หนานกงไหวส่งเสียงไม่พอใจ ความโกรธในใจสงบลงแล้ว เอ่ยว่า “มารดาของเจ้าจากไปแล้ว ข้าแต่งตั้งเจิ้งซื่อขึ้นเป็นภริยาเอก แม้ว่านางจะมาทีหลัง แต่ตามหลักการ เจ้าต้องเรียกนางว่าท่านแม่”
หนานกงมั่วไม่ยอมขยับ เอ่ยเพียงว่า “ฮูหยินมีหนังสือแต่งตั้งจากฝ่าบาทแล้วหรือ”
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างหน้าถอดสี สีหน้าของเจิ้งซื่อและหนานกงซูไม่น่ามอง คำพูดของหนานกงมั่ว ทิ่มลึกเข้าไปยังส่วนลึกในใจของเจิ้งซื่อ นางเป็นฮูหยินของฉู่กั๋วกง ทว่ากลับไม่มีหนังสือแต่งตั้งจากฮ่องเต้
ตระกูลใหญ่มีกฎมากมาย ครอบครัวไม่เคยกล่าวถึงเรื่องสิทธิ ในสายตาของผู้คนเหล่านั้น ภรรยาก็คือภรรยา ภรรยารองก็คือภรรยารอง ภรรยารองก็คือบ่าว จะให้ภรรยารองขึ้นปกครองได้เยี่ยงไร เหล่าคุณชายคุณหนูทั้งหลายที่กำเนิดจากชนชั้นสูงต้องให้ความเคารพกับแม่เลี้ยงที่ฐานะต่ำต้อยหรือ อยู่กับคู่ที่ตัวเองชื่นชอบนั้นแน่นอนว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งกว่าภรรยาที่บ้าน แต่ในขณะเดียวกัน สามัญชนเองก็ไม่ชื่นชอบชนชั้นสูงเพราะพวกเขาไม่ได้เกิดมาสูงส่ง สำหรับตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมานานหลายศตวรรษ ผู้แพ้มักจะมีความรู้สึกไม่ยินยอมและริษยาอยู่
ฮ่องเต้เองก็ไม่ได้รู้สึกยินดีกับเรื่องครอบครัวนัก แต่ถึงแม้จะมีชื่อเสียงโหดร้าย ฆ่าคนราวกับเห็นเป็นเพียงหัวกะหล่ำปลี ทว่ายังคงให้ความสำคัญกับพระชายาอย่างมาก พระองค์เชื่อว่าการมีภรรยาควรอยู่ครองคู่เกื้อกูลและสนับสนุนกัน ไม่ยินดีให้ผู้ใดแต่งตั้งภรรยารองขึ้นมาเทียบเท่า จึงมีรับสั่งหากผู้ใดแต่งตั้งภรรยารองขึ้นมาจะมิได้รับการเลื่อนยศหรือตำแหน่ง ขุนนางเหล่านั้นจึงเริ่มหยุดไปบ้าง
นับแต่นั้นมา ฮ่องเต้ก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจริงหรือ ทั้งที่ไม่ได้ห้ามให้รับภรรยาเพิ่ม เพียงไม่เลื่อนตำแหน่งเท่านั้นเอง หากความรู้สึกลึกซึ้งจริงล่ะก็คงไม่ต้องใส่ใจยศตำแหน่งใช่หรือไม่ ย้อนกลับไปเมื่อก่อนยามที่เราจน ฮองเฮาของเราเป็นลูกหลานตระกูลนักปราชญ์ยังไม่รังเกียจเราเลย เมื่อสร้างประเทศ สมบัติในท้องพระคลังนั้นแทบจะว่างเปล่า เลี้ยงภรรยาน้อยลงสักคนคงเป็นการดี เพื่อไม่ให้ฮองเฮาต้องประหยัดอะไรมากเกินไป
แต่ว่าขณะที่ฮ่องเต้พึงพอใจ เหล่าขุนนางผู้ที่รับภรรยามากมายต่างอยากร้องห่มร้องไห้ หญิงที่เป็นภรรยาเอก นับว่าถูกแต่งตั้งแตกต่างจากภรรยารองเยี่ยงไรกัน เหตุใดพวกนางถึงไม่สามารถสวมชุดเกียรติยศสูงศักดิ์เข้าวังไปพบปะกับฮองเฮาและท่านหญิงในวังทุกๆ เดือน กระทั่งไม่สามารถเข้าร่วมพิธีสำคัญของแคว้นได้ พวกนางทำได้แค่เดินไปมาอยู่ในจวน มีฮูหยินเป็นหน้าเป็นตาเพียงผู้เดียวก็พอแล้ว เช่นนั้นแล้ว เมื่อเหล่าฮูหยินของกั๋วกงพบเจอกัน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องทำความเคารพกัน เมื่ออีกฝ่ายเป็นชนชั้นสูงและอีกฝ่ายเป็นเพียงชนชั้นที่ควรคุกเข่าให้ เยี่ยงนี้คงขายขี้หน้าเป็นแน่ โดยทั่วไปแล้วจะต้องเป็นดังนั้น ผู้ที่ชาญฉลาดย่อมไม่ใช้วิธีการนี้มาตบหน้าตัวเองเป็นแน่
และยามนี้ เจิ้งซื่อกำลังถูกหนานกงมั่วตบหน้าด้วยคำพูดนั้น
“ท่าน…” เจิ้งซื่อเสียใจ ทว่านางกลับทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นราชโองการของฮ่องเต้ ฝ่าบาทเองยังกล่าวว่าชาตินี้ทั้งชาติจะไม่แต่งตั้งฮองเฮาแล้ว และไม่ยอมให้เหล่าขุนนางแต่งตั้งภรรยารองของตนขึ้นเป็นใหญ่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนสามัญอย่างนาง ดังนั้น เกรงว่าเมื่อฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว ท่านพี่ก็คงไม่มีทางยื่นฎีกาขอตำแหน่งให้เป็นแน่ ชาตินี้ทั้งชาตินางคงไม่มีโอกาสได้รับการแต่งตั้งเป็นแน่แท้ ต่อไปเมื่อตายไป หลุมฝังศพของนางก็ต้องอยู่ด้านหลังหนานกงฮูหยินไม่ใช่อยู่เคียงข้างอีกฝั่งของหนานกงไหว
“พี่ใหญ่ ไยท่านถึงกล่าวเช่นนี้เล่า…” หนานกงซูรู้สึกโกรธ ใบหน้าเผยความน่าสงสารออกมา ดวงตาคู่นั้นแดงขึ้นทันใด
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา แคว้นจึงได้เกิดความสงบสุข แม้ประชาชนอย่างข้าจะไม่สามารถแบ่งเบาภาระความกังวลได้ แต่ควรเคารพและฝึกฝนตามราชโองการ ตามวิถีทางของราชสกุลฉี ฉลาดเก่งกล้า เดินในทางที่ถูกที่ควร ท่านพ่ออยากบังคับให้ข้าเรียกสตรีผู้นี้ว่าท่านแม่ ไม่รู้ว่าท่านพ่อเอามารดาของข้าไปไว้ที่ใด ท่านแม่มีบุญคุณให้กำเนิดหนานกงมั่ว ช่วยเลี้ยงดู ข้าไม่สามารถยอมรับได้”
“เจ้า…” ใบหน้าหนานกงไหวเดี๋ยวเข้มเดี๋ยวอ่อน หนานกงสองคนรู้สึกละอายใจ ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใดก็ได้ยินเสียงหนักแน่นดังเข้ามา “กล่าวได้ดี”
สีหน้าหนานกงไหวเปลี่ยนทันใด เดินมุ่งออกไปยังประตู เมื่อมองเห็นผู้ที่มาแล้วจึงต้องรีบออกไปต้อนรับ “กระหม่อมหนานกงไหวคารวะเยี่ยนอ๋อง โจวอ๋อง”
ด้านนอก มีหลายคนเดินเข้ามา สองคนที่เดินนำเข้ามานั้นคนหนึ่งสวมชุดมังกรสีเหลืองทอง ดูท่าทางแล้วอายุน่าจะราวๆ สามสิบสี่สามสิบห้าปี อีกคนสวมชุดคลุมสีม่วง หนวดเคราสั้นสีขาว ใบหน้าที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี เมื่อสบตามีแววตาที่ทำให้คนมองเห็นรู้สึกไม่สบาย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนคือองค์ชายสาม เยี่ยนหวังเซียวโยว และองค์ชายสี่ โจวหวังเซียวเหมย
สองคนที่อยู่ด้านหลังนั้นหนึ่งคนคือลิ่นฉังเฟิงที่พึ่งได้พบกัน และอีกหนึ่งคือเว่ยจวินมั่วผู้มีใบหน้าเย็นชาในอาภรณ์สีน้ำเงิน
“ฉู่กั๋วกงไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก” เยี่ยนอ๋องโบกมือ
“ถวายบังคมองค์ชายทั้งสอง” ทุกคนถวายพระพร หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นไปมองลิ่นฉังเฟิงที่ยืนยิ้มพิลึกอยู่ด้านหลังเยี่ยนอ๋อง
“ไม่ทันได้รับข่าวว่าองค์ชายทั้งสองมาถึงแล้ว กระหม่อม…” หนานกงไหวคำนวณอยู่ในใจ ตอนที่กลับมาได้ยินว่าองค์ชายทั้งสองยังมาไม่ถึง ยามนี้กลับมาโผล่ที่จวนของเขา หรือว่า…
โจวอ๋องยิ้ม “ท่านฉู่กั๋วกงกล่าวเกินไปแล้ว นี่เพราะได้ข่าวว่าตระกูลหนานกงกลับมาตานหยาง ท่านพี่สามเพียงอยากมาเจอบุตรีของท่าน ท่านก็รู้ ท่านพี่สามรักและเอ็นดูหลานผู้นี้ขนาดไหน เขาอยู่ที่โยวโจวกลับเมืองหลวงไม่ได้ ครั้งนี้โชคดี มีโอกาสจะไม่มาได้หรือ”
เมื่อประโยคนั้นถูกเอ่ยออกมา หัวใจของครอบครัวฉู่กั๋วกงก็ระส่ำระส่าย หนานกงไหวมองสลับไปมาระหว่างหนานกงมั่วและหนานกงซู หัวใจไหวหวั่นไม่สงบ ตอนนี้สถานการณ์ตรงหน้าบังคับให้เขาต้องเลือกแล้ว ฮ่องเต้นั้นไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ แต่ว่าเมื่อพบกับเยี่ยนอ๋องและโจวอ๋องแล้ว แบบนั้นคงเปลี่ยนไม่ได้ง่ายๆ แล้ว
เป็นซูเอ๋อร์หรือชิงเอ๋อร์ดีเล่า
หนานกงไหวรู้สึกกดดัน คนอื่นๆ ที่อยู่ตรงนั้นก็เกิดกดดันเช่นกัน เจิ้งซื่อ สองแม่ลูกมองมาด้วยสายตาอ้อนวอนที่คนอื่นไม่ทันสังเกตได้ แม้เว่ยจวินมั่วจะเป็นบุตรชายขององค์หญิงฉังผิง มีลุงอย่างเยี่ยนอ๋องคอยเป็นที่พึ่ง แต่เมื่อเทียบกับเซียวเชียนเยี่ย เย่ว์จวิ้นอ๋องที่เป็นหวงจั่งซุนแล้วก็ไม่รู้ว่าแย่ขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีสถานะที่คลุมเครือ จะรับตำแหน่งต่อเป็นจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจ
อย่าว่าหนานกงมั่วดูถูกหนานกงซูที่เป็นลูกสาวของภรรยารอง แม้แต่สถานะของหนานกงซูยังดีกว่าเว่ยจวินมั่วด้วยซ้ำ อย่างน้อยนางก็ยังเป็นบุตรที่เจิ้งซื่อคลอดหลังจากมาอยู่ที่จวน ทั่วทั้งเมืองใครจะไม่รู้ว่าเว่ยจวินมั่วคือบุตรที่องค์หญิงฉังผิงมีกับชายอื่นขณะที่จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไปออกรบ แม้แต่ราชวงศ์ยังยอมรับเงียบๆ ว่าองค์หญิงฉังผิงทำผิดธรรมเนียมปฏิบัติ มีข่าวลือออกมาว่ามีการชดเชยให้จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องโดยการอนุญาตให้รับภรรยาเพิ่ม เมื่อเว่ยจวินมั่วคลอดออกมาจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็ตั้งชื่อให้ว่าจวินมั่ว ไม่ได้อยากยอมรับบุตรชายผู้นี้เลยสักนิด หากมารดาของเขาไม่ใช่องค์หญิง เกรงว่าสองแม่ลูกคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้