พ่อบ้านเห็นว่าไม่มีธุระของตนแล้วจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ข้าน้อยต้องขอตัว เงินเดือนของคุณหนูใหญ่ทุกเดือนได้เหมือนคุณหนูรองคือสิบห้าตำลึงเงิน ฮูหยินบอกเดือนนี้เกินครึ่งเดือนมาแล้ว จึงให้คุณหนูใหญ่สิบตำลึงเงินไปก่อน อีกเดี๋ยวข้าน้อยจะให้บ่าวนำมาให้ขอรับ”
เงินสิบตำลึงเงินจะทำสิ่งใดได้ หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ความจริงแล้วสิบตำลึงเงินทำอะไรได้มากมาย เงินรายเดือนของคุณชายคุณหนูตระกูลหนานกงนับว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองหลวง เพียงแต่โดยทั่วไปหนานกงมั่วไม่ค่อยใช้เงิน แต่เมื่อใช้ก็ใช้จำนวนมาก ดังนั้นจึงรู้สึกว่าเงินไม่เพียงพอต่อการใช้สอย อย่างไรเสีย สิบตำลึงเงินสามารถใช้กินดื่มในแบบชาวบ้านทั่วไปได้นานกว่าครึ่งปี หากใช้แบบคนทั่วไปก็คงเพียงพอต่อการจับจ่าย เพียงแต่หากต้องการซื้อสินค้าที่มีราคาแพงขึ้นมานั้นคงไม่พอใช้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงยาราคาแพงที่หนานกงมั่วต้องซื้อ สิบตำลึงเงินนั้นแม้แต่เสียงยังไม่อาจได้ฟังเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะได้ยามา
แต่หนานกงมั่วก็ไม่ได้คาดหวังจะใช้เงินสิบตำลึงเงินเพื่อประทังชีวิต หากนางคาดหวังกับอะไรเช่นนี้ก็คงอกแตกตายกันพอดี
“เอาให้แม่นมหลานเถิด กลับไปแล้วบอกฮูหยินของเจ้าด้วย ให้คนส่งบัญชีกิจการของท่านแม่มาให้ข้า รวมถึงกำไรหลายปีมานี้ด้วย อย่าทำให้ข้าไม่มีเงินแม้แต่จะให้รางวัลกับคนอื่น ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ก็คงไม่ต้องรบกวนให้นางช่วยดูแลแล้ว”
“ขอรับ ข้าน้อยขอลาแล้ว” พ่อบ้านตกใจ ลอบยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ คุณหนูใหญ่ไม่ใจดีเลยจริงๆ
รอจนกระทั่งพ่อบ้านออกไป แม่นมหลานจึงเอ่ยขึ้น “คุณหนู ที่บ่าว…”
หนานกงมั่วยกมือขึ้นหยุดคำพูดของนาง หัวเราะออกมา “แม่นม ข้าล้อพ่อบ้านเล่นเท่านั้นเอง ไหนเลยจะใช้เงินของท่านได้ สาวใช้พวกนี้ ให้คนละห้าตำลึงเถิด อย่างอื่นแม่นมก็จัดการตามสมควร”
“ขอบคุณคุณหนูใหญ่” สาวใช้ทั้งหกกล่าวขอบคุณ ห้าตำลึงเงินเทียบเท่ากับเงินที่พวกนางเก็บมาทั้งปีก็ว่าได้ แม้ตอนนี้จะเป็นสาวใช้เคียงกาย หนึ่งเดือนก็คงได้ไม่เกินสองตำลึงเงิน หนานกงมั่วเอ่ย “ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียว ข้าไม่ชอบเกลือเป็นหนอน คิดว่าพวกเจ้าเองก็คงไม่อยากเห็นว่าข้าจะจัดการคนเหล่านั้นเยี่ยงไร เพียงปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดี สิ่งที่คนอื่นมีพวกเจ้าจะไม่ขาด สิ่งที่คนอื่นไม่มี ใช่ว่าข้าจะให้ไม่ได้”
“บ่าวเข้าใจคำสั่งสอนของคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยต่อไป “บอกมา พวกเจ้าชื่ออะไร” รู้จักมากว่าครึ่งเดือน หนานกงมั่วยังไม่เคยถามชื่อสาวใช้เหล่านี้เลย
สาวใช้สองคนที่อยู่กับแม่นมหลานมองมาที่หนานกงมั่ว เอ่ยอย่างนอบน้อม “ตอบคุณหนูใหญ่ บ่าวหมิงฉินเจ้าค่ะ”
“บ่าวจือซูเจ้าค่ะ”
สาวใช้สี่คนที่เหลือทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่คนแรกจึงเอ่ยขึ้น “คุณ…คุณหนูได้โปรดตั้งชื่อให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว นึกขึ้นมาได้ สาวใช้เหล่านี้ไม่เคยติดตามเจ้านายมาก่อน คงมีแต่ชื่อที่บิดามารดาตั้งให้แต่คงมิได้ไพเราะเท่าที่ควร ความจริงหนานกงมั่วนั้นไม่ได้สนใจว่าคนรอบข้างจะมีชื่ออย่างไร และไม่มีความชอบไปเปลี่ยนชื่อให้ผู้อื่น แต่เมื่อมองสบตาสาวใช้เหล่านี้แล้วเห็นว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกนาง เมื่อไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ชื่อ จือฉี รู่ฮว่า หุยเสวี่ย เฟิงเหอ เป็นอย่างไร”
“ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสี่พ่นลมหายใจออกมา คุณหนูใหญ่ตั้งชื่อให้พวกนาง นับว่ายอมรับพวกนางแล้วใช่หรือไม่
เรือนไฉ่อู๋
“เจ้าว่าเช่นไรนะ” เจิ้งซื่อนั่งอยู่ในห้องโถงจับจ้องไปที่พ่อบ้านเขม็ง ทุกวาจาราวกับถูกบีบออกมาระหว่างฟัน
เจิ้งซื่อรับหน้าที่ดูแลมานานหลายปี มีอำนาจหยั่งรากลึก พ่อบ้านพยายามทวนวาจาของหนานกงมั่ว กล่าวรายงานไปอีกครั้ง
เพล้ง!
เจิ้งซื่อยกมือกวาดถ้วยชาตรงหน้ากระจัดกระจาย กัดฟันเอ่ยว่า “หนานกงมั่ว”
พ่อบ้านยืนนิ่งยิ่งไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด ดูเหมือนนายท่านเองก็รักคุณหนูใหญ่มาก ฮูหยินจัดการทุกอย่างในจวนฉู่กั๋วกง หากเข้าไปร่วมสงครามของทั้งคู่ในตอนนี้ ก็คงต้องกล่าวประโยคนั้น สงครามของเทพเจ้า ผีต้องทุกข์ทน ขอเพียงฮูหยินไม่เอาความโกรธมาลงที่ตัวเขาก็เพียงพอแล้ว
“ท่านแม่ เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ” หนานกงซูเดินเข้ามา ด้านหลังยังมีหนานกงเจียวที่ไร้เดียงสาและหนานกงชวี่หนานกงฮุยสองพี่น้อง สายตาของเจิ้งซื่อมองไปที่หนานกงชวี่ ดวงตาชะงักไปเล็กน้อย ปิดหน้าพลางเอ่ยตอบออกไป “ไม่มีอันใด” หนานกงเจียวกะพริบตา เดินอ้อมไปคว้าแขนเจิ้งซื่อเอาไว้ “ท่านป้า ใครทำให้ท่านป้าต้องโกรธกันเล่า ท่านบอกกับเจียวเอ๋อร์ เจียวเอ๋อร์ช่วยท่านจัดการดีหรือไม่”
เจิ้งซื่ออดยิ้มออกมาไม่ได้ ยกมือขึ้นแตะหน้าผากหนานกงเจียวเบาๆ “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่มีเรื่องใหญ่อันใดเลยจริงๆ เพียงแต่…”
“ท่านแม่ มีเรื่องอันใดท่านก็บอกกับซูเอ๋อร์กับพี่ใหญ่พี่รองสิ พวกเราจะช่วยท่านคิดหาวิธีเอง” หนานกงซูบอกเสียงหวาน
เจิ้งซื่อถอนหายใจ ชี้ไปยังพ่อบ้านที่แทบม้วนตัวเองเป็นก้อนกลมไปแล้ว “เมื่อสักครู่คุณหนูใหญ่ให้พ่อบ้านมาแจ้ง ให้ข้ายกกิจการทุกอย่างที่เป็นของพี่สาวให้นาง ตอนนี้คุณหนูใหญ่พึ่งอายุสิบหก อีกทั้งยังอาศัยอยู่ชนบทมาตลอด ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องในจินหลิง กิจการที่พี่สาวทิ้งเอาไว้ก็เพื่อให้พวกเจ้าทั้งสาม หากเกิดปัญหาขึ้น…ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบนายท่านและพี่สาวที่จากไปกันเล่า”
หนานกงฮุยขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยสิ่งใดกลับก็เห็นสายตาหนานกงชวี่ห้ามเอาไว้ หนานกงชวี่เงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยขึ้นบ้าง “ท่านแม่กล่าวได้ถูกแล้ว หากยกกิจการให้นางเกรงว่าคงวางใจได้ยาก”
เจิ้งซื่อถอนหายใจ “เป็นเช่นนั้น ข้ากำลังคิดว่า…คุณหนูใหญ่คงคิดว่าเดือนละสิบห้าตำลึงเงินนั้นไม่เพียงพอ หลายปีมานี้คุณหนูใหญ่ลำบากมามาก เดี๋ยวข้าจะส่งไปเพิ่มอีก หนึ่งเดือนให้นางไปยี่สิบห้าตำลึง”
“ท่านแม่” หนานกงซูไม่ยอม แต่ละเดือนนางได้เพียงสิบห้าตำลึง พี่ใหญ่และพี่รองเองก็ได้ยี่สิบตำลึง เรื่องอะไรหนานกงมั่วคนเดี๋ยวจึงได้ไปถึงยี่สิบห้าตำลึง หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกัน ไม่เพียงหนานกงซูเท่านั้น ดวงตาของหนานกงเจียวเองก็ฉายแววความอิจฉาออกมาแข่งกับหนานกงซู นางเป็นบุตรีของขุนนางชั้นห้าได้เพียงสองตำลึงเงินต่อเดือน ทว่านางรู้จักออดอ้อน เจิ้งซื่อและหนานกงไหวจึงตบรางวัลแก่นางบ้าง แต่ละวันจึงสบายกว่าคนอื่นอยู่เล็กน้อย
“เงียบซะ” เจิ้งซื่อจ้องหนานกงซูเขม็ง “พี่สาวของเจ้าลำบากมามากตลอดหลายปีมานี้ เจ้าเป็นน้องสาวยอมให้พี่บ้างไม่ได้เลยหรือ”
“แต่ว่า…”
“ฮูหยิน” เสียงทุ้มต่ำของหนานกงฮุยเอ่ยขึ้น “คงไม่ต้องให้ฮูหยินชดเชยหรอกขอรับ ข้ายังมีเงินอยู่บ้าง ต่อไปเงินของข้าและพี่ใหญ่ให้หักไปให้มั่วเอ๋อร์คนละห้าตำลึงก็พอแล้ว” เมื่อครู่ไม่ยอมให้เขาพูด หนานกงฮุยย่อมรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็อดไม่ได้ฝ่าฝืนสายตาของพี่ชาย ครั้งนี้จึงลากหนานกงชวี่เข้ามาร่วมด้วยเสียเลย
“เหลวไหล” เจิ้งซื่อทนไม่ไหว “พี่ชายเจ้าแต่งงานแล้ว ต้องกินต้องใช้”
หนานกงฮุยเบ้ปาก “ต้องกินต้องใช้ก็คงจะไม่สนใจน้องสาวตนเองหรอกใช่หรือไม่”
แววตาเจิ้งซื่อไหววูบ มองไปยังหนานกงชวี่ หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ “เอาตามน้องรองกล่าวเถิดขอรับ”
เจิ้งซื่อจำต้องพยักหน้าลง มองใบหน้าไม่พอใจของหนานกงซู “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เดี๋ยวมารดาให้เจ้าอีกห้าตำลึงก็พอแล้ว อย่าแย่งกับพี่สาวเจ้า เข้าใจหรือไม่” หนานกงซูจึงยอมพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา “ซูเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ”