ลำธารเล็กๆ ด้านนอกหมู่บ้าน น้ำใสไหลเงียบๆ ไปตามเส้นทางคดเคี้ยวผ่านพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ ณ ริมแม่น้ำมีหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าสวยนั่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำด้วยใบหน้าสดใส ด้านข้างมีสมุนไพรสดใหม่ถูกจัดวางไว้ในตะกร้าไม้ไผ่
ฟิ้ววว สายลมแรงพัดผ่านมา หญิงสาวนั่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ราวกับไม่ได้รับรู้ แต่เมื่อลมพัดแรงเข้ามาใกล้จึงขยับศีรษะหลบเล็กน้อย เมื่อหันหลังกลับไปก็เห็นแสงวาบวิ่งผ่านไปด้วยเช่นกัน
“ไอ้ย๊า” ชายชราผมขาวเดินออกมาจากป่าด้านหลัง แผ่นหลังค้อมลงเล็กน้อย มีเข็มสีเงินส่องแสงสะท้อนอยู่ทั่วทุกจุดฝังเข็ม เด็กสาวไม่มีเจตนาจะทำร้าย จึงไม่ได้แทงเข้าไปจริงๆ ทว่ายังคงเกิดความรู้สึกเจ็บปวดจากเข็มเหล่านั้นอยู่ดี
“เจ้ามันศิษย์ที่ใช้ไม่ได้” ผู้อาวุโสกว่าบ่น “ใครจะทำกับอาจารย์แบบนี้เหมือนกับเจ้า ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่”
เด็กสาวหันกลับไป รอยยิ้มงดงามราวสายลมฤดูใบไม้ผลิ ยามเอื้อนเอ่ยคำพูดกลับฟังกวนใจอย่างยิ่ง “ท่านอาจารย์ ข้าเคยบอกท่านตั้งนานแล้ว ท่านยอมแพ้เถิด ท่านไม่มีพรสวรรค์จะฝึกวรยุทธ์หรอก”
ผู้อาวุโสกว่าสำลัก รับศิษย์โง่เขลาก็ต้องโมโหตาย แต่รับศิษย์ฉลาดหลักแหลมเกินไปก็จะโมโหจนตายได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะคนตรงหน้าที่ฝึกวรยุทธ์สามปีก็รุดหน้าไปกว่าอาจารย์แล้ว ผู้อาวุโสได้แต่ปลอบใจตนเอง เขาเชี่ยวชาญด้านการรักษามิใช่ฝึกวรยุทธ์ เขาเป็นหมอเทวดา ไม่ใช่ปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้
“ศิษย์เอ๋ย…” ดวงตากลอกไปมา ผู้อาวุโสที่เดิมทีกำลังโมโหอยู่กลับยิ้มเอาอกเอาใจออกมา
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ท่านอาจารย์ ท่านคิดจะทำอันใดอีกเล่า”
“นี่น่ะหรือ…” ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์ มองลูกศิษย์ของตน “เจ้า…จะเข้าเมืองแล้วใช่หรือไม่ ช่วยนำเป็ดย่างกลับมาจากตึกจ้วงหยวนในเมืองให้อาจารย์สักตัวเป็นเยี่ยงไร”
“เป็ดย่างหรือ” หญิงสาวกะพริบตา ยื่นมือคู่นั้นที่ไม่ได้เรียวสวยและไม่ได้เรียบเนียนนักแต่ทว่ายังงดงามออกไป “เอาเงินมา”
“เงิน…” สีหน้าชายชราราวกับพังทลายลง นิ้วมือชี้ไปที่หญิงสาวสั่นไม่หยุด “เจ้าลูกศิษย์อกตัญญูคนนี้ เอาเข็มมาแทงอาจารย์ไม่ว่า เป็ดย่างตัวเดียวยังจะมาเอาเงินจากอาจารย์อีกรึ”
หญิงสาวส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ “ที่นี่ห่างจากตัวเมืองแค่ไม่กี่สิบลี้ ท่านอาจารย์เอาเงินไปดื่มเหล้าหมดแล้ว ครั้งนี้คงไปติดหนี้เขา เลยไม่กล้าเข้าเมืองใช่หรือไม่”
ชายชราเกิดความรู้สึกอับอายขึ้นมา มองไปยังลูกศิษย์ตัวน้อย “มั่วเอ๋อร์ ลูกศิษย์ที่รัก เจ้าก็ช่วยอาจารย์หน่อยเป็นไร…อาจารย์ผิดไปแล้วพอใจหรือยังเล่า” ชีวิตของชายชราไม่ต้องการอะไรแล้ว ต้องการเพียงแค่ได้จิบอะไรยอดเยี่ยมสักแก้วก็เท่านั้น “ใครใช้ให้เจ้าไม่ยอมให้ข้าดื่มเหล้าที่เจ้าหมักกันล่ะ”
หญิงสาวถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากุมขมับ “เหล้าดอกท้อของปีนี้ท่านก็ดื่มไปจนหมดแล้ว สองไหที่เหลือเก็บไว้ให้อาจารย์อา หากอาจารย์อากลับมาแล้วพบว่ามันไม่เหลือแล้ว ท่านอาจารย์ ท่านจะบอกกับอาจารย์อาเช่นไร” เมื่อพูดจบก็กัดฟันแน่น
ชายชรามีสีหน้าเศร้าสลดลงในทันใด เมื่อนึกถึงคนในสำนักขึ้นมา ชายชราอย่างเขานับว่ามีอายุมากที่สุด ทว่าตำแหน่งกลับต่ำต้อยที่สุด ด้านบนมีศิษย์น้องข่มเอาไว้ เบื้องล่างยังมีลูกศิษย์มาคอยควบคุม ชีวิตนี้ช่างผ่านไปอย่าง…ทุกข์ระทมเสียจริง
เงยหน้าขึ้นมองเห็นสีหน้าบูดบึ้งของลูกศิษย์ ชายชราจึงรีบเอ่ย “จะว่าไปแล้ว ศิษย์รัก อาจารย์ได้ยินข่าวมาจากในเมือง ข่าวนั้นเกี่ยวกับเจ้าเสียด้วย”
“ข่าวอะไรหรือ” หญิงสาวขมวดคิ้วถาม
ชายชรามองลูกศิษย์ด้วยสายตา ‘ขอร้องข้าสิ ขอร้องข้า’ และแสดงท่าทีเย่อหยิ่ง
“ท่านอาจารย์” หญิงสาวกัดฟัน จ้องเขาเขม็งไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าได้ยินมาว่า ฝ่าบาททรงมีสมรสพระราชทานแก่ผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงแล้ว” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้มพลางหรี่ตาลง
หญิงสาวมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เกี่ยวอะไรกับข้า”
“เรื่องนี้น่ะหรือ…ก็เพราะว่าผู้ที่จะสมรสด้วยก็คือหนานกงชิง เกี่ยวหรือเปล่าล่ะ” ชายชราหรี่ตามองหญิงสาวยิ้มๆ
“หนานกงชิง…” สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยังคงจ้องมองชายชรานิ่ง ชายชรารู้สึกมึนชาที่ศีรษะ จากนั้นรีบสาวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มีท่าทีเหมือนกับชายที่มีอายุผ่านหกสิบล่วงเลยไปแล้วด้วยซ้ำ วิ่งออกไปยังมิวายหันกลับมาบอกด้วยรอยยิ้ม “มั่วเอ๋อร์เด็กดี เจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี คงยังไม่ลืมว่าเจ้ายังมีบิดาชื่อหนานกงไหวหรอกนะ”
มองแผ่นหลังที่ห่างไกลออกไปของอาจารย์ แววตาเฉียบคมผ่านเข้ามาในดวงตาหญิงสาวอยู่ชั่วครู่ ไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็ว มองตะกร้าไม้ไผ่ที่วางอยู่ตรงหน้า แค่นยิ้ม “นั่นสิ หากท่านอาจารย์ไม่กล่าวถึง ข้าคงลืมไปแล้วจริงๆ แต่ว่า…ข้าไม่ใช่หนานกงชิงนะ ข้าคือ…หนานกงมั่ว”
นับตั้งแต่ตอนนั้นที่พบเข้ากับอาจารย์และอาจารย์อา หนานกงชิงตัวจริง…ก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว นางคือหนานกงมั่ว เป็นเพียงผีที่มาจากต่างโลก อาจารย์และอาจารย์อาได้ช่วยนางเอาไว้ เมื่อปีที่แล้วอาจารย์อาได้มอบจื้อ[1]ให้นางว่าอู๋สยา
นางคือหนานกงมั่ว จื้อ อู๋สยา
เดิมทีคิดว่าตระกูลหนานกงคงจะลืมบุตรีที่ถูกขายเป็นนางบำเรอผู้นี้ไปแล้ว และนางเองก็คงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลหนานกงอีกต่อไป หากพวกเขาไม่มาตามหานางก็ช่างสิ ทว่าหากมาตามหาก็อย่าหาว่านางโหดร้าย ไอสังหารร้อนแรงปรากฏขึ้นในดวงตางดงามของหญิงสาว เด็กสาวหนานกงมั่วคิดอย่างเย็นชา ถึงจะชื่ออู๋สยา[2] แต่นางก็ไม่ได้เป็นเด็กสาวใสซื่อไร้พิษภัยอย่างแท้จริง หนานกงชิงตายไปแล้ว แต่ว่า…ทุกเรื่องของหนานกงชิง…นางกลับจำได้ทั้งหมด
เอาล่ะ ถึงเวลาต้องกลับไปแล้วสินะ
อาณาเขตที่พักอาศัยของตระกูลหนานกงซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซีเฟิงนั้นมีพื้นที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นเพียงสถานที่พำนักที่หนานกงไหวและเครือญาติจะไม่เคยเข้ามาพักเลยสักวัน กระทั่งหลายปีมานี้ก็ยังไม่กลับมาไหว้บรรพบุรุษเลยด้วยซ้ำ ทว่าชาวบ้านต่างช่วยกันดูแลรักษา ทำความสะอาดบ้านหลังนี้แทนตระกูลหนานกง หนานกงมั่วไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังที่ว่านั้น แต่กลับไปอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ อยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล นางไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านหลังใหญ่โตแบบนั้นผู้เดียว เบื่อหน่ายกับการดูแลจากบ่าวไพร่ทั้งหลาย ยิ่งไปกว่านั้น บิดาคงลืมไปแล้วว่ายังมีตนที่เป็นบุตรีอีกคนหนึ่ง เงินแม้เพียงครึ่งตำลึงก็ไม่เคยส่งมาให้ บ่าวผู้รับผิดชอบในการมาเก็บค่าเช่าในทุกๆ ปีก็ทำราวกับนางไม่มีตัวตน คนในหมู่บ้านต่างเล่าลือกันว่าหนานกงไหวได้ทอดทิ้งบุตรีคนโตแห่งตระกูลหนานกงอย่างนางไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางได้ร่ำเรียนวิชาการรักษาจากอาจารย์ และช่วยเหลือบุตรชายคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน เกรงว่านางก็คงจะอยู่ที่หมู่บ้านซีเฟิงแห่งนี้ต่อไปไม่ได้
ผู้คนในยุคนี้ไม่ได้เสรีอย่างที่คนสมัยใหม่คิด แม้จะไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แต่ไม่ว่าจะไปแห่งหนใด หากต้องออกจากหมู่บ้านของตนไปหลายร้อยลี้ก็จำเป็นต้องมีใบเบิกทาง ยิ่งกว่านั้นอาจารย์และอาจารย์อาของนางยังซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาไม่ไกลจากหมู่บ้านซีเฟิงมากนัก หนานกงมั่วเองก็ไม่ต้องการอยู่ห่างไกลจากคนสนิทเพียงสองคนของนางเช่นกัน
นางหยิบตะกร้าขึ้นมาและเดินกลับหมู่บ้านไป ขณะนั้นเอง พี่สะใภ้หลิวก็เดินเข้ามาต้อนรับนางด้วยรอยยิ้มยินดี “แม่นางมั่วกลับมาแล้ว ไปเก็บสมุนไพรมาอีกแล้วหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มตอบ “เจ้าค่ะ พี่หลิว เก็บยา พรุ่งนี้ข้าจะได้เอาไปแลกในเมือง คงพอได้สักกี่ตำลึงบ้าง”
[1] จื้อ หมายถึงชื่ออย่างเป็นทางการซึ่งจะถูกตั้งให้ หากเป็นผู้ชายจะตั้งชื่อเมื่ออายุครบยี่สิบปีโดยถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว และหากเป็นผู้หญิงจะตั้งเมื่ออายุครบสิบห้า โดยจะเข้าพิธีปักปิ่น หมายความว่าพร้อมจะออกเรือนแล้ว
[2] อู๋สยา มีความหมายว่า สมบูรณ์แบบ, ไร้มลทิน