เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมพยักหน้า เอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ ช่วงเวลานี้ของทุกๆ ปีในเมืองมักจะเข้มงวดอยู่เสมอ แม่นางมั่วเดินทางเพียงลำพังต้องระวังตัวสักหน่อย เดี๋ยวข้าเรียกเสี่ยวเอ้อร์[1]พาเจ้าไปส่งที่ห้องพัก” หนานกงมั่วโบกมือ “ข้าไปเองก็ได้ ท่านตามสบายเถิด ห้องเดิมใช่หรือไม่”
มองตามหนานกงมั่วเดินขึ้นชั้นบนไป ลูกค้าหลายคนพุ่งเข้ามาถามไถ่กับเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมทันที แม้เมืองตานหยางจะมีชื่อเสียงเรื่องหญิงงาม ทว่าความงามที่มีรูปลักษณ์และบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้น้อยมากจะได้พบเห็น แน่นอนว่าเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมไม่เปิดเผยข้อมูลของลูกค้าง่ายๆ ทำเพียงบอกปัดไปสองสามประโยคเท่านั้น ทำให้บรรดาลูกค้าต่างพากันผิดหวัง ได้แต่มองไปยังชั้นสองที่ร่างหญิงสาวผู้นั้นเดินหายลับไป เห็นท่าทางเช่นนั้นเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมจึงส่ายหน้าอยู่ในใจ หากคนพวกนี้ยั่วยุแม่นางมั่ว เช่นนั้นคงหาเรื่องลำบากให้ตนเองแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงเข็มเงินชั้นยอดของแม่นางมั่ว แค่นึกถึงคนสองท่านนั้น…ก็ต้องหนาวสั่นแล้ว เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมส่ายหัวแล้วกลับไปทำงานของตนเองต่อ
ชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม ทั้งสองสวมเพียงอาภรณ์ธรรมดาที่ดูดาษดื่น นั่งหันหลังให้ผู้คนในตำแหน่งที่ไม่สะดุดตา เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตได้ ยามมองผ่านๆ นั้นเป็นเหมือนแขกที่แวะเข้ามาพักทั่วไป รอจนกระทั่งร่างบางของหนานกงมั่วหายลับไป ชายหนึ่งในนั้นจึงเอ่ยเสียงเบาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “นั่นคือบุตรีของหนานกงไหวหรือ ดวงของพวกเรานับว่าไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
“เกี่ยวอันใดกับดวงชะตาหรือ” ชายอีกคนก้มมองถ้วยชาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าเย็นชางดงามนั้นราวกับถูกแกะสลักออกมา หล่อเหลา งดงาม ทว่าเยือกเย็น
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้าถอนหายใจ “นี่ไม่นับว่าโชคดีหรือ พวกเรายังไม่ไปตามหา คนก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าเราเช่นนี้แล้ว”
“เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าไม่ตามหา”
“เมื่อใดกัน” ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขามิได้ร่วมเดินทางมาด้วยกันหรอกหรือ ไปตามหาใครตั้งแต่เมื่อใดกัน ไยเขาจึงไม่รู้เรื่อง หรือว่า…ชายในอาภรณ์สีฟ้ามองชายใบหน้าเรียบนิ่งในอาภรณ์สีฟ้าครามด้วยแววตาประหลาดใจ “เจ้าคงไม่ได้ไปสอดแนมห้องแม่นางยามค่ำคืนมาใช่หรือไม่ จวินมั่ว ข้าว่าเจ้า…เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ เจ้าต้องมีความเป็นสุภาพบุรุษ อาจารย์สอนพวกเรามา…”
“หุบปากของเจ้าซะ” ชายอาภรณ์สีฟ้าครามเอ่ยขัดถ้อยคำยืดยาวไม่จบไม่สิ้นของอีกฝ่าย
ชายในอาภรณ์สีฟ้ากะพริบตาปริบ หุบปากฉับลงทันใด ก็ได้ เขารู้ดีว่าเว่ยจวินมั่วมิใช่คนเช่นนั้น “แต่เจ้าไม่ยอมรับไม่ได้ว่าดวงชะตาของเจ้านั้นไม่เลวเลย เมื่อเทียบกับหญิงที่อยู่จินหลิงผู้นั้น แม่นางหนานกงผู้นี้ดีกว่ามากทีเดียว เพียงแต่…บุตรีของตระกูลหนานกงมีนามว่าหนานกงชิงมิใช่หรือ เหตุใดจึงเรียกแม่นางมั่วกันเล่า”
“นางชื่อหนานกงมั่ว จื้ออู๋สยา” ชายอาภรณ์สีฟ้าครามเอ่ย
“ผิดคนหรือ” เมื่อเห็นสายตาขวางของอีกคนที่ส่งมา ชายอาภรณ์สีฟ้าจึงรีบเปลี่ยนวาจา “ดูเหมือนความสัมพันธ์ของคุณหนูใหญ่หนานกงกับหนานกงไหวจะแย่กว่าที่เคยได้ยินมาแฮะ” กระทั่งเรื่องใหญ่อย่างการเปลี่ยนชื่อ หนานกงไหวก็ยังไม่รู้ เช่นนี้ก็ดี ต่อไปแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะได้ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับจวนฉู่กั๋วกงให้มากความ
เมืองเล็กๆ อย่างจินหลิง ข่าวใดจะปิดบังเอาไว้ได้ ดังเช่นชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่วที่ถูกเผยแพร่กันอย่างลับๆ จนทั่วทั้งเมือง แม้ตระกูลหนานกงจะไม่เคยเอ่ยถึงบุตรีผู้นี้มาก่อน แต่หนานกงฮูหยินผู้ล่วงลับไปแล้วต่างเป็นที่รู้จักของใครๆ นางมีบุตรีอยู่หนึ่งคนผู้ใดกันที่จะไม่รู้บ้าง เพียงแต่หนานกงไหวเป็นคนสำคัญของฝ่าบาทจึงไม่มีใครกล้าแตะต้องเขาเท่านั้นเอง
“เมื่อเทียบกับบุตรีจอมปลอมอย่างหนานกงซูแล้ว เห็นได้ชัดว่าหนานกงมั่วนั้นเหมาะสมที่จะเป็นบุตรีคนโตมากว่า” หนานกงซูนึกว่าจะมีเพียงนางผู้เดียวที่รังเกียจหรือ คงไม่รู้ว่าผู้อื่นก็รังเกียจนางเช่นกัน หากจำเป็นต้องแต่ง เมื่อเทียบกับคนโง่เขลาผู้นั้นแล้ว เว่ยจวินมั่วยอมเลือกหญิงสาวชาญฉลาดผู้นี้มากกว่า
“ไปกันเถิด” วางถ้วยชาลง ชายอาภรณ์สีฟ้าครามจึงลุกขึ้นเงียบๆ
“นี่ ไม่ทักทายคุณหนูหนานกงสักหน่อยหรือ” ชายอาภรณ์สีฟ้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
ชายอาภรณ์สีฟ้าครามเงยหน้า ดวงตาสีม่วงดูลึกลับเป็นประกาย คล้ายกับอัญมณีล้ำค่า ทว่าดูกว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร ดูเงียบสงบไร้เกลียวคลื่น ทว่าให้ความรู้สึกถึงพายุที่อยู่ภายใต้ความนิ่งสงบนั้น ยามที่เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็งนั้น มักทำให้สัมผัสได้ถึงจุดมืดบอดที่อยู่ลึกลงไปได้ถูกระเบิดออกมา
จำต้องยกมือขึ้นแสดงออกว่ายอมพ่ายแพ้ “รู้แล้ว รู้แล้ว ไม่เหมาะสม ได้เห็นรูปลักษณ์ของคุณหนูหนานกงนับว่าเป็นที่น่าวางใจแล้ว” อย่างน้อยก็ไม่นับว่าหนานกงไหวทำร้ายกันเกินไป บุตรีผู้นี้แม้จะไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าเมื่อแรกเจอกลับรู้สึกว่าดีกว่าหนานกงซูที่คิดว่าตนเองประเสริฐกว่าใคร เพียงแต่…ไม่รู้แน่ชัดว่านางจะรับได้หรือไม่…เหลือบมองภูเขาน้ำแข็งด้านข้างด้วยความกังวล ชายอาภรณ์สีฟ้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
มุมหนึ่งด้านบน หนานกงมั่วยืนชิดผนัง กวาดตามองพื้นที่ว่างด้านล่างคิ้วเรียวขมวดขึ้น ถูกคนจับตามองเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ เป็นไปไม่ได้ ตลอดทางที่ผ่านมานางไม่รับรู้สักนิดว่ามีคนติดตามมา ดูเหมือนเมืองตานหยางคงจะครึกครื้นขึ้นมาแล้วสิ
กลางดึก เรือนงดงามหลังหนึ่งในเมืองตานหยาง
เงาดำกำลังข้ามมาอย่างรวดเร็ว หลบหลีกจากสายตาของกลุ่มคนที่เดินผ่านไปมา ปีนข้ามกำแพงแล้วมองลึกเข้าไปยังส่วนที่อยู่ลึกที่สุดของเรือน ภายใต้เงาจันทร์ มองเห็นเพียงเงาเลือนรางเท่านั้น
มาหยุดอยู่ห้องหนึ่งที่จุดตะเกียงสว่างไสว หนานกงมั่วแฝงตัวอยู่ในมุมมืด มุมปากยกยิ้มร้าย พาร่างของตนปีนเข้าไปอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา เมื่อไม่มีอุปกรณ์ทันสมัยเป็นตัวช่วยอำนวยความสะดวกแล้ว พลันรู้สึกว่าไม่คุ้นชินกับการเป็นนักฆ่าเอาเสียเลย แต่ยังโชคดีที่ยุคนี้มีสิ่งที่นางไม่เคยร่ำเรียนมาก่อน ดังเช่น…วิชาตัวเบา และบังเอิญโชคดีที่ถูกอาจารย์และอาจารย์อาทั้งสองพบเข้าเมื่อหลายปีที่แล้ว มิเช่นนั้น นางคงไม่ได้พิจารณาถึงอาชีพเก่าที่จะช่วยหาเงินได้อย่างรวดเร็วในชาตินี้
หยุดอยู่มุมหนึ่งเงียบๆ เจาะผนังในจุดที่ไม่สะดุดตาเข้าไป ภาพในห้องชัดเจนสู่สายตาในทันใด ห้องกว้างใหญ่หรูหรา มองเห็นบุรุษวัยกลางคนที่ดูร่ำรวยกำลังกอดหญิงสาวที่ยังดูไม่เป็นผู้ใหญ่ มองเห็นความหวาดกลัวและริมฝีปากที่สั่นระริกของเด็กสาว เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่ามิใช่เรื่องความรักหรือสมยอมใดๆ
“ใต้เท้าหวัง ไม่ทราบว่าท่านพึงพอใจต่อเด็กสาวผู้นี้…” เสียงประจบสอพลอดังมาจากในห้อง
ชายวัยกลางคนบีบแก้มเด็กสาวเบาๆ หัวเราะตอบ “เยี่ยม ข้าพอใจเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าเมืองตานหยางนั้นมีแต่หญิงงาม สมคำร่ำลือจริงๆ เพียงสาวใช้ธรรมดายังงดงามเช่นนี้” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ “ใต้เท้าหวังชื่นชอบนางนับว่าเป็นวาสนาของนางแล้ว เพียงแต่หากพูดถึงความงาม เด็กคนนี้ก็พอได้…” เพียงแต่ยังเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ก็เท่านั้น หากเป็นด้านหน้าตา ก็ยังคงเป็นหญิงคณิกาในหอนางโลมเหล่านั้นที่น่าหลงใหลยิ่งกว่า เพียงแต่บนโลกใบนี้นั้นมีผู้คนมากมายที่มีความชอบประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางทำให้ใต้เท้าหวังผู้นี้ไม่พอใจเป็นแน่ นางเป็นเพียงบ่าวรับใช้เล็กๆ ในจวน หากตายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
[1] เสี่ยวเอ้อร์ คำที่ใช้เรียกพนักงานโรงเตี๊ยมในสมัยก่อน