“ลิ่นฉังเฟิง ต่อหน้าหวงจั่งซุนเจ้ามีสิทธิ์เอ่ยแทรกหรือ” ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งถัดจากหวงจั่งซุนเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีไม่มีความเกรงใจ
ทว่าเห็นว่าลิ่นฉังเฟิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเว่ยจวินมั่วกำลังเลิกคิ้ว เหลือบตามองชายหนุ่มผู้นั้น เอ่ยราบเรียบ “คุณชายอย่างข้ากำลังคุยกับเย่ว์จวิ้นอ๋อง เจ้ามาแทรกได้หรือ”
“เจ้า” ชายผู้นั้นชะงัก ใบหน้าแดงขึ้นมา ลุกขึ้นมาคิดจะลงมือกับลิ่นฉังเฟิง
“ลิ่นฉังเฟิง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เป็นลิ่นฉังเฟิงที่ไร้ส่วนบกพร่อง แต่กลับเป็นได้แค่ลูกน้องของเว่ยจวินมั่ว พี่ชายข้าน่ะอาจเป็นถึงจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องด้วยซ้ำ…”
“ถูกต้องทีเดียว” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยต่อ ไอสังหารวูบผ่านดวงตาไป ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม “แต่ตัวข้านั้นเป็นบุตรชายคนโตของสกุลลิ่นเชียวนะ เย่ว์จวิ้นอ๋อง ท่านก็คิดว่าข้าต่ำกว่าเชื้อสายรองของจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องด้วยหรือ”
ห้องทั้งห้องเงียบลง แน่นอนว่าเซียวเชียนเยี่ยจะเอ่ยเช่นนั้นไม่ได้ เพียงเขาเอ่ยก็ราวกับกำลังดูถูกตระกูลลิ่นที่เป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่แห่งจินหลิง อย่าคิดว่าบิดาของเขาจะนั่งอยู่บนตำแหน่งอย่างปลอดภัยได้อีก แม้ในความเป็นจริง ไหนเลยจะมีความสงบอยู่ หากลมพายุสงบก็คงไม่เกิดการลอบสังหารเขาที่หอนางโลมหรอก หากบอกว่าเชื้อสายหลักเทียบไม่ได้กับเชื้อสายรอง เช่นนั้นไม่เพียงท้าทายต่อสกุลลิ่นเพียงอย่างเดียว ยังท้าทายต่อเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหมด แม้ท่านปู่จะไม่ชื่นชอบขุนนางเหล่านี้ ทว่าเหล่าองค์ชายทั้งหลายยังต้องการแรงสนับสนุนจากขุนนางพวกนี้อยู่
“จวินเจ๋อเพียงไม่ระมัดระวังคำพูด เหตุใดฉังเฟิงต้องโกรธถึงเพียงนี้” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงหยัน หันหน้าหนีไม่สนใจชายหนุ่มสองคนที่ทำให้เขาโกรธอีก
คุณหนูใหญ่หนานกงที่ถูกลืมไปชั่วครู่ยืนหลบอยู่ด้านหลังเว่ยจวินมั่ว กำลังมองสังเกตทุกคนในห้องนี้ เซียวเชียนเยี่ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง สง่างามต่างจากคนทั่วไป มิน่าถึงได้ทำให้หนานกงซูหลงใหลได้เพียงนี้ ชายหนุ่มอีกสองคน คิดว่าน่าจะเป็นเชื้อสายรองจากสกุลเว่ย ได้ยินมาว่าจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องรับชายารองและมีบุตรชายสามคนหญิงสองคน ชายสองคนนี้ก็คงจะเป็นบุตรชายที่อายุมากที่สุดสองคนสินะ น่าเสียดาย ความร้ายกาจยังห่างไกลจากเว่ยจวินมั่วอยู่มาก หลายปีมานี้หากไม่มีจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องคอยปกป้อง เกรงว่าคงจะตายไปนานแล้วด้วยความโหดร้ายของเว่ยจวินมั่ว
“ผู้นี้คือคุณหนูหนานกงที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสให้พี่ใหญ่หรือ” เมื่อรู้ว่าตนสู้ลิ่นฉังเฟิงไม่ได้ เว่ยจวินเจ๋อไม่ลังเลที่จะย้ายสงครามโยนมาที่เว่ยจวินมั่ว แต่น่าเสียดายที่เขาเลือกผิดที่ผิดเวลา ไม่ว่าสกุลหนานกงจะมีทีท่าอย่างไรต่อเว่ยจวินมั่ว อาณาเขตของสกุลหนานกงไม่จำเป็นต้องยอมให้เชื้อสายรองของตระกูลไหนมากดขี่คุณหนูใหญ่ของตระกูลถึงที่ ในตอนนั้นเอง ดวงตาของหนานกงไหวและหนานกงชวี่จึงดุดันขึ้น หนานกงฮุยกำลังจะเอ่ยอะไรขึ้นมา ทว่ากลับได้รับสายตาห้ามปรามจากหนานกงไหว หนานกงชวี่เองก็ส่งสายตาบอกให้เขานิ่งเงียบเอาไว้
หนานกงมั่วยิ้ม เชยตาขึ้น “ถูกแล้วเจ้าค่ะ หากข้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ท่านนี้คือคุณชายที่เกิดจากอี๋เหนียง[1]ของจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องหรือเจ้าคะ”
“เจ้า!” เว่ยจวินเจ๋อกัดฟัน จ้องหนานกงมั่วเขม็ง ทว่ามองเห็นว่าหญิงตรงหน้าถึงแม้จะสวมชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนธรรมดา ทว่ากลับปกปิดความงดงามไม่มิด แตกต่างไปจากหญิงสาวเมืองจินหลิงที่เย่อหยิ่งทะนงตน อ่อนโยนงดงาม นางดูเฉยเมยทว่าเมื่อมีรอยยิ้มกลับงดงามจนทำให้ผู้คนยากจะถอนสายตา ดวงตาที่มองไปยังเว่ยจวินมั่วมีแววอิจฉา เว่ยจวินเจ๋อยิ้มเย็น “ข้าคือคุณชายสามแห่งจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เว่ยจวินเจ๋อ คุณหนูใหญ่หนานกง…ประทานให้คนเช่นพี่ใหญ่ น่าเสียดายแล้ว”
“ที่แท้คุณชายสามกำลังไม่พอใจแทนหนานกงมั่วนี่เอง ต้องขอบคุณมากเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วยิ้มหวานราวกับดอกไม้ ทว่ากลับกลายเป็นเย็นเยียบขึ้นมาทันใด “เป็นเชื้อสายรองของจวิ้นอ๋อง ยังกล้าตั้งคำถามต่อราชโองการของฝ่าบาท ช่างรนหาที่ตายเสียจริง ข้าเองก็อยากจะถาม ที่แท้จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องสั่งสอนเชื้อสายรองเช่นนี้เองหรอกหรือ ไม่เคารพพี่น้อง ไม่เคารพราชโองการ ช่างดีเสียจริง ท่านพ่อ เย่ว์จวิ้นอ๋อง พวกท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เสียงพลั่กดังขึ้นทันที เว่ยจวินเจ๋อตกใจล้มลงคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่เคารพราชโองการของฝ่าบาท นี่เป็นโทษประหารเก้าชั่วโคตร จ้องหญิงสาวตรงหน้าเขม็ง กู่ร้องเสียงดัง “เจ้าเหลวไหลแล้ว”
หนานกงมั่วเผยรอยยิ้มออกมา “ข้าเหลวไหลหรือ เมื่อสักครู่เย่ว์จวิ้นอ๋องเองก็ได้ยินกับหูของพระองค์เอง เย่ว์จวิ้นอ๋องทรงเป็นหวงจั่งซุน แน่นอนว่าต้องกตัญญูต่อฝ่าบาทอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น เราลองถามเย่ว์จวิ้นอ๋องว่าข้ากล่าวเหลวไหลหรือไม่” สีหน้าเว่ยจวินเจ๋อพลันถอดสี เหงื่อกาฬไหลพรากราวกับสายฝน
“หวงจั่งซุนโปรดลงโทษ กระหม่อมผิดไปแล้ว หวงจั่งซุนโปรดทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“หวงจั่งซุนได้โปรดอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยมองหญิงสาวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างครุ่นคิด จากนั้นหันกลับไปหาฉู่กั๋วกงที่นั่งอยู่อีกฝั่ง “กั๋วกง ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการเช่นไรดี”
ความวุ่นวายนี้ถูกผลักเข้าสู่อ้อมอกของหนานกงไหว ทว่าหนานกงไหวนั้นผ่านสนามรบมาแล้วกว่าสิบปี จะยอมโดนเด็กดูถูกได้เช่นไร จึงยิ้มพลางเอ่ยตอบ “แน่นอนว่าต้องเป็นไปตามพระประสงค์ของหวงจั่งซุนพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของเซียวเชียนเยี่ยสว่างวาบ เอ่ยเสียงเรียบ “เห็นแก่ท่านอาฉังผิง งั้นก็โบยสามสิบไม้เป็นการตักเตือนเถิด จำเอาไว้ก่อน กลับเมืองไปค่อยโบย” เชื้อสายตระกูลรองของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง แม้จะรังเกียจองค์หญิงฉังผิง แต่ตามกฎแล้วเชื้อสายรองเหล่านี้ยังต้องเรียกองค์หญิงฉังผิงว่ามารดา ดังนั้นเซียวเชียนเยี่ยเองจึงต้องเห็นแก่องค์หญิงฉังผิง บุตรชายทั้งสองของตระกูลเว่ยได้แต่กล่าวขอบคุณ เรื่องนี้จึงคลี่คลายไปเช่นนั้น เพียงแต่ผู้คนเหล่านี้นั้นได้เพิกเฉยต่อดวงตาเย็นชาของเว่ยจวินมั่วที่เย็นเยียบลงราวกับน้ำแข็ง
ความจริงเซียวเชียนเยี่ยก็จนปัญญาที่จะเข้าข้างเว่ยจวินเจ๋อ เห็นได้ชัดว่าเว่ยจวินเจ๋อมีโอกาสเป็นผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงเพียงสองส่วน อนาคตมีโอกาศถึงแปดส่วนที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะตกเป็นของเว่ยจวินปั๋ว ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องยังมีอายุไม่ครบห้าสิบปี จวนรัชทายาทอยากดึงจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมาเป็นพวกจึงจำเป็นต้องเข้าใกล้เชื้อสายรองทั้งสองของจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง สำหรับเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง…เยี่ยนอ๋องนั้นสนับสนุนเสด็จพ่อแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยนอ๋องจะสนับสนุนเขาเซียวเชียนเยี่ย สงครามนี้ไม่ได้เป็นเพียงสงครามระหว่างเหล่าองค์ชายเท่านั้น ยังมีการต่อสู้ของหวงจั่งซุนที่ไม่เคยหยุดหย่อนอีกด้วย
แม้หนานกงไหวจะไม่พอใจพี่น้องตระกูลเว่ยทั้งสอง แต่ไม่สามารถทำให้หวงจั่งซุนลำบากใจได้ จึงไม่ได้ถือสาหาความอีก คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพ่นลมหายใจออกมา สายตาที่มองไปยังหนานกงมั่วนั้นมีแววสงสัย เห็นได้ชัดว่าคุณหนูใหญ่หนานกงที่เติบโตมาในชนบทนั้นไม่ง่ายเลยที่จะต่อกรด้วย เซียวเชียนเยี่ยส่งสายตาตักเตือนไปให้พี่น้องตระกูลเว่ยทั้งสอง จากนั้นจึงหันมายิ้มให้หนานกงมั่ว “คุณหนูหนานกง พบกันครั้งแรกก็ไม่ธรรมดาเลย ฉู่กั๋วกงท่านช่างโชคดี”
“หวงจั่งซุนชื่นชมเกินไปแล้ว เด็กคนนี้วุ่นวายเป็นที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงไหวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เซียวเชียนเยี่ยเองก็ไม่ถือสา เอ่ยว่า “น้องชาย คุณหนูหนานกง คุณชายลิ่น เชิญนั่งเถิด”
“ขอบพระทัยเย่ว์จวิ้นอ๋อง” หนานกงมั่วและลิ่นฉังเฟิงเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เว่ยจวินมั่วยังคงเงียบขรึม คนอื่นต่างแปลกใจอยู่เล็กน้อยทว่าไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ลิ่นฉังเฟิงเชื่อมั่นในตัวเว่ยจวินมั่ว เอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆ “เย่ว์จวิ้นอ๋อง เหตุใดท่านถึงมีเวลามาที่นี่ได้หรือ”
[1] อี๋เหนียง อนุภรรยา