“ลิ่นฉังเฟิง!” หนานกงชวี่หน้าตึงในทันที จ้องลิ่นฉังเฟิงเขม็ง แน่นอนลิ่นฉังเฟิงเองก็รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าพอดี แสยะยิ้มนั่งลงไม่เอ่ยอะไรอีก ทว่าไม่ยอมลุกออกไปแต่อย่างใด
“ชิงเอ๋อร์” หนานกงฮุยถอนหายใจอยู่ในใจ มองน้องสาวแล้วเอ่ยว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าโกรธพี่ใหญ่เลย เมื่อคืนเจ้าไม่กลับมาทั้งคืนพี่ใหญ่เป็นห่วงเจ้ามาก”
หนานกงมั่วพยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าได้ยินแล้ว เอ่ยถามกลับไป “มาหาข้ามีธุระอันใดกัน”
หนานกงฮุยบอก “เมื่อวานกว่าจะรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นก็ดึกแล้ว วันนี้ท่านพ่อและพวกเราจึงเข้าเมืองมา ชิงเอ๋อร์เจ้ายังไม่เจอท่านพ่อ ไปพบท่านพ่อด้วยกันกับพวกเราดีหรือไม่” หนานกงฮุยไม่ได้ขอร้องหนานกงมั่วให้ไปพบหนานกงไหวอย่างตอนแรกที่เจอกัน แต่กลับค่อยๆ หว่านล้อมถามความสมัครใจ ถึงแม้จะรู้จักกับน้องสาวผู้นี้ได้ไม่นาน ทว่าหนานกงฮุยก็ดูออก ชิงเอ๋อร์ต่อต้านพวกเขาและท่านพ่อเป็นอย่างมาก นางไม่สนใจจวนกั๋วกงเสียด้วยซ้ำ
หนานกงมั่วมองสำรวจลิ่นฉังเฟิงผู้นั่งดูเหตุการณ์อยู่ชั่วครู่ นางพยักหน้า เดิมนางเองไม่ได้อยากหลีกหนีไม่พบเจอ นางไม่ได้อยากหลบหน้าหนานกงไหว เมื่อวานที่ไม่พบเจอเพราะนางยังมีความแค้นที่ไม่ใช่ของตนเองค้างคาอยู่ในใจ ในเมื่อไม่ใช่อารมณ์ของนาง เมื่อผ่านไปหนึ่งคืนมันก็สงบลงแล้ว
หนานกงชวี่และหนานกงฮุยพ่นลมหายใจเบาๆ อยู่ในใจ บางทีอาจเพราะรู้สึกละอายใจ พวกเขามักรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
ลิ่นฉังเฟิงยิ้มพลางเอ่ย “แม่นางมั่วใช้ไม่ได้เสียจริง ที่แท้เจ้าก็คือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนานกง น่าเสียดาย ยัง…”
“คุณชายลิ่น พวกข้ายังมีเรื่องอีกมาก คงอยู่คุยด้วยมิได้แล้ว” หนานกงชวี่เอ่ยขัดเขาอย่างไม่เกรงใจ หนานกงมั่วแปลกใจ มองชายที่ทำสีหน้าทะเล้นส่งมาให้นางก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง ลิ่นฉังเฟิงก็น่าสนใจ ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อทั้งสามมีกิจต้องทำ คุณชายอย่างข้าก็ไม่รบกวนแล้ว แม่นางมั่ว ตกลงกับข้าแล้วนะว่าเจ้าจะช่วยชี้แนะข้า อ้อ ฉู่กั๋วกงอยู่ที่พระราชวังสินะ ไม่แน่ว่าอีกหน่อยเราอาจจะได้เจอกันอีกก็ได้”
“ไม่ส่ง” หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเจอลิ่นฉังเฟิงเลยสักนิด
เมื่อลิ่นฉังเฟิงจากไปแล้ว หนานกงชวี่จึงถอนหายใจ มองหนานกงมั่วที่กำลังนั่งกินอาหารเช้าต่อ “ชิงเอ๋อร์กินอาหารเช้าเสร็จแล้วเราไปกันเถิด” หนานกงมั่วเองไม่ต้องการให้ชายทั้งสองมองตนกินอยู่ฝ่ายเดียว นางรู้สึกกดดัน “อาการเช้าร้านนี้ไม่เลว พวกท่านเคยกินแล้วหรือยัง”
หนานกงชวี่กำลังจะปฏิเสธ แต่ยังไม่ทันเอ่ยออกมาก็ต้องกลืนกลับเข้าไปเพราะหนานกงฮุย “ชิงเอ๋อร์เข้ามาพักที่ตานหยาง เจ้าบอกอร่อยก็ต้องอร่อยเป็นแน่ พอดีข้ากับพี่ใหญ่ยังไม่ได้กิน พี่ใหญ่ นั่งลงแล้วกินด้วยกันเถิด”
ด้านนอก ลิ่นฉังเฟิงหันกลับไปมองในโรงเตี๊ยม สาวเท้าเดินเข้าร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม ตรงขึ้นไปยังชั้นสองก็มองเห็นใครบางคนกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง เลิกคิ้วถามด้วยเสียงหัวเราะ “ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าจะเขินอายไปทำไม เห็นอยู่ว่าคุณหนูมั่วเป็นผู้หญิงอ่อนโยน ใจกว้าง สวย อีกทั้งยังฉลาดอีกด้วย”
เว่ยจวินโม่ดูเฉยเมย กวาดสายตามองเขา “พูดเหลวไหลอันใด”
“เฮอะ” ลิ่นฉังเฟิงเย้ยหยัน “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ แม่นางมั่วไม่ได้ชอบเจ้าสักนิด หากต่อไปเจ้าไม่อยากแต่งกับหนานกงซูหญิงโง่เขลาผู้นั้น ให้บนหัวของเจ้าได้เป็นสีเขียว[1]ทางที่ดีไปหาแม่นางมั่วและสร้างความประทับใจให้นางจะดีกว่า”
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว ราวกับไม่นึกโกรธอันใด ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยต่อ “อย่างไรเสีย หากข้าเป็นหนานกงไหว ได้เห็นความฉลาดโดดเด่นของบุตรีคนโตแบบนี้ คงไม่คิดเรื่องการแต่งงานแทนที่โง่เขลาเช่นนั้นเป็นแน่ เมื่อเปรียบเทียบกับหนานกงซูผู้ที่ถูกลิขิตให้ต้องเสียชื่อเสียง กับบุตรีคนโตที่กตัญญูต่อมารดา มีชื่อเสียงจิตใจดี ฉลาดหลักแหลมและใจกว้าง คงมีประโยชน์กว่ามิใช่หรือ ไม่ว่าต้องแต่งงานกับองค์ชายหรือหลานคนใดของฝ่าบาท อย่างไรก็มีหน้ามีตาอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ
หากเห็นความแตกต่างของหนานกงมั่วและหนานกงซู แล้วหนานกงไหวยังอยากให้บุตรีคนโตแต่งงานแทนอยู่ นั่นแสดงว่าสมองมีปัญหาแล้ว แน่นอน พวกเขาเองก็หวังว่าสมองของหนานกงไหวจะมีปัญหาต่อไป หากต้องแต่งกับหนานกงซูผู้นั้นเข้าจริงๆ ล่ะก็…ลิ่นฉังเฟิงคิดว่าในวันงานพิธีต้องมีใครบางคนจ้างเขาไปทำสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ เพื่อให้การเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเป็นไปอย่างราบรื่นเป็นแน่
เว่ยจวินมั่วผู้นี้หน้าเนื้อใจเสือ คิดจะให้เขามากล้ำกลืนอดทนเพื่อให้ผู้อื่นมาสวมหมวกเขียวให้ คงเป็นได้แค่ฝันเท่านั้นล่ะ
“นี่ ข้าพูดมาตั้งนานนมเจ้าตอบแค่ อืม คำเดียวนี่น่ะหรือ” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ นี่เป็นใครที่ต้องแต่งงานกันแน่
“อืม” เว่ยจวินมั่วเคลื่อนสายตาต่ำลง มองไปยังถ้วยชาพลางเอ่ยตอบรับ
“หมายความเยี่ยงไร”
เว่ยจวินมั่วลุกขึ้น กล่าวเสียงเรียบ “ข้ารู้แล้ว เจ้าดื่มไปเถอะ อย่าลืมจ่ายเงินด้วย”
“เจ้านี่ เจ้าจะไปที่ใดอีก” อารมณ์ไม่พอใจของลิ่นฉังเฟิงปะทุขึ้น
“พระราชวัง” ทิ้งไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหายออกจากประตูไป
“เหอะ ท่าทางเรียบเฉยนั่น ยังคิดว่าเจ้าไม่ร้อนใจซะอีก” คุณชายฉังเฟิงอารมณ์เย็นลง ย่นจมูก ได้ยินที่เขากล่าวก็รีบออกไปแล้ว เดิมยังคิดว่าจะนิ่งและยอมรับชะตากรรมเสียอีก
หากเวลานี้เว่ยจวินมั่วได้ยินความคิดของใครบางคน เขาคงจะตอบว่า เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว
ยืนอยู่ด้านล่าง เว่ยจวินมั่วเงยหน้ามองฟ้า ยกมือขึ้นบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาที่ดวงตา เมื่อเทียบกับหนานกงซู หนานกงมั่วนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ทว่า…เรื่องราวในอนาคตใครจะไปรู้ล่ะ เมื่อเทียบกับหนานกงซูแล้ว เกรงว่าหนานกงมั่วคงจะรับมือได้ยากกว่า หากว่า…นางก็ไม่ยินดีแต่งเข้าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเล่า
ผู้ใดจะยินดีกัน หลังจากส่ายหน้า คิ้วคมของชายหนุ่มผู้หยิ่งผยองก็เผยความรู้สึกเย้ยหยันออกมา
เมื่อได้ข่าวการลอบสังหารหวงจั่งซุน หนานกงไหวก็รีบกลับเข้าวังทันใด เมื่อเจอหวงจั่งซุนแล้วเห็นว่าหวงจั่งซุนได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจึงพ่นลมหายใจออกมา เดิมทีช่วงเวลานี้ของทุกปี เบื้องบนจะมีรับสั่งให้เหล่าองค์ชายและลูกหลานมายังเมืองตานหยางเพื่อไหว้บรรพบุรุษ ทว่าเพลานี้เหล่าองค์ชายต่างมีอาณาเขตเป็นของตนแล้ว จะจากไปก็คงยาก ดังนั้นการไหว้บรรพบุรุษจึงมีแต่หลานของฮ่องเต้ ทุกปีจะส่งองค์ชายเพียงสองพระองค์มาดูล่วงหน้าก่อน ปีนี้มาถึงรอบขององค์ชายสาม เยี่ยนหวังเซียวโยวและองค์ชายสี่ โจวหวังเซียวเหมย ทว่าทั้งสองต้องเดินทางมาจากอาณาจักรของตนเอง แน่นอนว่าต้องช้ากว่าหลานที่มาจากจินหลิงเป็นแน่แท้ และยามนี้ยังคงมาไม่ถึง
รัชทายาทเองก็อดรู้สึกยินดีไม่ได้ โชคดีที่องค์ชายทั้งสองยังมาไม่ถึง ไม่เช่นนั้น…แม้เยี่ยนอ๋องอาจไม่เอ่ยอะไร ทว่าโจวอ๋องคงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่ อย่างไรเสียหวงจั่งซุนก็มาเพื่อเป็นตัวแทนของฮ่องเต้ ทว่ากลับไปโดนลอบสังหารที่หอนางโลม เรื่องนี้หากฮ่องเต้รับรู้คงไม่ใช่เรื่องเล็ก โจวอ๋องคงกัดไม่ปล่อยแน่นอน ความจริงหวงจั่งซุนโดนลอบสังหารที่หอนางโลมมีคนรู้ไม่น้อยเลย ทว่าต่างปิดบังเพื่อไม่ให้ท่านผู้นั้นของเมืองจินหลิงได้รับรู้ เรื่องแบบนี้เป็นธรรมดาที่จะปิดเบื้องบนไม่ปิดเบื้องล่าง ยิ่งไปกว่านั้นอารมณ์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั้น…ไม่ใช่เรื่องดีเลย
จากตำหนักฉางอานที่พำนักของหวงจั่งซุนกลับมาถึงจวนหนานกงที่อยู่รอบนอกพระราชวัง เจิ้งซื่อและลูกสาวก็รีบเข้ามาต้อนรับ หนานกงซูถามด้วยความกังวล “ท่านพ่อ หวงจั่งซุนเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ” หนานกงไหวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่เป็นไร เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย” สำหรับหวงจั่งซุนผู้นี้ หนานกงไหวไม่ค่อยชื่นชอบเท่าไร อยู่ในฐานะหวงจั่งซุน ด้วยความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่โดยการเป็นตัวแทนมาไหว้บรรพบุรุษ ทว่าเขากลับไปเที่ยวหอนางโลมจนถูกลอบสังหาร หนานกงไหวไม่มีความเห็นเกี่ยวกับหอนางโลม สิ่งที่เขาไม่พึงพอใจก็คือหวงจั่งซุนไม่รู้จักหนักเบา ไม่ว่าเขาจะไปเองหรือถูกผู้ใดพาไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่ราชตระกูลสวรรค์ควรปฏิบัติ
[1] ในที่นี้หมายถึงการสวมหมวกเขียว ซึ่งหมายถึงสวมเขา คือการที่คนรักนอกใจหรือไปมีชู้