“เสด็จลุง เสด็จป้า”
“เยี่ยนอ๋อง พระชายาเยี่ยนอ๋อง”
พระชายาเยี่ยนอ๋องดูมีอายุราวๆ สามสิบต้นๆ รูปลักษณ์ไม่ได้โดดเด่นทว่าน่ามอง ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ นางพยักหน้าให้หนานกงมั่ว “นี่คือคุณหนูใหญ่สกุลหนานกงใช่หรือไม่ เป็นหญิงสาวที่ดีเหลือเกิน ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก”
“ขอบพระทัยพระชายาเยี่ยนอ๋องเพคะ”
แม้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะเป็นเพียงจี้เฟย[1] ทว่านางก็มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง อดีตแม่ทัพหลานจู้ บิดาของนางเองก็เป็นวีรบุรุษผู้ร่วมก่อนตั้งราชวงศ์เซี่ย เมื่อหยวนเฟย[2]สิ้นพระชนม์จึงได้พระราชทานสมรสบุตรีตระกูลหลานแก่เยี่ยนอ๋องและทรงแต่งตั้งเป็นจี้เฟย หลังจากแต่งกับเยี่ยนอ๋องแล้วก็ให้กำเนิดทายาทถึงสามคน คนโตเหมือนจะมีอายุสิบแปดปีได้ พระชายาเยี่ยนอ๋องมีคุณธรรมและมีน้ำใจกว้างขวาง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในลูกสะใภ้ที่ฮองเฮาองค์ก่อนโปรดปรานมากที่สุด ทั้งยังให้ความเคารพในตัวเยี่ยนอ๋องเป็นอย่างยิ่ง
พระชายาเยี่ยนอ๋องดึงหนานกงมั่วมานั่งด้านข้างตน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นหญิงสาวที่ดีเหลือเกิน เมื่อครั้งก่อนข้าก็เคยเจอกับหนานกงฮูหยิน นั่นถึงเรียกได้ว่าเป็นหญิงงาม แม่นางหนานกงมีความคล้ายคลึงกับหนานกงฮูหยินตั้งเจ็ดส่วน ข้าเองมีบุตรสาวสองคน เสียดายอยู่ที่โยวโจวไม่ได้เดินทางมาด้วย”
“พระชายาชมเกินไปแล้วเพคะ” หนานกงมั่วยิ้มบาง
พระชายาเยี่ยนอ๋องลูบหลังมือนางเบาๆ เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจต่อหญิงสาวตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง ท่านอ๋องรักหลานชายของเขามาก นางเองเป็นภรรยาแน่นอนว่าต้องเข้าใจเขา จวินมั่วได้ภรรยาดีเช่นนี้ท่านอ๋องยินดีนางเองก็ยินดีไปด้วย”
“จวินมั่วโชคดี” พระชายาเยี่ยนอ๋องยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะ
“…” หนานกงมั่วทำทีเขินอาย
“ขอบพระทัยเสด็จป้า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขอบคุณราบเรียบ
“เสด็จลุง นี่คือยา อู๋สยาได้ปรับให้แล้ว ใช้ไปไม่กี่เดือน คงจะรู้ผลเป็นแน่” เว่ยจวินมั่วหยิบใบสั่งยาออกมา ยื่นไปตรงหน้าเยี่ยนอ๋อง
เยี่ยนอ๋องชะงัก ยื่นมือออกไปรับ หนานกงมั่วเองก็ตกใจ เว่ยจวินมั่วเอ่ยเช่นนี้ราวกับไม่คิดเปิดเผยเรื่องที่นางรับเงินจากเขา อีกทั้งยังไม่เอ่ยคำขาด หากสามเดือนยังไม่หายขาดก็ยังมีทางแก้ไขให้ดีขึ้น
“…” เจ้าไม่กลัวโดนข้าหลอกหรืออย่างไร
ได้รับสายตาจากนาง เว่ยจวินมั่วเพียงกวาดตามองเล็กน้อย…ห่อเงินที่เอวของนาง หากโกหกข้าเป็นเงินห้าแสนตำลึง เจ้าเตรียมตัวชดใช้ไว้หรือยัง
เกลียดใบหน้าเฉยชาเป็นอัมพาตนั่นที่สุด
“แม่นางหนานกงมีความรู้ทางด้านการรักษาเยียวยาด้วยหรือ” พระชายาเยี่ยนอ๋องประหลาดใจ อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องทรมานเขามานานหลายปีแล้ว พวกเขาเองก็ไม่สามารถหาหมอที่จะรักษาให้หายได้
“รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ”
ดวงตาพระชายาเยี่ยนอ๋องวูบลงเล็กน้อย รู้สึกผิดหวังขึ้นมา
เว่ยจวินมั่วลุกขึ้น ดึงหนานกงมั่วที่อยู่ด้านข้าง “เสด็จลุง เสด็จป้า พวกกระหม่อมยังมีธุระอีกคงต้องไปแล้ว เสด็จลุง ต้องเสวยยาด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องพยักหน้า มองไปยังหนานกงมั่ว “หากมีเวลาแม่นางหนานกงก็มาที่จวนบ่อยๆ สิ”
“เพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง พระชายา หนานกงมั่วทูลลา”
พระชายาเยี่ยนอ๋องลุกขึ้น ออกมาส่งทั้งสองด้วยตนเอง ไม่ลืมรับสั่งกำชับให้หนานกงมั่วมาเยี่ยมบ่อยๆ หนานกงมั่วทำได้เพียงยิ้มรับ
หนานกงมั่วจะออกจากเมืองอย่างเปิดเผยนั้นไม่ง่าย แต่เว่ยจวินมั่วออกจากเมืองนั้นง่ายดาย แม้ชาติกำเนิดเขาจะทำให้คนรังเกียจทว่าก็ยังเปลี่ยนแปลงความจริงที่เขาเป็นผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง บุตรชายขององค์หญิงฉางผิง หลานชายของเยี่ยนอ๋องไม่ได้ เพียงคนเฝ้าประตูไม่กี่คนนั้นไม่กล้าขัดขวางเขาเป็นแน่ ดังนั้นทั้งสองจึงเดินออกนอกเมืองไปได้ง่ายดาย แม้หนานกงมั่วจะไม่เข้าใจว่าตนเองจะกลับบ้านแล้วชายผู้นี้จะตามมาด้วยทำไม และระหว่างทางยังมีคุณชายลิ่นฉังเฟิงที่ติดตามมาด้วย สุดท้ายการออกจากเมืองคนเดียวจึงกลายเป็นสามคนไป
“มั่วเอ๋อร์…มั่วเอ๋อร์…” ห่างจากหมู่บ้านซีเฟิงเพียงสองลี้ ชายชราก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เว่ยจวินมั่วและลิ่นฉังเฟิงมองอยู่เพียงเล็กน้อยจากนั้นจึงไม่สนใจอีก แม้ชายชราจะมีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่ยังอ่อนหัดเกินไป ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว
หนานกงมั่วหลบไปด้านข้างเล็กน้อย ให้พื้นที่ว่างแก่ชายชรามากขึ้น “มั่วเอ๋อร์…ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว อาจารย์เป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน”
“ห่วงข้ารึ” หนานกงมั่วมองเขาพลางเลิกคิ้ว ยกห่อสัมภาระในมือขึ้น “คงห่วงมันมากกว่าสินะ”
ชายชราสูดจมูก ครู่ต่อมาจึงอดกลืนน้ำลายไม่ได้ “เป็ดย่างตึกจ้วงหยวน มั่วเอ๋อร์ศิษย์กตัญญูของอาจารย์ ฮ่าๆ…”
“สามวันก่อนท่านยังบอกว่าข้าอกตัญญูอยู่เลย” หนานกงมั่วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
“เอ่อ…เจ้าต้องฟังผิดแน่ มั่วเอ๋อร์ของอาจารย์เป็นเด็กดีที่สุดแล้ว จะอกตัญญูได้อย่างไรกัน อาจารย์ด่าศิษย์พี่เจ้าต่างหาก”
“รอศิษย์พี่กลับมาข้าจะฟ้องเขา” หนานกงมั่วหรี่ตาลงบอก
สีหน้าของชายชรายับยู่ลง ศิษย์อกตัญญู
“ฮ่าๆ…แม่นางมั่ว ชายชราท่านนี้…เป็นอาจารย์เจ้าอย่างนั้นหรือ” ลิ่นฉังเฟิงถามอย่างแปลกใจ ชายชราผู้นี้นอกจากตลกแล้วจะสอนอะไรนางได้ แม่นางมั่วดูเป็นคนเคร่งขรึมเช่นนี้
“เอ๋” ชายชราพึ่งสังเกตว่ามีอีกสองคนยืนอยู่ด้านหลังหนานกงมั่วด้วย ลูบเคราสีขาวของตนเองแล้วถาม “ศิษย์รัก คนไหนคือเขยของข้ากัน”
“…” หนานกงมั่วมองห่อผ้าในมือ ไตร่ตรองว่าจะเอาเป็ดย่างยัดปากเขาดีหรือไม่ สวรรค์คงไม่ลงโทษนางหรอกเพราะถือว่านางได้ช่วยชาวเมืองขจัดสิ่งชั่วร้ายออกไป
ลิ่นฉังเฟิงได้ยินเช่นนั้น รีบถอยหลังสองก้าว ชี้ไปที่เว่ยจวินมั่วที่อยู่ด้านข้าง
“เอ๋” ชายชราเดินวนรอบเว่ยจวินมั่วหนึ่งรอบ ไม่สนใจใบหน้าของอีกฝ่ายที่เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้น “ศิษย์รัก ที่แท้บิดาของเจ้าก็ไม่ใช่คนดี เจ้าเด็กนี่เห็นอยู่ว่าเป็นใบ้ อาจารย์ว่า…เจ้าลองไตร่ตรองเลือกศิษย์พี่ของเจ้าดูเถิด” กระทั่งอาจารย์ก็ยังไม่เรียกขาน ช่างไม่ดูสถานการณ์เสียจริง
หนานกงมั่วทนไม่ไหว นำเป็ดย่างในมือยัดใส่อ้อมแขนของเขาไป “อาจารย์ ถ้ายังไม่กลับไปเป็ดย่างก็จะไม่ได้กินแล้วนะเจ้าคะ อีกอย่าง ค่าเหล้า ข้าช่วยจ่ายให้หมดแล้ว ท่านเข้าเมืองได้แล้ว” หยิบตั๋วเงินหนึ่งใบยัดใส่มือเขา เมื่อฝันหวานถึงวันอันแสนสุข ชายชราจึงยิ้มออกมา “ศิษย์รัก อาจารย์เชื่อเจ้า หากมีใครรังแกเจ้า เจ้าต้องบอกอาจารย์ อาจารย์จะช่วยเจ้าจัดการเอง”
จากนั้นเหลือบมองเว่ยจวินมั่วที่ใบหน้าเรียบเฉย หยิบไข่มุกเม็ดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อยัดใส่มือเว่ยจวินมั่ว เอ่ยขึ้นว่า “เจอเขยครั้งแรกไม่ให้ของขวัญมิได้ วันนี้ไม่ได้มีสิ่งใดติดตัวมา เอาสิ่งนี้ไปเล่นก่อนเถิด คนแก่อย่างข้าไม่สนเรื่องของคนหนุ่มอย่างพวกเจ้าหรอก ข้าไปล่ะ” ไม่มองสีหน้าของทั้งสามคน ถือห่อผ้าและตั๋วเงินเดินออกไปทันใด เมื่อไกลออกไปยังได้ยินเสียงเขาตะโกนไปเรื่อย
“ฮ่าๆ” รอจนเขาเดินออกไปไกลแล้ว ในที่สุดลิ่นฉังเฟิงก็ทนไม่ไหวหัวเราะเสียงดังออกมา ชายแก่คนนี้ตลกเป็นบ้า
“ฮ่าๆ จวินมั่ว ท่านอาจารย์มอบสิ่งใดเป็นของขวัญให้เจ้ากัน” ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะจนน้ำตาซึม เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่าเว่ยจวินมั่วเป็นใบ้ อีกทั้ง แม้จะมีคนดูถูกเว่ยจวินมั่วมากมาย แต่ว่า…ไม่เคยมีใครพูดออกมาตรงๆ ว่าต้องการให้ลูกศิษย์เลือกคนอื่นเช่นนี้ ดังนั้น เว่ยจวินมั่วเทียบกับตัวเลือกอื่นไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ
[1] จี้เฟย พระชายาเอกแต่ไม่ได้เป็นพระชายาเอกคนแรก ใช้เรียกพระชายาเอกคนถัดจากคนแรกเป็นต้นไป
[2] หยวนเฟย พระชายาเอกเดิม หรือพระชายาเอกคนแรก