เว่ยจวินมั่วชะงักไปเล็กน้อย ยื่นมือไปยกกาน้ำชา เทให้ตนเองและหนานกงมั่วคนละถ้วย เงียบไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง”
หนานกงมั่วยิ้ม “หากข้าต้องการผ้าแพรหรืออาหารรสเลิศ ข้ามีได้ไม่ขาด แม้จะไม่ได้ดีเท่ากับที่จวนฉู่กั๋วกง แต่แล้วทำไมข้าต้องต้องการมันล่ะ ข้าอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลังใหญ่ มีคนกี่ร้อย ทว่าไม่มีแม้สักคนที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับข้า ตัวคนเดียวเช่นนี้ เรียกใช้งานบ่าวรับใช้แล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน”
“เจ้าไม่อยากกลับจินหลิงงั้นหรือ” มองหญิงสาวตรงหน้าที่แกว่งถ้วยชาไปมาเล็กน้อย เว่ยจวินมั่วเอ่ยออกมาอย่างราบเรียบ
“อืม” หนานกงมั่วไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ยิ้มเอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้ ข้าคงไม่อยากกลับจินหลิง เมืองจินหลิงมีอะไรดี ไหนเลยจะมีอิสระดังเช่นที่นี่ เพียงแต่…” ส่ายหัวเล็กน้อย หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามทางของมัน ทำให้ตัวเองผ่านมันไปอย่างดีก็พอ”
นางอยู่โดยไม่แต่งงานไปตลอดไม่ได้ แม้จะไม่สนใจหนานกงไหว นางก็ต้องกังวลว่าวันไหนท่านอาจารย์และอาจารย์อาของนางจะจับคู่ให้นางเมื่อใด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางอายุมากแล้วทว่ายังไม่ได้แต่งงาน หมู่บ้านซีเฟิงก็คงไม่ยอมให้นางได้อาศัยอยู่ต่อไปแน่ นักฆ่าเป็นอาชีพลับ แต่หนานกงมั่วก็ไม่คิดจะอยู่แบบปกปิดตัวตนไปตลอด ดังนั้น การกลับไปยังจวนหนานกงก็คงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
“เช่นนี้ ข้อเสนอที่ข้าให้ไปอู๋สยาไตร่ตรองดีแล้วหรือยัง”
หนานกงมั่วมองเว่ยจวินมั่วท่าทางประหลาดใจ “เจ้าคิดจะแต่งงานกับข้าจริงๆ น่ะหรือ”
“แน่นอน” เว่ยจวินมั่วมองไปยังหญิงสาว “เป็นรับสั่งของฝ่าบาท มิอาจขัดได้”
“งั้นท่านก็ควรต้องแต่งกับหนานกงซูจึงจะถูก” หนานกงมั่วอดกลั้นที่จะกลอกตา
เว่ยจวินมั่วส่ายหน้า “ฝ่าบาทพระราชทานสมรส บุตรีของตระกูลหนานกง เจ้าต่างหากที่เป็นบุตรีของหนานกงฮูหยิน แน่นอนว่าต้องแต่งกับเจ้า”
เป็นครั้งแรกที่หนานกงมั่วอยากแก้ตัวแทนหนานกงซู “หนานกงซูเองก็เป็นบุตรี” แม้มารดาของนางจะถูกแต่งตั้งขึ้นมาจากอนุภรรยาก็ตาม ทว่าตอนนี้ก็กลายเป็นภรรยาเอกแล้ว
“หนานกงซูเกิดมาก็เป็นเชื้อสายรองแล้ว”
ดังนั้นไม่เพียงแต่หนานกงซูเท่านั้นที่รังเกียจท่าน ท่านก็รังเกียจนางเช่นกันหรอกหรือ แต่ว่า…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า
“ดังนั้น อู๋สยาตัดสินใจได้แล้วหรือยัง” เว่ยจวินมั่วถามขึ้นอีกครั้ง “แม้ข้าจะยอมยกเลิกการหมั้นหมายไป ฝ่าบาทเองก็คงไม่มาไต่ถาม แต่กลับจินหลิงเมื่อใดเจ้าก็ต้องออกเรือนอยู่ดี ถึงตอนนั้น การแต่งงานของเจ้าก็จะถูกกำหนดโดยฉู่กั๋วกงและเจิ้งซื่อ”
“เว่ยซื่อจื่อไม่มีสิ่งใดที่ไม่พอใจต่อการแต่งงานครั้งนี้เลยหรือ” หนานกงมั่วกัดฟัน
“ไม่มี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้” เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
พระมหากรุณาธิคุณบ้าอะไรเล่า
มองหญิงสาวที่กำลังกัดฟันอยู่ตรงหน้า ดวงตาเย็นชานั้นปรากฏความขบขันให้เห็น ไม่ผิดเลย เขาพอใจมาก สตรีที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่แสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยามหรือหวาดกลัวออกมาให้เห็นเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เขาคิดว่าเมื่อกลับถึงเมืองหลวงแล้วคงต้องขอบพระทัยต่อพระมหากรุณาธิคุณอีกครั้งอย่างเป็นทางการ
“หากไตร่ตรองดีแล้ว” เนิ่นนาน หนานกงมั่วจึงเอ่ยตอบ
“?” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว
“ท่านคืนไข่มุกราตรีมาให้ข้าก่อนสิ”
“ไม่คืน” เว่ยจวินมั่วปฏิเสธอย่างไม่ลังเลแม้เพียงเล็กน้อย
“เหตุใดกันเล่า” หนานกงมั่วโมโหขึ้นมา
“ท่านอาจารย์มอบให้ข้า”
ตอนนี้เจ้ารู้จักเรียกท่านอาจารย์แล้วหรือ เมื่อครู่ไม่ได้เป็นใบ้หรอกหรือ
“เอ๋ นี่พวกเจ้ากำลังทำสิ่งใดกัน” ลิ่นฉังเฟิงเดินเข้ามาก็เห็นทั้งสองนั่งเงียบไม่ยอมเอ่ยวาจา จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
ทั้งสองหันกลับไป มองร่างที่กำลังเดินเข้ามาทางประตู
ลิ่นฉังเฟิงกอดผักกาดขาวในมือ ก้าวถอยหลังสองก้าว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการกระทำของเขานั้นจะส่งผลเสียต่อผักในมือจึงรีบวางมันลงไปบนโต๊ะ ยิ้มตาหยีเอ่ยบอก “สมแล้วที่เป็นบ้านเกิดของฉู่กั๋วกง ผู้คนที่นี่ช่างมีน้ำใจ ท่านน้าที่ให้เรายืมที่พักบอกว่าแม่นางมั่วไม่ได้กลับมาสองวันแล้ว ที่เรือนคงจะไม่ได้จัดเตรียมอาหาร จึงได้มอบสิ่งนี้มาให้เรา”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “พวกท่านคิดจะไปพักที่เรือนหลังใดกัน”
ลิ่นฉังเฟิงตอบ “ก็เรือนหลังที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน มีปัญหาหรือไม่”
ยกถ้วยชาขึ้น ใบหน้าของหนานกงมั่วปรากฏรอยยิ้มหวาน “ไม่มี นั่นคือบ้านลุงแปด บ้านของพวกเขายินดีต้อนรับแขกเสมอ”
รู้สึกว่ารอยยิ้มของแม่นางมั่วนั้นแปลกๆ
“เจ้ากลับมามีแผนอันใดหรือไม่” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม หนานกงมั่วพยักหน้า “ในเมื่อต้องจากไปแล้ว ก็จำเป็นต้องเตรียมตัวบ้าง”
ลิ่นฉังเฟิงมองไปทั่วบ้าน เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ที่นี่ยังมีสิ่งใดที่เจ้าอยากเอาไปด้วย”
หนานกงมั่วยิ้ม “แน่นอนว่าไม่น้อย ในเมื่อพวกท่านมาด้วยกันแล้วก็ช่วยข้าเก็บของเถิด” เพื่อประหยัดเงินที่ต้องไปจ้างคนในหมู่บ้านมาช่วย
ไม่นานลิ่นฉังเฟิงก็ได้รู้ว่าหนานกงมั่วกลับมาเพื่อสิ่งใด หนานกงมั่วเป็นหมอยาอย่างไม่ต้องสงสัย และแน่นอนว่านางยังเป็นนักฆ่า แม้ว่าเบื้องหลังจะทำการค้าที่เปิดเผยไม่ได้ แต่ไม่ว่าทางใดนางก็หนีไม่พ้นวัตถุดิบยา หากเป็นวัตถุดิบทั่วไปแน่นอนว่าหนานกงมั่วไม่ได้ใส่ใจ แต่ที่ตีนเขาท้ายหมู่บ้านนั้นเป็นสวนสมุนไพร ที่นี่ปลูกสมุนไพรหายากไว้มากมาย พื้นที่ตีนเขาตรงนี้นั้นเหมาะที่จะปลูกสมุนไพร นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ท่านอาจารย์และอาจารย์อาเลือกที่จะอาศัยอยู่บริเวณใกล้ๆ นี้ ในสวนยานั้นล้วนเป็นยาสำคัญที่เหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ได้มาเมื่อออกเดินทางรักษาผู้คน
บางครั้งอาจเจอสมุนไพรที่หายาก ทว่ายังไม่ถึงยามต้องเก็บเกี่ยว หากดึงดันเก็บมาอาจต้องเสียสรรพคุณทางยานั้นไป ทว่าเมื่อถอดใจคิดกลับไปเก็บครั้งหน้า สมุนไพรก็คงไม่อยู่รอที่เดิมแน่ ดังนั้นท่านอาจารย์และอาจารย์อาจึงใช้เวลาหลายปีเพื่อเพาะปลูกดูแลสวนนี้ขึ้นมา ไม่อาจสรุปเป็นอย่างอื่นไปได้ ยามนี้ยาสมุนไพรในมือของพวกเขานั้นไม่ได้น้อยไปกว่าสำนักหมอหลวงรักษาในพระราชวังเลย
ดังนั้น เว่ยจวินมั่วและลิ่นฉังเฟิง คุณชายผู้สูงส่งเมื่อยามที่อยู่จินหลิงนั้นตอนนี้ได้กลายเป็นแรงงานเก็บยาไปแล้ว ถูกคุณหนูหนานกงรังเกียจมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วในที่สุดทั้งคู่ก็ได้รับความไว้วางใจให้ช่วยเก็บยาสมุนไพร…ที่ดูไปแล้วก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากมายแล้ว
“แม่นางมั่ว เจ้าคิดจะ…เอายาสมุนไพรพวกนี้กลับจินหลิงงั้นหรือ” คุณชายลิ่นนั่งลงบนพื้นดินไม่สนใจความงดงามใดๆ นวดเอวที่ยืดตรงไม่ได้แล้ว
หนานกงมั่วกวาดตามองเขาราวกับเห็นคนโง่ แยกส่วนสีขาวออกจากกิ่งก้านอย่างระมัดระวัง วางไว้ในตะกร้าด้านข้าง “แน่นอนว่าไม่ใช่ เมืองหลวงอย่างจินหลิงไม่มีสิ่งใดบ้าง ข้าต้องเอายามากมายกลับไปทำไมกัน”
“นั่นก็ไม่แน่” หนานกงมั่วเห็นเขาเป็นคนไม่รู้วิชาหรืออย่างไร ยาสมุนไพรพวกนี้มีหลายชนิดที่เขาไม่รู้จัก และรู้ว่ามียาจำนวนมากที่ไม่มีขาย
‘พรึบ’ ก้อนดินเล็กๆ ลอยมาหาลิ่นฉังเฟิง “ระวังด้วย หากยานั้นมีปัญหา ท่านคงต้องเตรียมตัวขึ้นเขาไปเป็นวัวเป็นม้าให้อาจารย์ตลอดชีวิตแน่”
“ห๊า” ลิ่นฉังเฟิงชะงักค้าง มองสำรวจสมุนไพรที่แน่นิ่งอยู่ตรงหน้า เอ่ยถาม “ขอถามว่านี่เป็นยาหายากหรือเช่นไร กำจัดพิษร้อยชนิด หรือมีชีวิตยืนยาวกันเล่า”