เพียงแค่คิดถึงสายตาคู่นั้นขึ้นมา เขาก็พลันรู้สึกว่ามีบางส่วนในร่างกายนั้นซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้
“ข้าอยากเห็นเช่นกัน ว่าไม่เจอกันหลายปี หญิงร้ายผู้นี้จะไร้ความคิดขนาดไหน” หนานกงไหวเดินออกจากประตูไปด้วยความโกรธ
“ท่านพ่อ” หนานกงชวี่และหนานกงฮุยกำลังจะเดินเข้าไปในห้องโถง ทว่ากลับมองเห็นหนานกงไหวเดินออกมาเสียก่อน หนานกงไหวสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป เหลือไว้เพียงสองพี่น้องที่หันมองสบตากัน หนานกงฮุยขมวดคิ้ว “เกิดอันใดขึ้นกับท่านพ่อ” หนานกงซูเดินออกมาพร้อมกับเจิ้งซื่อ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “อาจเพราะว่าท่านพ่อคงคิดถึงพี่สาวมาก เมื่อครู่ได้ยินว่าพี่สาวไม่มาถึงได้ไม่พอใจ”
เจิ้งซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป ท่านเพียงคิดถึงชิงเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าชิงเอ๋อร์ไม่มาถึงได้โกรธขนาดนี้” กวาดตามองสาวใช้สองคนที่เดินตามหลังหนานกงฮุยมาด้วยใบหน้าบวมเป่งและมีน้ำตานองหน้า เจิ้งซื่อทำราวกับมองไม่เห็น หันไปเอ่ยกับสองพี่น้องด้วยความรัก “เมื่อครู่ข้าเอ่ยกับท่านไปแล้ว ว่าบิดาและบุตรไม่มีความแค้นต่อกัน ให้ทั้งสองได้ถือโอกาสนี้พูดคุยกัน ปมในใจต้องคลายได้เป็นแน่แท้ หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่”
หนานกงชวี่ขมวดคิ้วกังวล ไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่จึงพยักหน้า “ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้อง”
หนานกงฮุยขมวดคิ้ว ไม่ได้เห็นว่าดีอย่างหนานกงชวี่คิด แม้แต่ชื่อของชิงเอ๋อร์ยังเปลี่ยนแล้ว ท่านพ่อไม่โกรธสิถึงจะแปลก แต่ว่า… “พี่ใหญ่ เราเองก็ตามไปดูเถิด”
หนานกงชวี่พยักหน้า “ก็ดี”
“พี่ใหญ่ พี่รอง น้องเองก็อยากไปคารวะพี่สาว ข้าไม่ได้เจอพี่สาวมานานหลายปีแล้ว” หนานกงซูกล่าวด้วยรอยยิ้ม นางไม่ได้เจอกับหนานกงชิงมานานแล้ว กระทั่งรูปร่างหน้าตาพี่สาวเป็นอย่างไรนางเกือบจำไม่ได้แล้ว เดิมทีก็ไม่ได้เติบโตมาด้วยกัน เมื่อแปดปีที่แล้วมารดาของหนานกงชิงจากโลกนี้ไป หนานกงชิงที่อายุเพียงแปดปีในขณะนั้นก็เก็บตัวไว้อาลัยให้มารดาเป็นเวลากว่าสามปี เมื่อสิ้นสุดการไว้อาลัยก็ไปจากจินหลิง หากไม่ใช่เพราะสมรสพระราชทานในครั้งนี้ หนานกงซูคงนึกว่าคุณหนูตระกูลหนานกงนั้นมีนางเพียงผู้เดียวไปแล้ว
หนานกงชวี่ลังเลอยู่ชั่วครู่ พยักหน้า “ก็ดี”
หนานกงซูเม้มริมฝีปากยิ้มท่าทางน่ารัก “พี่ใหญ่วางใจได้ ซูเอ๋อร์จะคุยกับพี่สาวเป็นอย่างดีเลย”
“ซูเอ๋อร์เป็นหญิงสาวรู้ความเสมอ” หนานกงชวี่หัวเราะ แม้จะเอาแต่ใจตนไปบ้าง ทว่าหนานกงซูยังคงรู้จักหนักเบา ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ชิงเอ๋อร์แต่งงานแทนน้องสาว น้องสาวคงไม่กล้าล่วงเกินชิงเอ๋อร์
“เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ ซูเอ๋อร์อยากเห็นแล้วว่าพี่สาวรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร” หนานกงซูกอดแขนหนานกงชวี่ออดอ้อน
“ชิงเอ๋อร์สวยมาก” หนานกงฮุยตอบ
แววตาหนานกงซูไหววูบเล็กน้อย ส่งยิ้มกลับมา “หรือเจ้าคะ ซูเอ๋อร์อยากเจอ”
ด้านนอกบ้านหลังเล็กของหนานกงมั่ว หนานกงไหวยืนอยู่หน้าบ้านว่างเปล่าเพียงลำพัง ใบหน้าเด็ดเดี่ยวดำทะมึนราวน้ำหมึก บ้านหลังเล็กตรงหน้าสูงไม่เกินเจ็ดชุ่น[1] ผนังบุด้วยดิน มีสามห้องเล็กๆ แลดูเก่าและทรุดโทรม นี่เป็นสถานที่ที่คุณหนูของกั๋วกงอยู่อาศัยหรือ แม้ว่าหนานกงไหวจะโกรธเพราะความดื้อรั้นไม่ฟังคำสั่งสอนของบุตรี แต่ไม่เคยคิดปฏิบัติโหดร้ายต่อนางเรื่องที่พักอาศัยหรืออาหาร
“นี่คือที่อยู่ของคุณหนูใหญ่หรือ”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้าซีด ตัวสั่นเทา “ท่านกั๋วกง สิ่ง…สิ่งนี้เป็นความประสงค์ของคุณหนู คุณหนูไม่ยอมกลับไปอยู่ที่เรือน ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่กล้าขัดความประสงค์ของคุณหนูขอรับ”
“เลวสิ้นดี คุณหนูใหญ่ไม่รู้ความ เจ้ายังไม่รายงาน” หนานกงไหวต่อว่าด้วยความโกรธ “คุณหนูอยู่ที่ผุพัง กินอาหารพื้นๆ ทว่าพวกเจ้านุ่งห่มผ้าแพรกินอาหารรสเลิศ…ใครให้พวกเจ้ากล้าถือดีเยี่ยงนี้”
“ท่านกั๋วกงได้โปรดลงโทษ ข้าน้อยมิกล้า…” แม้จะละจากสนามรบมาเกือบทศวรรษแล้ว ทว่าหนานกงไหวก็ยังเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่ง เมื่อโมโหขึ้นมาผู้ใดจะกล้าเผชิญหน้าด้วย สองขาของพ่อบ้านอ่อนแรง คุกเข่าลงไป
“ไปรับโทษด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่อยู่ที่ใด” หนานกงไหวยกเท้าถีบเขาออกไป
“ท่าน…นายท่าน คุณหนูใหญ่…ถือตะกร้า…ออกไปแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูรายงานตัวสั่นเทา
“หญิงร้ายผู้นี้” ใบหน้าหนานกงไหวทะมึน น้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ท่านพ่อ เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ” หนานกงซูที่เดินตามมาก้าวเดินเข้ามาใกล้ กอดแขนหนานกงไหวถามอย่างออดอ้อน หันมามองบุตรีที่รัก ดวงตาหนานกงไหวจึงอ่อนลง ทว่าเมื่อนึกถึงบุตรีคนโตที่ไม่เห็นตนอยู่ในสายตา ความโกรธในใจก็ยากที่จะควบคุมไว้ได้ “พวกเจ้า ไปตามหญิงร้ายผู้นั้นกลับมาให้ข้า”
“ท่านพ่อได้โปรดใจเย็นก่อน ชิงเอ๋อร์…” หนานกงฮุยอยากช่วย ทว่าสุดท้ายเขากลับเอ่ยอะไรไม่ออก ชิงเอ๋อร์รู้ดีว่าท่านพ่ออยู่ที่เรือนข้างๆ ทว่ากลับออกไปเตร็ดเตร่อยู่ด้านนอกไม่มาหาท่านพ่อเลยสักครั้ง การกระทำเช่นนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออก ถอนหายใจออกมา หนานกงฮุยยิ่งรู้สึกละอายใจต่อน้องสาวที่เติบโตมาตัวคนเดียว “ชิงเอ๋อร์เติบโตมาตัวคนเดียว คงจะไม่คุ้นชิน ท่านพ่อโปรดอภัยด้วยขอรับ”
เมื่อนึกถึงครั้งที่บุตรีคนโตไว้อาลัยให้มารดาตั้งแต่อายุแปดขวบ ความโกรธในใจหนานกงไหวก็ลดลงมากกว่าครึ่ง ถอนหายใจออกมา เสียงเข้มกล่าว “ไปตามนางกลับมา เป็นผู้หญิงเที่ยวตระเวนไปทั่วเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน” เอ่ยจบจึงหมุนตัวเดินกลับเรือนข้างๆ ด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ขอรับ ท่านพ่อ” หนานกงชวี่และหนานกงฮุยขานรับ
“ท่านพ่ออย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ ซูเอ๋อร์กลับไปกับท่านพ่อ ท่านพ่อวางใจเถิด พี่ใหญ่และพี่รองต้องตามหาพี่สาวเจอเป็นแน่” หนานกงซูมองทั้งสามคน หันมายิ้มให้พี่ชายทั้งสอง รีบวิ่งตามกลับไป
“หึ เด็กคนนั้นถ้าน่ารักได้อย่างซูเอ๋อร์บ้าง…”
นี่ท่านพ่อลืมไปแล้วหรือว่าเรื่องการสมรสที่ชิงเอ๋อร์ต้องมารับแทนในครั้งนี้ ซูเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นคนก่อเรื่อง ขณะมองดูสองพ่อลูกที่เดินตามกันไป หนานกงฮุยก็นึกแปลกใจเรื่องนี้ขึ้นมา เผลอขมวดคิ้วมุ่นไม่รู้ตัว
พระจันทร์ปรากฏอยู่เหนือยอดต้นหลิว สถานที่ที่คึกคักที่สุดของเมืองตานหยางเป็นถนนทางด้านทิศตะวันตกเส้นหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปจะได้กลิ่นเหล้าฟุ้งตลบอบอวล เสียงจอแจและเสียงหัวเราะหวานหูของเหล่าหญิงงาม ที่นี่เป็นถนนบุปผาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองตานหยาง ตานหยางมีสาวงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ เมื่อถึงยามค่ำคืน ถนนทั้งเส้นเต็มไปด้วยโคมแขวน เสียงหัวเราะไม่ขาดสาย ดนตรีไพเราะ สาวงามร้องเล่นเต้นรำ เหล้ารสเลิศที่ทำให้ยากจะลืมเลือน
ช่วงนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ครึกครื้นที่สุดในตานหยาง ครั้งนั้นเมื่อยามเบื้องบนรวมกองกำลังทหารที่ตานหยาง ต่อมาก็รวมประเทศเข้าด้วยกันและก่อตั้งแคว้นเซี่ยขึ้นที่จินหลิง เพื่อแสดงออกให้เห็นว่าไม่ลืมรากเหง้า เหล่าองค์ชายจะถูกส่งมาคำนับบรรพบุรุษที่เมืองตานหยางในทุกๆ เดือนสามของทุกปี เมื่อเหล่าองค์ชายที่เป็นลูกหลานของสวรรค์ออกเดินทางมาก็ย่อมที่จะต้องมีผู้ที่คอยประจบสอพลอไม่น้อย แน่นอนว่าเหล่าองค์ชายนั้นมีเกียรติ คงไม่มาเดินตากลมในสถานที่แบบนี้เป็นแน่ แต่เหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ ร่ำรวยสูงส่งทว่าไม่มีความระมัดระวังเหล่านั้นต่างก็มาด้วย ดังนั้น เดือนสามเป็นยามที่หอคณิกาครึกครื้นเป็นพิเศษ
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ดื่มเหล้าไม่ได้” ด้านในหออิ๋งซิ่ว หนานกงมั่วนั่งอยู่ที่โต๊ะ จ้องมองหญิงสาวในชุดสีม่วงด้วยแววตาเฉยเมย หญิงในชุดสีม่วงยิ้มกระอักกระอ่วน “คง…ไม่ได้หนักหนาอันใด ข้าเพียงไม่สบายก็เท่านั้น” หนานกงมั่วตรวจดูชีพจรที่ข้อมือของนาง ใบหน้ายิ่งทะมึนมากขึ้น หญิงสาวในชุดม่วงเองก็ไม่ต่อต้าน ยิ้มบางๆ ให้กับหนานกงมั่ว “คนเช่นพวกเรา…นอกจากท่านแล้วก็ไม่มีใครยินดีมารักษาให้พวกเราอีก ถึงจะมีหมอสักคนสองคนที่ไม่รังเกียจ ทว่า…” ไม่รู้ทำไม ดวงตาของหญิงสาวชุดม่วงถึงมีแววเจ็บปวดทอดผ่าน หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าบอกเจ้าแล้ว ให้ไปจากที่นี่เสีย”
[1] ชุ่น หมายถึง มาตราวัดของจีน 1 ชุ่น เท่ากับ 3.34 เซนติเมตร