“…”
“หนึ่งแสนตำลึง”
“…”
“สามแสนตำลึง” เว่ยจวินมั่วกล่าวเสียงเรียบ ดวงตาหรี่มองหญิงสาวตรงหน้าไม่หยุด
“นี่มัน…” ใจเต้นแรงมากเลยทำอย่างไรดี ไม่ว่าชาติไหนก็ไม่เคยเจอใครมีเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ สามแสนตำลึงเลยนะ…ร่ำรวยสมกับเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ
“ห้าแสนตำลึง”
“ตกลง จ่ายเงินสดข้าจะรักษาทันทีเลย” สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อเงินตรา น่าฆ่าอันดับหนึ่งแห่งเอเชียผู้เคร่งขรึมต้องมาเสียท่าให้กับเงินของคนรวย ร่ำรวยแบบนี้…ยิ่งมากยิ่งดีสินะ
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว มองหญิงสาวที่ดวงตากำลังเปล่งประกายอยู่ตรงหน้า ชั่วครู่จึงหยิบตั๋วเงินหนึ่งปึกออกมาจากแขนเสื้อส่งให้นาง
ท่าหยิบเงินของคนรวยหล่อเหลาอะไรเยี่ยงนี้ รับเงินปึกนั้นมา รอยยิ้มของคุณหนูหนานกงยิ่งสดใสขึ้น รีบไปจัดยาที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้โดยไว หนานกงมั่วหยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมาเขียน ยื่นให้เขาด้วยท่าทางนอบน้อม “อาจจะทรมานเล็กน้อย รับรองภายในสามเดือนชีวิต…ไม่สิ อาการป่วยจะหายขาด หากยังมีอาการอื่นใดอีกก็มาหาข้า รวมทั้งโรคที่รักษาได้ยากด้วย”
เว่ยจวินมั่วเหลือบมองนางด้วยความสงสัย ส่งใบสั่งยามาให้ การรักษาต้องจ่ายเงินไปห้าแสนตำลึง นางคิดว่าจะเผาผลาญเงินเขาได้จริงหรือ
“แน่นอนข้าไม่คิดว่าเว่ยซื่อจื่อจะซวยขนาดนั้นหรอก แต่ว่า เพื่อนของท่าน ศัตรูญาติมิตรก็ได้ทั้งนั้น เพียงแค่มีเงินก็จะคุยกันง่ายกว่าหน่อย” หนานกงมั่วถือตั๋วเงิน เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
เว่ยจวิยมั่วพยักหน้า บางทีแนะนำผู้โชคร้ายให้นางสักสองสามคนเพื่อรักษาความสัมพันธ์หน่อยก็เป็นทางที่ไม่เลว “ข้าเอาสามส่วน”
รอยยิ้มของหนานกงมั่วชะงัก กล้ามาเอาส่วนแบ่งกับนางหรือ ชายผู้นี้เพียงแค่มีใบหน้าที่เย็นชาเท่านั้นหรอกหรือ
“ครึ่งส่วน”
“สองส่วน”
“หนึ่งส่วนครึ่ง”
“ตกลง”
“เหอะ” ดวงตากลอกไปมา หนานกงมั่วยิ้มเย็น “จะว่าไป เว่ยซื่อจื่อ ท่านไปเอาเงินมาจากไหนมากมายขนาดนี้” เงินติดตัวห้าแสนตำลึง นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปเขาทำกันหรืออย่างไร แสดงให้เห็นว่าห้าแสนตำลึงสำหรับบางคนมันเหมือนขนเส้นเดียวจากวัวเก้าตัวเท่านั้น แต่ว่า…จวนจิ้งเจียงทั้งหมดสามารถหาเงินสดห้าแสนตำลึงได้ในชั่วพริบตาเช่นนี้เลยหรือ
“รอเจ้าแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงเจ้าก็จะรู้เอง”
“…”
เมื่อคุยธุรเสร็จ เว่ยจวินมั่วจึงเตรียมหมุนตัวออกไป หนานกงมั่วคิดอยู่ชั่วครู่ ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ย “ช้าก่อน”
เว่ยจวินมั่วหันกลับมา หนานกงมั่วยิ้มเบิกบานราวกับดอกไม้ “ข้าอยากออกไปข้างนอก เว่ยซื่อจื่อไปส่งข้าได้หรือไม่”
“ไปที่ใด”
“กลับบ้าน” เอ่ยถูกต้องแล้ว สำหรับหนานกงมั่ว บ้านหลังเล็กๆ ในหมู่บ้านซีเฟิง และภูเขาด้านข้างหมู่บ้านซีเฟิงที่มีอาจารย์และอาจารย์อา ที่นั่นต่างหากที่เป็นบ้านของนาง เห็นได้ชัดว่าเว่ยจวินมั่วเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้ หันกลับมาและผายมือแทนคำพูด คิ้วสวยของหนานกงมั่วยกขึ้น ไม่ว่าอย่างไร การที่มีชายหล่อเหลาปฏิบัติด้วยท่าทางสุภาพบุรุษเช่นนี้ก็ทำให้หญิงสาวพึงพอใจไม่น้อย รูปหล่อเยี่ยงนี้ เหล่าหญิงสาวในเมืองจินหลิงทนได้อย่างไรกัน หรือแค่เพราะเขามีดวงตาที่แปลกประหลาดเท่านั้นเองหรือ
“คุณหนู” ทั้งสองเดินออกมา สาวใช้เฝ้าหน้าประตูก็เดินตามทันใด
หนานกงมั่วกวาดสายตามองเรียบๆ เอ่ยว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ อยู่เฝ้าเรือนเถิด”
สาวใช้มองสบตากันเล็กน้อย ไม่กล้าขัดความต้องการของหนานกงมั่ว ทำความเคารพช้าๆ “เจ้าค่ะ คุณหนู” คุณหนูใหญ่ไม่กลัวแม้กระทั่งนายท่านและฮูหยิน แน่นอนว่าพวกนางไม่กล้าขัดใจ ไม่พูดไม่ได้เลยว่าเหล่าสาวใช้ที่คอยเฝ้าอยู่ที่จวนหนานกงแห่งนี้ไม่ได้มีความรู้มากมาย ยิ่งซื่อตรงมาก หากเป็นสาวใช้ที่เจิ้งซื่อส่งมาล่ะก็ คงจะไม่เชื่อฟังเช่นนี้
ทั้งคู่เดินออกมาจากประตูเรือนไม้ไผ่ ก็มองเห็นเจิ้งซื่อและหนานกงซูเดินกรีดกรายใกล้เข้ามา เมื่อมองเห็นเว่ยจวินมั่วรอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้งซื่อและหนานกงซูก็แข็งค้างขึ้นมาทันใด เป็นเจิ้งซื่อที่มีสติและก้าวเดินออกมาด้านหน้าย่อตัวทักทาย “ซื่อจื่อ” เว่ยจวินมั่วมองลงมา ท่าทางเฉยเมยไม่สนใจสองแม่ลูกแม้เพียงเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อยของตระกูลหนานกงไหนเลยจะปิดบังเขาได้ ถึงเขาไม่นึกสงสัย คนมีเวลาว่างอย่างลิ่นฉังเฟิงก็คงไปสืบจนรู้เรื่องแล้วมาโอ้อวดกับเขา แน่นอน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของหนานกงซูและเซียวเชียนเยี่ย เมื่อคิดว่าความตั้งใจเดิมของฝ่าบาทคือให้หนานกงซูมาแต่งงานกับคุณชายเยี่ยงเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันใด ยังดีที่เขามองหนานกงไหวดีขึ้นมาเล็กน้อย หากคิดยืนยันจะให้หนานกงซูแต่งงานกับตน เขาจะแต่งหรือจะฆ่าทิ้งดีล่ะ
“ซื่อจื่อ” หนานกงซูก้าวขึ้นมาด้านหน้า ทำความเคารพต่อเว่ยจวินมั่ว
แม้แต่หนานกงมั่วเองยังต้องยอมรับว่าเว่ยจวินมั่วนั้นเป็นชายหนุ่มรูปงามทีเดียว หากดวงตาของหนานกงซูไม่บอด นางก็ต้องเห็นว่าเว่ยจวินมั่วนั้นหล่อเหลาเพียงใด ตัวหนานกงซูเองรู้ดี หากเอ่ยถึงเรื่องรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว รูปลักษณ์ของหวงจั่งซุนอย่างไรก็เทียบเว่ยจวินมั่วไม่ได้ เพราะต้นกำเนิดอย่างฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ไม่นับว่าหน้าตาดีอะไร แต่เยี่ยนอ๋องและองค์หญิงฉังผิงล้วนมีใบหน้างดงามมาจากมารดาของพวกเขาที่มีชื่อเสียงเรื่องความงามอยู่ก่อนแล้ว แต่น่าเสียดายเป็นหญิงงามที่อาภัพนัก ถือว่าความงามของเยี่ยนอ๋องเป็นมาตรฐานความงามของเหล่าเชื้อพระวงศ์เลยทีเดียว
น่าเสียดาย เว่ยจวินมั่วเกิดมาไม่ดีเท่าที่ควร ซ้ำยังมีดวงตาที่ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์อีกด้วย คนในราชวงศ์เซี่ยต่างต้องดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากการยึดครองของชนเผ่าอื่น โลกใบนี้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ลมตะวันออกกดลมตะวันตก ก็ต้องเป็นลมตะวันตกที่กดลมตะวันออก ครั้งในยามที่ชนเผ่าต่างๆ เข้ามายึดปกครองแผ่นดิน ประชาชนต่างต้องเผชิญกับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม ยามนี้ชาวจงหยวนได้ขึ้นมาปกครองชนเผ่าต่างๆ เขาจึงกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับความเท่าเทียม ลูกชายคนเดียว และบางทีอาจเป็นเพียงลูกชายคนเดียวที่มาจากชนเผ่าอื่น แบบนี้อย่าว่าแต่เป็นถึงผู้สืบทอดเลย แม้จะเป็นองค์ชายก็ยังต้องกลายเป็นฝุ่นอยู่ดี
การที่เว่ยจวินมั่วยังคงรักษาตำแหน่งผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงเอาไว้ได้ อีกทั้งฝ่าบาทยังทรงพระราชทานสมรสให้ ต้องขอบคุณองค์ชายสาม เยี่ยนอ๋อง องค์ชายหก ฉีอ๋อง ลุงทั้งสองของเขา ในยามที่ฮองเฮาองค์ก่อนยังอยู่นั้นทรงเอ็นดูองค์หญิงฉังผิงเป็นที่สุด และเว่ยจวินมั่วยังเคยมีความดีความชอบ เพราะเหตุผลเหล่านี้ทำให้จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจำต้องกัดฟันยอมให้เว่ยจวินมั่ว บุตรชายที่เขาไม่อยากยอมรับขึ้นรับตำแหน่งผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง
ผู้หญิงมักจะมีความไร้สาระอยู่ ไม่ชอบผู้ชายสักคนย่อมได้ ทว่ายอมรับไม่ได้หากชายผู้นั้นไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ยิ่งเป็นสาวงามด้วยแล้วก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าหนานกงซูก็ไม่ต่าง แม้นางจะไม่ยอมแต่งกับเว่ยจวินมั่ว ทว่าก็ยังหวังให้เว่ยจวินมั่วลุ่มหลงในตนเอง ดังนั้น จึงพยายามแสดงท่วงท่าที่งดงามที่สุดเพื่อทำความเคารพ
หนานกงมั่วรู้สึกสงสารสมองของหนานกงซูอยู่ในใจ หนานกงซูคิดว่าชายตรงหน้าจะเป็นเหมือนลูกพลับนุ่มๆ ให้นางนวดเล่นได้หรืออย่างไร หากยั่วยวนได้…เกรงว่าคงจะถอนตัวไม่ได้ง่ายๆ แน่นอน หนานกงซูยอมตายด้วยตนเองเช่นนี้ นางคงจะชื่นชอบไม่น้อยหากได้เห็นเข้า
เว่ยจวินมั่วไม่เอ่ยอันใด หนานกงซูยังคงย่อตัวอยู่
หนานกงมั่วมองฟ้ามองดิน เล่นแผ่นหยกในมือ ไม่หันไปมองสองแม่ลูกที่ใบหน้าเริ่มตึงขึ้นเรื่อยๆ