใดไม่สบายหรือขอรับ” เขามีใบหน้าที่งดงามและน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“ตานหยางเสี่ยนจู่” ไม่รอให้คนสกุลสวีได้เอ่ยปาก โจวฮูหยินก็เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของขันทีเล็กก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบพูดขึ้นมาว่า “เสี่ยนจู่อดทนไว้ก่อน หมอหลวงจะมาถึงในไม่ช้าขอรับ” จากนั้นก็หันไปกำชับขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ “ไปเร่งหมอหลวงเร็วเข้า!”

ขันทีน้อยรับคำแล้วรีบวิ่งออกไป

โจวฮูหยินประคองฮูหยินห้าแล้วตะโกนว่า “เร็วเข้า รีบหาเตียงเตี้ยให้นางนอน”

พึ่งจะพูดจบ เหลยกงกงก็เดินเข้ามาพร้อมกับขันทีกลุ่มหนึ่งที่เดินตามหลังมาพร้อมแบกเกี้ยวเปล่ามาด้วย

“ฮองเฮาทรงมีรับสั่งว่าให้ตานหยางเสี่ยนจู่ไปพักที่พระตำหนักหย่งโซ่วชั่วคราว”

ฮูหยินสองรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าเชี่ยวชาญด้านวิชาแพทย์เล็กน้อย ข้าจะไปกับนาง”

เหลยกงกงรีบพูดขึ้นทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “รบกวนฮูหยินสองแล้ว”

เหล่าขันทียกเกี้ยวไปตรงหน้าฮูหยินห้า ฮูหยินสองและโจวฮูหยินประคองนางขึ้นเกี้ยว

ฮูหยินห้าฉลาดกว่าที่ฮูหยินสองและสืออีเหนียงคิดไว้ นางกุมมือโจวฮูหยินไว้ไม่ยอมปล่อย “พี่หญิงโจว…” ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยน้ำตามองไปที่นาง

โจวฮูหยินอดที่จะหันไปมององค์หญิงไม่ได้

องค์หญิงไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อย

โจวฮูหยินรีบพูดทันทีว่า “กงกง ข้า…” ไม่รอให้นางพูดจบเหลยกงกงก็พูดอย่างร้อนรนว่า “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเลย ฮองเฮาและหมอหลวงได้ไปที่พระตำหนักหย่งโซ่วแล้ว”

สืออีเหนียงถอนหายใจยาว

สำเร็จแล้ว!

ขณะที่กำลังคิดในใจ เกี้ยวก็ถูกยกขึ้น

นางรีบเข้าไปกำชับว่า “น้องสะใภ้ห้าระวังตัวด้วย”

ฮูหยินห้าพยักหน้า มีฮูหยินสองและโจวฮูหยินประกบซ้ายขวาไปส่งที่พระตำหนักหย่งโซ่ว

ผู้คนในห้องเริ่มพูดคุยกัน พระตำหนักหลวงพลันคึกคักราวกับตลาดสด

สืออีเหนียงเห็นว่าองค์หญิงมองมาที่นางด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็เสด็จกลับพระตำหนักหลังพร้อมกับองค์หญิงองค์อื่นๆ และเหล่าท่านหญิง

คนที่สามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้แต่ละคนล้วนเป็นคนฉลาด!

สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน

ฮูหยินสามกระซิบอยู่ข้างๆ “จะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับองค์ชายห้า…” ท่าทางราวกับไม่อยากจะเชื่อ

สืออีเหนียงไม่อยากพูดอะไรกับนางจึงตอบไปอย่างคลุมเครือ ก่อนที่จะหันไปพูดคุยกับคุณนายสามสกุลหวง

******

หลังจากพิธีไว้อาลัยในช่วงกลางวันผ่านไป ฮูหยินห้า ฮูหยินสองและโจวฮูหยินก็กลับมาที่พระตำหนักหลวง

เมื่อเดินเข้ามาโจวฮูหยินก็พูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่ต้องตกใจ นางแค่กินเยอะจนปวดท้อง”

ทุกคนหันไปมองฮูหยินห้า หวงฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงไม่รู้จักความพอดีเอาเสียเลย”

ฮูหยินห้าสีหน้าซีดเผือก “ข้ากลัวว่าจะได้ทานอาหารเที่ยงช้าแล้วลูกในท้องจะหิว ตอนเช้าจึงกินเยอะไปหน่อย ใครจะไปรู้…”

ใบหน้าของทุกคนเผยให้เห็นรอยยิ้ม

ฮูหยินสองย่อเข่าคำนับบรรดาฮูหยินที่อาวุโสกว่า “ทำให้ทุกท่านต้องเป็นห่วงเสียแล้ว”

บรรดาฮูหยินที่เป็นผู้อาวุโสมองฮูหยินสองแล้วยิ้มด้วยความเมตตา “เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย”

ฮูหยินสองรีบพูดขึ้นมาว่า “ยังดีที่ผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่ที่นี่ มิฉะนั้น พวกเราคงพากันลนลานจนทำอะไรไม่ถูก”

สิ่งที่ผู้อาวุโสมีมากนั้นก็คือประสบการณ์

คำพูดของฮูหยินสองทำให้ทุกคนคันปาก บรรดาฮูหยินผู้อาวุโสหลายคนอดที่จะพูดถึงการเลี้ยงดูบุตรของตัวเองไม่ได้ บรรยากาศเป็นไปอย่างราบรื่น

ช่างฉลาดเสียจริง!

สืออีเหนียงหุบยิ้ม สังเกตทุกการเคลื่อนไหวของฮูหยินสอง พยายามคิดทบทวนเจตนารมณ์ของนางอย่างละเอียด

******

ดวงอาทิตย์เฉียงไปทางทิศตะวันตก เฮ่อกงกงนำราชโองการของฮ่องเต้มา อนุญาตให้ฮูหยินห้าพักผ่อนอยู่ที่พระตำหนักหลังระหว่างการไว้อาลัย กล่าวคือตานหยางยังต้องเข้าวังทุกวัน คนอื่นต้องคุกเข่าไว้อาลัยที่ประตูซือซ่านแต่นางสามารถพักผ่อนอยู่ที่พระตำหนักหลวงได้

ในเวลานี้ถึงตาฮูหยินสองที่ต้องแสดงท่าทางว่าตัวเองจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้

ตนต่างหากที่เป็นฮูหยินของหย่งผิงโหวอย่างเป็นทางการ

สืออีเหนียงยิ้มเล็กน้อย ช่วยฮูหยินสามพยุงฮูหยินห้ารับราชโองการ

มีคนมาแสดงความยินดีกับฮูหยินห้าด้วยความอิจฉา บางคนก็พูดอย่างมีเลศนัยว่า “เป็นเพียงแค่เรือนนอกขององค์ชายห้ามิใช่หรือ จะเทียบกับฮูหยินของขุนนางหลวงอย่างพวกเราได้อย่างไร”

ทุกคนหันไปมองตามเสียง เสียงนั้นดังมาจากกลุ่มคนในจวนเจี้ยนหนิงโหวและฮูหยินในจวนของโซ่วชังปั๋ว

ผู้คนในพระตำหนักหลวงต่างมีท่าทีแตกต่างกันออกไป แต่ทุกคนล้วนทำท่าทางราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด

เมื่อฮูหยินสามเห็นดังนั้นก็หันไปกระซิบกับสืออีเหนียงอย่างอดไม่ได้ “คนพวกนี้ก็เป็นแค่เศษหญ้าบนกำแพงเท่านั้นแหละ”

เมื่อคนหนึ่งคนเป็นตัวแทนของคนในสกุล เศษหญ้าบนกำแพงมักจะอยู่ได้นานกว่าหนาม

“ช่างเถิด จะไปถือสาคนพวกนั้นทำไม” สืออีเหนียงเกลี่ยกล่อมนาง “ที่สำคัญก็คือน้องสะใภ้ห้าไม่ต้องไปคุกเข่าที่ประตูซือซ่านแล้ว”

ฮูหยินสามพยักหน้า

มีขันทีมาเชิญพวกนางไปไว้อาลัย

ทุกคนไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากฮูหยินห้าแล้วคนอื่นๆ ก็คุกเข่าลงบนที่ของตนแล้วเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ

เมื่อการไว้อาลัยในวันนี้เสร็จสิ้น ขันทีของพระตำหนักฉือหนิงก็มาส่งไท่ฮูหยิน

ฮูหยินสอง ฮูหยินสามและสืออีเหนียงรีบเดินไปรับนาง

ไท่ฮูหยินไม่เห็นฮูหยินห้า สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ตานหยางเล่า”

มีคนข้างๆ พูดตอบขึ้นมาว่า “ฮูหยินห้าของพวกเจ้าไม่ต้องไว้อาลัยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ที่พระตำหนักหลวง”

ฮูหยินสองบอกไท่ฮูหยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ “เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้” เมื่อหันไปมองฮูหยินสองก็พบว่านางกำลังขยิบตา

ฮูหยินสองบอกว่า “นั้นน่ะสิ อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่ฮองเฮาเองเมื่อได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ”

นางบอกไท่ฮูหยินอย่างอ้อมค้อมเกี่ยวกับเรื่องที่นางได้ไปพบฮองเฮา

“เช่นนี้ก็ต้องขอบคุณโจวฮูหยิน” ไท่ฮูหยินแววตาเป็นประกาย พยักหน้าให้ฮูหยินสองเล็กน้อย เพื่อบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว “โชคดีที่นางไปพระตำหนักหย่งโซ่วเป็นเพื่อนพวกเจ้า” จากนั้นก็ไปที่พระตำหนักหลังเพื่อขอบคุณนางด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าโจวฮูหยินได้กลับจวนไปพร้อมกับองค์หญิงแล้ว ไท่ฮูหยินจึงได้ไปขอบคุณหวงฮูหยิน หวงฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ายังจะเกรงใจข้าอยู่อีกหรือ” ทั้งสองพูดคุยกันพลางเดินออกจากประตูซือซ่านไปด้วยกัน

สวีลิ่งอี๋พาคุณชายสามและคุณชายห้ามารออยู่ด้านนอกประตู เมื่อเห็นไท่ฮูหยินเดินมาก็เข้าไปคำนับ คุณชายห้าถามฮูหยินห้าว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

หวงฮูหยินเล่าเรื่องราชโองการให้สามพี่น้องสกุลสวีฟัง “พรุ่งนี้จะต้องไปขอบพระทัยฝ่าบาท”

คุณชายห้ารีบพยักหน้า “แน่นอน แน่นอนอยู่แล้วขอรับ”

ทั้งสองสกุลเอ่ยลากันไม่กี่คำ จากนั้นต่างคนก็ต่างนั่งรถออกจากวัง

ร้อยรักปักดวงใจ

ร้อยรักปักดวงใจ

Status: Ongoing

เมื่อจวนสกุลหลัว มีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุภรรยาอีกหกคน จึงตามมาด้วยพี่น้องต่างมารดามากมาย

หลัวหยวนเหนียง บุตรีคนโตจากนายหญิงใหญ่ ได้แต่งเป็นภรรยาเอกของ สวีลิ่งอี๋ ที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงหย่งผิงโหว แม่ทัพใหญ่

ทว่า ช่างโชคร้ายที่หลัวหยวนเหนียงล้มป่วนหนักและรู้ดีว่าใกล้ถึงวาระสุดท้าย นางจึงวางแผนการใหญ่กับมารดา

นั่นคือ การเลือกหนึ่งในหญิงสาวพี่น้องสกุลหลัวที่ยังไม่ได้ออกเรือนมาคอยดูแล จุนเกอ บุตรชายสุดที่รักเพียงคนเดียว และ...

คอยรักษาอำนาจของสกุลหลัวไว้ในฐานะภรรยาเอก โดยการแต่งงานกับหย่งผิงโหวเพื่อเป็นภรรยาตัวแทน!

สุดท้าย ผู้ถูกเลือกนั้นกลับกลายเป็นบุตรีของอนุภรรยา คุณหนูสิบเอ็ดผู้รักความสงบอย่าง สืออีเหนียง

แม้ไม่อาจหนีพ้นชะตากรรมที่มีผู้กำหนดมาให้ มีแต่ต้องเผชิญกับความวุ่นวายตรงหน้าต่อไป

ทักษะการปักผ้า ไหวพริบที่ติดตัวมา และเสน่ห์สุขุมดั่งน้ำนิ่ง อาจนำไปสู่กระแสน้ำพัดพาเหนือใครจะคาดเดา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท