“ไปเถอะ จะออกไปข้างนอกมิใช่หรือ” รอจนเว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้นมา หนานกงซูจึงเผยรอยยิ้มอ่อนหวานออกมา แต่ไม่คิดว่าชายตรงหน้ากลับไม่มองนางเลยแม้เพียงเล็กน้อย ทว่าหันกลับไปหาหนานกงมั่วที่ยืนมองดินฟ้าอยู่ด้านข้าง คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น ยิ้มบางๆ “ข้าแค่ไม่อยากรบกวนเวลาเว่ยซื่อจื่อชื่นชมหญิงงาม”
“อู๋สยาหึงอย่างงั้นรึ ข้าไม่มองหญิงอื่นหรอก” เว่ยจวินมั่วบอกน้ำเสียงจริงจัง
รอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าหนานกงมั่วหล่นหายไปทันที จ้องมองใบหน้าเฉยชาของชายตรงหน้า ให้ตายเถอะ ใบหน้าเรียบเฉย กับคำพูดน้ำเสียงราวกับ ‘ข้าไม่ชอบกินหัวหอม’ นี่มันอะไรกัน จะหยอดคำหวานทั้งทีให้มันมีความจริงใจหน่อยไม่ได้หรืออย่างไรกัน หากเจ้าแสดงความรู้สึกออกมาแม้เพียงนิด ข้าก็จะพยายามหลอกตัวเองว่าเจ้ามีใจให้ข้าบ้างก็ได้
ส่งเสียงไม่พอใจในลำคอเบาๆ คุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงก็หมุนตัวเดินออกไป เผชิญหน้ากับชายหล่อเหลา ทว่าใบหน้ากลับคล้ายเป็นอัมพาต ดูไม่ออกทว่ามั่นใจได้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร แม้แต่หนานกงมั่วเองยังโกรธเคืองแล้ว
เดินตามหลังนาง ดวงตางดงามมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ ใบหน้ากลับไม่มีความรู้สึก เดินตามหลังนางช้าๆ
ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งเรือน เจิ้งซื่อสองแม่ลูกยืนมองร่างสองร่างที่เดินตามกันออกไปเนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับมา หนานกงซูโกรธจนตัวสั่น ใบหน้าเขียวขึ้น “ท่านแม่…” นังบ้าหนานกงมั่ว กล้า…ช่างกล้า…
เจิ้งซื่อกัดฟัน เอ่ยด้วยความโกรธ “ข้าเองก็อยากรู้ว่าเด็กคนนี้จะอวดเก่งไปถึงเมื่อใดกัน รอกลับถึงจินหลิงจะได้เห็นดีกัน นางพึ่งกลับมาพ่อเจ้าเอ็นดูนางเป็นเรื่องธรรมดา ช่วงนี้อย่างพึ่งหาเรื่องนาง อย่างไรรอให้นางทำลายตัวเองเถิด”
หนานกงซูพยักหน้า คิดอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ย “ท่านแม่ เว่ยจวินมั่วรู้เรื่องใดหรือไม่ หรือหนานกงมั่วจะเอ่ยสิ่งใดเลวร้ายถึงเราหรือไม่”
เจิ้งซื่อมองบุตรสาวอย่างจนปัญญา เอ่ยว่า “เว่ยจวินมั่วมิได้หูหนวกตาบอด เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เขาจะไม่รู้สิ่งใดเลยอย่างนั้นหรือ จะปฏิบัติตัวดีกับเจ้าได้อย่างไร เจ้าฟังมารดา อย่าไปยั่วยวนเขา สิ่งสำคัญตอนนี้คือหวงจั่งซุน” เมื่อเอ่ยถึงหวงจั่งซุน ใบหน้าของหนานกงซูก็แสดงความเขินอายออกมา พยักหน้าอย่างว่าง่าย “ลูกทราบแล้ว วันพรุ่งนี้ลูกจะไปเยี่ยมหวงจั่งซุนเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้ถูกแล้ว รอเจ้าเป็นชายาของหวงจั่งซุน เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วมีสิ่งใดน่ากลัวกัน”
“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
เมื่อหนานกงไหวและหนานกงชวี่ได้รับรายงานว่าคุณหนูใหญ่หนานกงออกไปกับผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงแล้ว หนานกงไหวโกรธจนอยากทำลายโต๊ะหนังสือตรงหน้าอยู่แล้ว นางคิดว่าจวนหนานกงเป็นโรงเตี๊ยมหรืออย่างไร อยากมาก็มาอยากไปก็ไป
ความจริงหนานกงไหวเข้าใจผิดแล้ว เพราะในใจของหนานกงมั่ว จวนหนานกงสู้โรงเตี๊ยมไม่ได้ด้วยซ้ำไป อย่างน้อยโรงเตี๊ยมจ่ายเงินไปเล็กน้อยก็อยู่ได้ ไม่ต้องมีใครมารกหูรกตาด้วย
ใบหน้าสบายอกสบายใจมองเว่ยจวินมั่วเดินอยู่บนถนน แม้ทั้งสองจะโดดเด่น ทว่าคนที่รู้จักพวกเขานั้นมีไม่มาก ยิ่งเวลานี้มีเหล่าบรรดาชนชั้นสูงมากมายมาเยือนยังเมืองตานหยาง อย่างมากผู้คนที่ผ่านไปมาก็เพียงสงสัยว่าพวกเขาเป็นคุณหนูคุณชายบ้านใดออกมาเดินบนถนนก็เท่านั้น เมื่อเดินอยู่เคียงข้างเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายของเว่ยจวินมั่ว ราวกับ…แม้เขาจะเดินอยู่ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมา แต่ก็ยังดีกว่าตอนที่อยู่ในเมืองจินหลิง เมื่อเทียบกับคนในตระกูลหนานกงแล้วก็ผ่อนคลายมากกว่า
หนานกงมั่วรู้ดี สิ่งที่ทำให้ผู้คนต่างมองเว่ยจวินมั่วเป็นตัวประหลาด เป็นเพราะดวงตาคู่นั้นของเขา เมื่ออยู่ด้านนอกแน่นอนว่าไม่มีใครรู้ได้ว่าเขาคือผู้ใด ทว่าดวงตาคู่นั้น…เพียงแค่เขาไม่มองสบตากับใคร ก็ไม่มีใครกล้ามองดวงตาของเขา แต่ชาวเมืองจินหลิงมีข่าวของเว่ยจวินมั่วแพร่งพรายไปทั่ว ไม่ว่าจะหล่อสวยเพียงใด เพียงได้ยินชื่อเว่ยจวินมั่วก็มักจะมีความรังเกียจเดียดฉันท์ เย้ยหยัน หวาดกลัวแสดงออกมาให้ได้เห็น
มิน่าเว่ยจวินมั่วถึงได้มีใบหน้าเป็นอัมพาตเช่นนี้ หนานกงมั่วเริ่มเห็นใจเขาขึ้นมา เขาเพียงแค่เกิดผิดยุคผิดสมัย หากเขาไปเกิดในโลกก่อนของนาง เพียงแค่เขากระดิกนิ้วก็คงมีหญิงสาวมากมายวิ่งเข้ามายอมเป็นสาวในฮาเร็มของเขาเป็นแน่
เว่ยจวินมั่วมองหญิงตรงหน้าที่มองไม่ออกว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงได้มีใบหน้าเห็นใจตนเช่นนี้เผยออกมา
ตั้งแต่แรก เดิมทีเขายังมองหญิงสาวตรงหน้าไม่ออก เป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงแท้ๆ ทว่ากลับถูกหนานกงไหวส่งไปใช้ชีวิตตัวคนเดียวตั้งแต่อายุสิบเอ็ดขวบที่ชนบทเป็นเวลาห้าปี ทว่าหญิงสาวกลับไม่ได้ขี้ขลาดเหมือนชาวบ้านทั่วไป และยังไม่มีความขุ่นเคืองและความโกรธ แม้นางจะไม่ได้ปิดบังถึงความเย็นชาที่มีต่อตระกูลหนานกง ทว่านางกลับยังคงรักษาท่าทีของนางไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทั้งทำให้หนานกงไหวโกรธและป้องกันตนเองให้ถอยออกมา เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นนางจะกลายเป็นคนอ่อนหวานจิตใจดี ประพฤติตนเหมาะสม แม้กระทั่งเสด็จลุงของเขาที่เข้มงวดก็ยังมองออกว่าเอ็นดูนางมาก เว่ยจวินมั่วนั้นไม่อาจลืมสายตาของหนานกงมั่วที่มองมาที่เขาในครั้งแรกที่เจอกันได้ นางไม่ได้มีความสนใจต่อเขา เว่ยจวินมั่วแต่อย่างใด ทว่านางกลับอยากได้ดวงตาของเขา ช่วงเวลานั้น แม้จะเป็นคนสงบนิ่งอย่างเว่ยจวินมั่วก็รู้สึกหนาวยะเยือกอยู่บ้าง มีความรู้สึกราวกับว่าหากอยู่กันเพียงสองคนนางคงจะยื่นมือออกมาควักลูกตาของเขาออกไปจริงๆ
“ควักออกมาแล้วไม่นานมันก็เสีย” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่เป็นไร…เอาไปแช่ในน้ำยาได้…” หนานกงมั่วพึมพำตอบ นางเคยชอบอะไรมามากมาย ทว่าไม่เคยหลงใหลสิ่งใดเท่าดวงตาสีม่วงคู่นี้เลย นางไม่เคยเห็นคนที่มีดวงตาสีม่วงมาก่อนนี่ ไม่ทันระวังก็หลงรักในดวงตาสีม่วงคู่นี้เข้าแล้ว คล้ายกับ…การเอาสมบัติล้ำค่ามาวางตรงหน้าหญิงสาวเพื่อหลอกล่อให้ขโมยมันไป
“…” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว
“เอ่อ…อ่า ฮ่าๆ ข้าหมายถึงมีน้ำยารักษาความสด เว่ยซื่อจื่อมีอะไรอยากเก็บรักษาเอาไว้หรือไม่ ขายให้ท่านเพียงห้าแสนตำลึงเท่านั้น” หนานกงมั่วยิ้มออกมาอย่างประจบสอพลอ “แต่ว่า เว่ยซื่อจื่อพูดถึงสิ่งใดหรือที่ว่าควักออกมาแล้วมันจะเสีย”
เว่ยจวินมั่วมองนางเงียบๆ หมุนตัวเดินจากไป
ด้านหลัง หนานกงมั่วแอบเช็ดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงของตน ชายผู้นี้อันตรายเกินไป รีบหนีไปดีกว่า
“ไปไหน” หนานกงมั่วกำลังจะหมุนตัวเดินหนี ด้านหลังกลับมีเสียงเรียบดังขึ้น
หนานกงมั่วหันกลับมาแล้วส่งยิ้มให้ “ข้าออกมาได้แล้ว ไม่รบกวนเว่ยซื่อจื่อแล้ว ข้ากลับบ้านเองได้”
“ไปจวนเยี่ยนอ๋องกับข้าก่อน”
“ทำไมข้าต้องไป” หนานกงมั่วไม่เข้าใจ เว่ยจวินมั่วยิ้มเย็น เลิกคิ้วแล้วตอบกลับไปว่า “รับเงินข้าไปห้าแสนตำลึง ทิ้งไว้เพียงใบสั่งยาใบเดียวก็พออย่างนั้นหรือ ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าสิ่งที่เจ้าให้มานี้มันจริงหรือปลอม นี่เป็นวิธีการรักษาของคุณหนูหนานกงอย่างนั้นหรือ”
“…” เจ้าพูดแบบนี้ได้เก่งทีเดียว องค์หญิงฉังผิงจะรับรู้บ้างหรือไม่ ช่างพูดได้อย่างเฉยชาทีเดียว
รับเงินคนถึงได้กำจัดคน เว่ยจวินมั่วเป็นเศรษฐี และเศรษฐีเพิ่งบอกว่าหากนางไม่รับผิดชอบเศรษฐีจะคืนของ หนานกงมั่วจึงจำต้องตามเขาไปยังจวนเยี่ยนอ๋อง
จวนของเชื้อพระวงศ์และขุนนางในราชสำนักต่างถูกสร้างอยู่ล้อมรอบพระราชวัง เพียงบังเอิญที่จวนของเยี่ยนอ๋องและจวนหนานกงนั้นอยู่คนละมุมพอดีจึงไกลมากทีเดียว กระทั่งให้บ่าวไปรายงานยังไม่ต้อง เดินเข้าห้องโถงใหญ่จวนเยี่ยนอ๋องไปพร้อมกับเว่ยจวินมั่วได้เลย เยี่ยนอ๋องและพระชายากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นเว่ยจวินมั่วเข้ามาใบหน้าเคร่งเครียดก็อบอุ่นขึ้น “จวินมั่ว คุณหนูหนานกงก็มาด้วยหรือ นั่งก่อนเถิด”