เมื่อได้สติ จึงยิ้มขมขื่นออกมา หนานกงมั่วเริ่มเตรียมมื้อกลางวันของนาง
นำข้าวสารไปล้าง จากนั้นหยิบผักกาดขาวมาหนึ่งหัว ทำผักกาดขาวซอสเปรี้ยวอย่างง่ายๆ ส่วนใบที่เหลือนำมาทำน้ำซุป นั่นคืออาหารมื้อนี้แล้ว ชาติที่แล้วงานอดิเรกของนางมีไม่มาก สิ่งที่ทำได้ดีก็คงเป็นการทำอาหาร โชคดีที่ตอนนี้อาจารย์และอาจารย์อาต่างก็ชื่นชอบอาหารรสเลิศ เพราะชายร่างใหญ่ทั้งสองนั้นมีฝีมือธรรมดา ดังนั้นทักษะการทำอาหารของนางจึงเพิ่มระดับขึ้นภายใต้การดูแลทั้งสอง ทว่าเมื่อนางอยู่คนเดียวกลับไม่ชอบทำอาหาร ส่วนมากทำง่ายๆ ก็เพียงพอแล้ว ดังชาติที่แล้ว นางแค่ชื่นชอบการทำอาหารให้กับคนสนิทเท่านั้นเอง
ยกถาดสำรับกลับเข้ามาในห้องโถง สาวใช้ทั้งสองยังคงยืนอยู่ตรงนั้น มีเพียงท่าทีรังเกียจเมื่อนางยกอาหารง่ายๆ เข้ามา ขมวดคิ้วถาม “คุณหนู ท่านเป็นคุณหนูใหญ่สกุลหนานกง จะทานอาหารพวกนี้ได้อย่างไรกัน ไปทานที่บ้านข้างๆ เถอะเจ้าค่ะ เพื่อไม่ให้คนนอกรู้แล้วพูดได้ว่านายท่านและฮูหยินปฏิบัติโหดร้ายทารุณกับหญิงในบ้าน”
หนานกงมั่วสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าความอดทนของตนที่มีต่อสาวใช้ผู้นี้นั้นถึงที่สุดแล้ว
“ข้าบอกให้พวกเจ้าไสหัวไป พวกเจ้าฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร หรือว่าสมองมีปัญหา หรือหูมีปัญหากันแน่”
“คุณหนู ท่าน พวกข้าเป็นคนที่ฮูหยินส่งมานะเจ้าคะ” สาวใช้ที่อายุมากกว่าเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ
หนานกงมั่วยังคงยิ้มเย็น “ใช่ ส่งมาคอยรับใช้ข้าใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วตอนนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้า ไส หัว ไป”
“ท่าน ช่างมองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเสียจริง มิแปลกเลยที่หลายปีมานี้นายท่านไม่สนใจไยดี หากไม่ใช่เพราะว่า…” หนานกงมั่วช้อนตาขึ้นมอง คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม จ้องมองพวกนาง “หากไม่ใช่เพราะอะไร ทำไมไม่เอ่ยต่อเล่า”
“พูดก็พูดสิ” เด็กสาวคนนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ เมื่อโกรธแล้วจึงเอ่ยออกมา “หากไม่ใช่เพราะคุณหนูรองไม่อยากแต่งงานกับตัวประหลาดเว่ยจวินมั่วนั่น ชาตินี้นายท่านคงไม่นึกถึงท่านขึ้นมาหรอก”
“หุบปาก” ยังไม่ทันเอ่ยจบ เสียงเกรี้ยวกราดของหนานกงชวี่ก็ดังมาจากประตู สาวใช้ตัวแข็งทื่อ หันกลับไปมองยังประตู ระหว่างนั้นหนานกงชวี่และหนานกงฮุยก็สาวเท้าเข้ามา ฝ่ามือหนาตบเข้าที่ใบหน้าของสาวใช้
ด้วยแรงมหาศาลนั้นทำให้นางโซเซ ศีรษะด้านหลังชนเข้ากับประตู ปูดบวมขึ้นมาทันใด
“คุณชายใหญ่…คุณชายรอง…”
ใบหน้าของสาวใช้ทั้งสองเปลี่ยนสี ไม่ทันได้ใส่ใจที่โดนตบเมื่อสักครู่ รีบคุกเข่าลง
สีหน้าหนานกงฮุยที่เดินตามเข้ามาก็ไม่ได้ดีนัก ยกเท้าขึ้นถีบสาวใหญ่ผู้นั้นกลิ้งไปอีกด้าน “ไสหัวออกไป”
หนานกงชวี่และหนานกงฮุยแตกต่างจากหนานกงมั่ว แม้ฉู่กั๋วกงหนานกงไหวจะแต่งชายาใหม่ ทว่ากลับไม่มีบุตรชายให้ มีเพียงบุตรีเพียงคนเดียว หนานกงชวี่และหนานกงฮุยจึงเป็นบุตรชายเพียงสองคนของจวนฉู่กั๋วกง บ่าวไพร่พวกนี้ แม้เป็นคนของหนานกงฮูหยิน แต่ยามต้องเผชิญหน้ากับหนานกงชวี่สองคนก็ยังต้องหวั่นเกรง
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงฮุยจึงรีบล้มลุกคลุกคลานออกไป
“ชิงเอ๋อร์…” บรรยากาศในห้องอึมครึมขึ้น หนานกงชวี่มองใบหน้าเย็นชาของหนานกงมั่ว เอ่ยออกมาอย่างลำบาก “ชิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าไปฟังวาจาพร่ำเพรื่อของสาวใช้ทั้งสองเลย”
หนานกงมั่วยิ้มเย็นชา เลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “กล่าวเช่นนี้…พวกท่านจะบอกข้าว่า ที่มาไม่ได้จะมาบอกให้ข้าไปแต่งงานกับเว่ยจวินมั่วหรือ”
“นี่เป็น…ราชโองการของฝ่าบาท” หนานกงชวี่กล่าว
หนานกงมั่วยิ้มเย็น “ฝ่าบาทมีกิจมากมาย จะจำหญิงที่ไม่ได้กลับจวนมานานอย่างข้าได้หรือ หากฝ่าบาทจะพระราชทานสมรส ก็คงจะพระราชทานแก่คุณหนูรองผู้มีชื่อเสียงแห่งตระกูลหนานกงซะมากกว่า…ไม่สิ ต้องเรียกว่าเป็นคุณหนูเพียงคนเดียวของตระกูลหนานกง หนานกงซูมิใช่หรือ”
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว เว่ยจวินมั่วเป็นผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง เป็นหลานที่ฝ่าบาททรงเอ็นดูเป็นที่สุด เจ้าแต่งกับ…”
หนานกงมั่วโบกมือ เอ่ยขัดเขาอย่างไม่เกรงใจ “ข้าไม่อยากรู้ว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร ท่านกลับไปบอกฉู่กั๋วกง ถ้าไม่ให้บุตรีที่เขารักแต่งไป ก็…ให้เขาขึ้นเกี้ยวไปแต่งที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเอาเองเถิด”
“ชิงเอ๋อร์” พี่ชายทั้งสองได้แต่นิ่งอึ้ง เมื่อได้ยินวาจาที่หนานกงมั่วเอ่ยออกมาก็ร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ หนานกงฮุยมองใบหน้าเย็นชาของน้องสาว อดทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ชิงเอ๋อร์ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะยินยอมแต่งกับเว่ยจวินมั่วหรือไม่ พี่ใหญ่พูดไม่ผิดเลย อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว ควรกลับจินหลิงกับพวกเราก่อนค่อยว่ากัน หากว่าเจ้าไม่ยินยอม…พี่รองจะช่วยพูดกับท่านพ่อแทนเจ้าดีหรือไม่”
หนานกงมั่วมองหนานกงฮุยเล็กน้อย นางสัมผัสได้ว่าวาจาของหนานกงฮุยนั้นมาจากใจจริง ทว่าความจริงใจนี้จะยืนหยัดอยู่ต่อหน้าหนานกงไหวได้นานเท่าใดก็ไม่แน่นัก ตรองดูจากความทรงจำของหนานกงชิง นางคงไม่มีวันเดิมพันกับพี่ชายทั้งสองคนนี้เป็นแน่
“อาหารของข้าเย็นชืดแล้ว พวกท่านกลับไปเถิด” หนานกงมั่วกล่าวเสียงเรียบ
หนานกงชวี่ที่นิ่งเงียบอยู่นาน ท้ายที่สุดจึงถอนหายใจออกมา “ช่างเถิด เจ้าลองไตร่ตรองดูให้ดี ชิงเอ๋อร์ ท่านพ่อยังอยู่ที่เรือนหลังเก่า เมื่อคิดได้แล้วก็กลับไปทำความเคารพท่านพ่อหน่อยเถิด”
ทางด้านเรือนเก่าของตระกูลหนานกง หนานกงไหวเดินไปมาด้วยท่าทีร้อนใจอยู่ในห้องโถงใหญ่ เจิ้งซื่อ หนานกงฮูหยินและหนานกงซูนั่งอยู่ด้านข้าง มองท่าทีของเขา อดไม่ได้หันมาสบตากัน ดวงตาเจิ้งซื่อสื่อความหมายบางอย่าง จากนั้นจึงวางถ้วยชาลง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไยท่านถึงได้ร้อนใจเช่นนี้เล่า บิดากับบุตรจะมีความแค้นเคืองต่อกันได้เยี่ยงไร คุณหนูใหญ่ค่อนข้างดื้อ ให้ชวี่เอ๋อร์และฮุยเอ๋อร์ไปเกลี้ยกล่อมแล้ว ต้องมาคำนับท่านอย่างแน่นอน”
สีหน้าของหนานกงไหวเผยความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกออกมา กล่าวว่า “หญิงไม่รักดีผู้นั้น จะสนใจไปเพื่อเหตุใด”
เจิ้งซื่อปิดปาก กล่าวพลางหัวเราะไปด้วย “ท่านมีจิตใจรักบุตร ไยข้าจะไม่รู้ได้ ปากท่านบอกไม่คิดถึง ความจริงก็ยังคิดถึงคุณหนูใหญ่มิใช่หรือ” สายตาของหนานกงไหวอ่อนลง เอ่ยกับเจิ้งซื่อ “เกรงว่านางจะไม่มีความคิดอ่านเช่นเจ้าน่ะสิ เด็กคนนี้เหมือนมารดาของนาง…ตอนนี้เจ้าเป็นมารดาของเด็กพวกนี้ ยังจะเรียกคุณหนูใหญ่อยู่ไย”
เจิ้งซื่อรีบตอบ “ท่านพูดถูกแล้ว ครอบครัวเดียวกัน…รอชิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว ครอบครัวของเราก็จะพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว”
“รายงานนายท่าน ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณชายรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้เข้ามายืนรายงานนอบน้อมอยู่ที่หน้าประตู
หนานกงไหวเอ่ยเสียงเข้ม “ให้พวกเขาเข้ามา คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือ”
บ่าวรับใช้มองหนานกงไหวด้วยท่าทางลำบากใจ “รายงานนายท่าน ไม่พบคุณหนูใหญ่ เพียงแต่…สาวใช้ที่ฮูหยินส่งไปดูแลคุณหนูใหญ่ตอนนี้ก็กลับมาแล้วเจ้าค่ะ คล้ายกับว่า…โดนตีมา”
“อย่างไรกัน” หนานกงไหวโมโห “หญิงร้ายผู้นี้ มารดาเมตตาส่งสาวใช้ไปปรนนิบัติ นางยังกล้าลงมือ” เดิมบุตรีไม่มาคำนับแสดงความเคารพ หนานกงไหวก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ตอนนี้ให้บุตรชายทั้งสองไปเกลี้ยกล่อม ยังไม่ยอมมา ซ้ำยังลงมือกับสาวใช้ที่เจิ้งซื่อส่งไปอีก ความโกรธของหนานกงไหวปะทุขึ้นมาในทันใด คล้ายกับมองเห็นสายตาของหนานกงชิงเมื่อยามที่หนีจากบ้านไปเมื่อห้าปีก่อน ร่างเล็กนั่น ดวงตาที่ถอดแบบเดียวกันมาจากมารดาของนาง แต่สายตาที่มองมาที่ตนนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและดูถูกเหยียดหยาม ราวกับว่าตน หนานกงไหวไม่เคยสู้เพื่อราชวงศ์เซี่ยที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นคนเลวที่ไม่รู้สึกละอาย เพราะสายตาเช่นนั้น ทำให้เขาทอดทิ้งบุตรีเอาไว้ที่เรือนหลังเดิมมาห้าปีแล้ว ไม่เคยถามไถ่ หากไม่เป็นเพราะราชโองการของฮ่องเต้ในครั้งนี้ เกรงว่าหนานกงไหวก็คงจะไม่นึกถึงนางขึ้นมา