พี่สะใภ้หลิวพยักหน้า เอ่ยชื่นชม “แม่นางมั่วมีความสามารถ หมู่บ้านเราไม่มีใครเก่งเท่าแม่นางมั่วอีกแล้ว สมกับที่เป็นบุตรีของฉู่กั๋วกง”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “พี่หลิว มีธุระอันใดกับข้ารึ”
พี่สะใภ้หลิวยิ้มตอบ “นั่นสิ ข้าเกือบลืมไปแล้ว จวนฉู่กั๋วกงมีผู้คนมาจำนวนมาก คาดว่าต้องมารับแม่นางมั่วกลับเป็นแน่ จะว่าไปแล้ว แม่นางมั่วก็อายุครบสิบหกแล้ว ควรกลับไปตั้งนานแล้ว ไม่เช่นนั้น…ชีวิตของแม่นางคง…”
“พี่หลิว งั้นข้าคงต้องกลับก่อนแล้ว” ไม่รอให้พี่สะใภ้หลิวเอ่ยจบ หนานกงมั่วก็หยิบตะกร้าขึ้นมาและมุ่งตรงกลับบ้านไป
ขณะที่ยังไม่ทันจะก้าวไปถึงหน้าประตูบ้านดีก็พบว่าบานประตูนั้นถูกเปิดเอาไว้แล้ว มีสาวใช้มากมายยืนเฝ้าคอยอยู่บริเวณหน้าประตู ยามที่มองเห็นหนานกงมั่ว ในคราแรกนั้นยังคงมองนางอย่างสำรวจ ก่อนที่นางจะทันรู้ตัวก็ส่งยิ้มมาทักทาย “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น คร้านจะสนใจคนพวกนี้ สาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปในบ้าน บ้านเป็นบ้านธรรมดาทั่วไป ตรงกลางมีห้องโถง ที่ติดกันสองข้างเป็นห้อง หนึ่งคือห้องนอน อีกด้านเป็นห้องครัว ห้องโถงที่เป็นห้องต้อนรับแขกนั้นมีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้ไม่กี่ตัว มีตะกร้าสมุนไพรวางอยู่บนนั้นหลายใบ ห้องทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของสมุนไพรที่ไม่ฉุนมากนัก
ชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ในห้องโถง อายุราวๆ ยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี แต่งกายด้วยชุดเสื้อแพรสีขาว แตกต่างจากคนทั่วไป อีกคนสวมชุดผ้าแพรสีม่วง อายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยน ดูคล้ายคลึงกับหนานกงมั่วถึงสามส่วนได้
ทั้งสองมองเห็นหญิงสาวถือตะกร้าเดินเข้ามาในห้องอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันใดเมื่อเห็นหนานกงมั่วอยู่ในชุดชาวบ้านธรรมดาสีฟ้า
หนานกงชวี่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทว่ากลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยอะไรออกมา “เจ้า…”
กลับเป็นหนานกงฮุยที่มิได้สนใจอะไรมากนัก เดินเข้ามาคว้าหนานกงมั่วเอาไว้ “เจ้าคือชิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่ ทำไมเจ้าถึงสวมเสื้อผ้าแบบนี้เล่า” ชิงเอ๋อร์เป็นถึงบุตรีคนโตของจวนฉู่กั๋วกง กลับสวมเสื้อผ้าเยี่ยงชาวบ้านธรรมดา พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ เช่นนั้น เมื่อเขาหันมามองชุดผ้าแพรของตัวเอง นึกไปถึงชีวิตในช่วงหลายปีมานี้ หนานกงฮุยก็เกิดความรู้สึกละอายใจขึ้นมา
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าคงผ่านความลำบากมา พี่มารับเจ้ากลับบ้านแล้ว” หนานกงฮุยยื่นมือออกไปคว้าหนานกงมั่วและเอ่ยเสียงแผ่วเบา
หนานกงมั่วกลอกตา ก้าวถอยหลังอย่างไม่ใส่ใจ หลบอ้อมกอดของเขา กล่าวเสียงเรียบ “พวกท่านมาทำอันใดที่นี่”
“ชิงเอ๋อร์ ข้ากับพี่ใหญ่มารับเจ้า” หนานกงฮุยมองมือที่ว่างเปล่าของตน รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หนานกงมั่วเอ่ย “ข้าคือหนานกงมั่ว”
ทั้งสองตกใจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบเจอกับน้องสาวมานาน ทว่ายังไม่ถึงขั้นลืมชื่อของน้องสาวของตน นั่นหมายถึงหนานกงมั่วคงจะเป็นชื่อที่ตั้งเอง
ห้องทั้งห้องเงียบไปครู่หนึ่ง หนานกงชวี่จึงถอนหายใจ “เรามากะทันหันเกินไป…หลายปีมานี้ชิงเอ๋อร์คงลำบากมามาก รอกลับถึงจินหลิงเสียก่อน ท่านพ่อเองก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน ชิงเอ๋อร์ไปทำความเคารพท่านพ่อและท่านแม่สักหน่อยเถิด” มองไปยังเครื่องเรือนเล็กน้อย หนานกงชวี่ขมวดคิ้วพลางพูดไปด้วย
หนานกงมั่วช้อนตาขึ้นมา เอ่ยกับหนานกงชวี่ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ข้าบอกแล้ว ข้าคือหนานกงมั่ว อีกทั้งมารดาของข้าตายไปตั้งแต่แปดปีที่แล้วแล้ว”
เอ่ยจบก็ไม่สนใจทั้งสองคน วางตะกร้าและเดินเข้าห้องไป
“ชิงเอ๋อร์” หนานกงชวี่ที่อยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเข้ม “พี่ใหญ่รู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เจ้าเลิกเอาแต่ใจได้แล้ว”
ความโกรธเกิดขึ้นในใจหนานกงมั่ว หนานกงมั่วหลับตาลงพยายามกักเก็บความรู้สึกเศร้าเสียใจที่ไม่ใช่ของตนเอง หันกลับมายิ้มให้และเอ่ยขึ้น “เอาแต่ใจงั้นหรือ มีอะไรน่าเอาแต่ใจกัน ถึงข้าจะเอาแต่ใจแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยทอดทิ้งภรรยาหรือบุตรี ถึงข้าจะเอาแต่ใจมากเพียงใดก็ไม่ได้รับเอาคนชั่วมาเป็นมารดา”
ได้ยินเช่นนั้น หนานกงชวี่และหนานกงฮุยตัวสั่น ใบหน้าซีดขาว ห้องทั้งห้องเงียบลง หนานกงมั่วมองทั้งสอง แสยะยิ้มเล็กน้อย เดินเข้าห้องไป
ห้องโถงรับแขก สองพี่น้องมองสบตากันเงียบๆ หนานกงฮุยลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยถามออกมาว่า “พี่ใหญ่…น้องยังไม่รู้ความ พี่อย่าโกรธนางเลย หลายปีมานี้…นางคงลำบากไม่น้อย”
หนานกงชวี่แค่นเสียงหัวเราะ เอ่ยเสียงราบเรียบ “นางกล่าวได้ถูกต้องแล้ว นั่นสิ…ยอมรับคนชั่วมาเป็นมารดา เรากลับกันก่อนเถิด”
“เช่นนั้น…น้องสาว…” หนานกงฮุยเอ่ยถาม
หนานกงชวี่คิด “กลับไปรายงานแก่ท่านพ่อก่อน รอนางใจเย็นลงกว่านี้ค่อยหารือกันอีกที” หันกลับไปมองม่านประตูที่ถูกทำขึ้นจากหญ้าสีเหลือง จากนั้นหนานกงชวี่จึงหมุนตัวเดินออกไป
“คุณชายใหญ่ คุณชายรอง” บ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก้าวเข้ามารอรับ
หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเข้ม “ไปเก็บกวาดห้องด้านข้าง สองคนอยู่ที่นี่เฝ้าดูว่าคุณหนูจะมีคำสั่งอันใด”
“ดูแลปรนนิบัติให้ดี หากขาดตกบกพร่องก็ระวังชีวิตของพวกเจ้าให้ดี” หนานกงฮุยเอ่ยสำทับ
“เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ คุณชายรอง” บ่าวรับใช้ตอบรับคำสั่งพร้อมเพรียงกัน
เมื่อเดินออกมาจากห้อง หนานกงชวี่และหนานกงฮุยก็ไม่อยู่แล้ว ทว่ากลับมีบ่าวรับใช้ในชุดสีชมพูสองคนเพิ่มมา
เมื่อมองเห็นว่าหนานกงมั่วออกมาแล้ว ทั้งสองจึงรีบก้าวเข้าไปคุกเข่าอยู่ตรงหน้า “คุณหนูใหญ่”
หนานกงมั่วมองทั้งสองนิ่ง ดูเหมือนตระกูลหนานกงจะเลี้ยงบ่าวรับใช้ได้ดีทีเดียว หากเดินออกไปนอกบ้าน คนอื่นอาจคิดว่าสองคนนี้ต่างหากที่เป็นคุณหนู ตัวนางเป็นบ่าวรับใช้ แม้จะทำความเคารพ ทว่าสายตาของบ่าวรับใช้ทั้งสองคนกลับไม่มีความนอบน้อมเลยสักนิด เมื่อยามที่นางเดินออกมานั้นสาวใช้ทั้งสองกำลังมองสำรวจบ้านหลังนี้ สายตารังเกียจอย่างปิดไม่มิด
เช่นนั้นทั้งสองคนจึงเอาแต่ยืนอยู่ตลอดเวลา หนานกงมั่วกล้าเอาศีรษะตนเองพนันได้เลยว่าไม่ใช่เพราะพวกนางไม่กล้านั่ง ทว่าเพราะรังเกียจเก้าอี้พวกนี้ เช่นเดียวกับพี่ชายทั้งสองของนาง
“พวกเจ้าเข้ามาทำอันใดกัน ออกไป” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
ความไม่พอใจเผยออกมาจากแววตาของสาวใช้ที่ดูอายุมากกว่า เอ่ยตอบ “คุณชายใหญ่และคุณชายรองให้บ่าวมารับใช้คุณหนูเจ้าค่ะ” แววตานั้นราวกับกำลังบอกว่า ‘เจ้าอย่ามองข้ามความหวังดีของผู้อื่น’
หนานกงมั่วยิ้มเย็นอยู่ในใจ มองสำรวจบ่าวรับใช้ทั้งสอง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็เข้าครัวทำกับข้าวสิ”
“ทำ ทำกับข้าว” สาวใช้ตกใจ เมื่อมีสติขึ้นมา ใบหน้าก็แดงก่ำด้วยความโกรธขึ้ง ดวงตาจ้องไปยังหนานกงมั่วราวกับได้รับการดูถูกเหยียดหยาม “คุณหนูใหญ่ พวกข้าเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งจะทำอาหารเป็นได้เช่นไร”
“ทำอาหารก็ไม่เป็นยังจะเป็นบ่าวรับใช้อีกหรือ ตระกูลหนานกงกำลังเลี้ยงคุณหนูอยู่หรืออย่างไร ออกไปซะ” เอ่ยจบ หนานกงมั่วก็หมุนตัวเดินเข้าครัวไป
มาอยู่โลกนี้ได้ห้าปีแล้ว หนานกงมั่วคุ้นชินยุคสมัยแห่งนี้และรวมถึงสายตาดูหมิ่นของผู้คนเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อเทียบกับการฆ่าฟันที่เต็มไปด้วยเลือดในชีวิตก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ทุกๆ เส้นประสาทในกายต้องเครียดเขม็งอยู่ตลอดเวลา อะไรอย่างเช่นในวันนี้ก็นับได้ว่าเป็นวันที่น่าเพลิดเพลินวันหนึ่งทีเดียว
เวลาว่างเว้นจากการร่ำเรียนการรักษากับอาจารย์ นางก็จะไปฝึกวรยุทธ์กับอาจารย์อา เก็บสมุนไพรไปขาย บางครั้งก็ลงมือทำอาหารบางอย่างแล้วแบ่งปันกับทั้งอาจารย์และอาจารย์อา สำหรับหนานกงมั่วแล้ว ตั้งแต่จำความได้นางไม่เคยรู้สึกมีชีวิตที่สุขและสงบได้แบบนี้เลย ถ้าพี่ใหญ่และน้องสาวได้มาอยู่แบบนี้ด้วยกันก็คงจะดี ความคิดถึงทอดผ่านในสายตาของหนานกงมั่วที่กำลังยืนอยู่ในครัว