หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 41 ภรรยาเอกมิสู้ภรรยารอง ภรรยารองมิสู้แอบลักลอบ

ตอนที่ 41 ภรรยาเอกมิสู้ภรรยารอง ภรรยารองมิสู้แอบลักลอบ

เมื่อร่ำลาอาจารย์ที่แสร้งร่ำไห้เพื่อแสดงออกว่าไม่อยากให้ศิษย์รักจากไปแล้ว หนานกงมั่วจึงลงเขากลับเรือนหนานกงเตรียมออกเดินทาง ทุกคนกำลังนั่งรออยู่ในห้องโถงใหญ่ เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา ใบหน้าของหนานกงไหวเข้มขึ้นทันใด “จะออกเดินทางแล้วยังเที่ยวเล่นไปทั่วอีก คนทั้งบ้านรอเจ้าอยู่นะ”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยขึ้น “ไปบอกลาเพื่อนบ้าน”

“พี่สาว ท่านเป็นถึงคุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกง มีอะไรต้องไปคุยกับชาวบ้านพวกนั้นอีก” หนานกงซูจีบปากจีบคอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ดวงตากลมคู่นั้นฉายแววเย้ยหยัน

หนานกงมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “สามสิบปีก่อน ท่านพ่อเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เจ้าเรียกว่าชาวบ้านพวกนั้น” เมื่อสามสิบปีก่อนหนานกงไหวเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากชาวบ้านซีเฟิงทั่วไป หากไม่ใช่เพราะติดตามฝ่าบาทไปร่วมก่อตั้งประเทศ ตอนนี้ตระกูลหนานกงก็คงยังเป็นชาวบ้านธรรมดา หนานกงซูคิดว่าตนเองนั้นสูงส่งเพียงใดกัน

“พี่สาวหมายความเช่นไร ท่านพ่อเป็นถึงวีรบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศ จะเอาไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านพวกนั้นได้เช่นไร” น้ำเสียงหวานหูของหนานกงซูกล่าว

หนานกงมั่วยิ้มเย็น “เจ้าหมายความว่าท่านพ่อไม่ได้แซ่หนานกง และไม่ใช่คนหมู่บ้านซีเฟิงงั้นหรือ” คนในหมู่บ้านซีเฟิงส่วนใหญ่แซ่หนานกง หากนับย้อนกลับไปต้นตระกูล ทุกคนล้วนเกี่ยวพันกัน แม้ว้าตอนนี้ครอบครัวหนานกงจะย้ายไปตั้งรกรากอยู่จินหลิง ทว่าบรรพบุรุษของตระกูลหนานกงก็ยังคงอยู่ในหมู่บ้านซีเฟิงนั่นเอง มีเพียงหนานกงไหวเท่านั้นที่พยายามแยกตัวออกมาจากชาติตระกูล

“พอแล้ว” ไม่รู้ว่าการทะเลาะกันของบุตรีทั้งสองไปกระทบหนานกงไหวเช่นไร เขาจึงเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “ในเมื่อเตรียมตัวกันเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ถ้ายังทะเลาะกันอีกข้าจะกักบริเวณแน่”

หนานกงซูมองใบหน้าเกรี้ยวกราดของหนานกงไหว กัดริมฝีปากท่าทางไม่พอใจ

ระยะทางจากตานหยางถึงจินหลิงใช้เวลาเจ็ดถึงแปดวัน นั่นนับเวลาจากการขี่ม้า หากเป็นขบวนใหญ่ของรถม้าพร้อมทั้งมีสตรีจะยิ่งช้ามากขึ้นไปอีก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเมื่อมีเหล่าคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์มากมายอยู่ในขบวนด้วย เดินทางไปได้เพียงครึ่งวันพักอีกครึ่งวัน พวกเขาออกจากตานหยางมาได้ครึ่งเดือน ทว่าได้ระยะทางห่างจากตานหยางเท่ากับสามวันเพียงเท่านั้น ยิ่งหนานกงมั่วที่เดิมทำอะไรรวดเร็วยิ่งรู้สึกถึงความทรมานต่อความล่าช้านี้ นางแทบอยากควบม้าสักตัวนำทางล่วงหน้าไปก่อน

นั่งเบื่อหน่ายอยู่ในรถม้า มองหนานกงซูที่ดูบอบบางไร้เรี่ยวแรงตรงหน้า หนานกงมั่วยักไหล่หันหน้าหนีไป

“มั่วเอ๋อร์ ซูเอ๋อร์ ออกมาสูดออกกาศก่อนดีหรือไม่” ครั้งนี้ไม่มีศาลาพักม้า สถานที่หยุดพักเป็นเพียงทุ่งหญ้ากว้าง หนานกงมั่วเปิดม่านของรถม้าออกไปพบว่าด้านนอกนั้นกำลังตั้งกระโจม อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “จะพักอีกนานเท่าใดกัน” หนานกงฮุยยักไหล่แล้วตอบว่า “หวงจั่งซุนรับสั่งว่าบรรดาสตรีนั้นเหน็ดเหนื่อยแล้ว คงจะพักที่นี่สักคืน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ”

“หากเราไม่เดี๋ยวเดินทางเดี๋ยวพักไปตลอดทางเช่นนี้ เราคงไปถึงจินหลิงตั้งแต่สามวันที่แล้วแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น

หนานกงฮุยตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ปีนี้เป็นครั้งแรกที่หวงจั่งซุนเดินทางมาไหว้บรรพบุรุษแทนฝ่าบาท จึงระวังตัวมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งสตรีส่วนใหญ่นั้นบอบบาง หากเกิดอันใดขึ้นคงไม่ใช่เรื่องดี มั่วเอ๋อร์ไม่เหนื่อยหรือ”

จะไม่เหนื่อยได้เยี่ยงไร เพียงแต่นางไม่เข้าใจว่าการนั่งอยู่บนรถม้าที่เชื่องช้าทุกวันเช่นนี้มันสบายกว่าการรีบกลับไปถึงแล้วได้พักผ่อนในที่สะดวกสบายจริงๆ น่ะหรือ

หนานกงซูลงจากรถม้าโดยมีสาวใช้คอยประคอง ได้ยินหนานกงมั่วและหนานกงฮุยกำลังสนทนากันอยู่ คิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยเสียงหวาน “พี่สาว นี่เป็นความห่วงใยที่หวงจั่งซุนมีต่อพวกเรา ความเมตตาของหวงจั่งซุน แม้แต่ฝ่าบาทเองยังชื่นชม” หนานกงมั่วไม่ตอบโต้ ฮ่องเต้ที่ถือกำเนิดและคลานมาจากการเป็นสามัญชนผู้นี้จะชื่นชมความมีเมตตาจริงๆ น่ะหรือ ไม่ว่าคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ อย่างไรเสียนางก็ไม่เชื่อ

นอกจากนี้ ความเมตตาจากเซียวเชียนเยี่ยอย่างนั้นรึ ดวงตาของหนานกงซูถูกอะไรบดบังไว้หรือไม่

หนานกงไหวกวาดตามองบุตรีที่มองจ้องตากันเขม็ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “เอาล่ะ เป็นพี่น้องมาทะเลาะกันมันสมควรแล้วหรือ”

เจิ้งซื่อเดินตามหนานกงไหวมา มองเห็นหนานกงมั่วจึงส่งยิ้มให้ “ท่านโหวกล่าวถูกแล้ว ซูเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่เป็นพี่สาวของเจ้า เจ้าผู้เป็นน้องต้องให้ความเคารพนางบ้าง” หนานกงซูตอบรับอย่างว่าง่าย “เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านแม่ ซูเอ๋อร์รู้แล้วเจ้าค่ะ”

หนานกงไหวพยักหน้าพึงพอใจ เดินนำหนานกงฮุยไปสำรวจตรวจตราสถานการณ์โดยรอบ

ตรงหน้ารถม้า เหลือไว้เพียงหนานกงมั่วและเจิ้งซื่อสองแม่ลูกนั่น หนานกงซูส่งเสียงหยันจากนั้นเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเจิ้งซื่อ สายตาที่มองไปยังหนานกงมั่วนั้นเปี่ยมไปด้วยความรังเกียจและไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย ทว่าใบหน้าของเจิ้งซื่อนั้นยังคงมีรอยยิ้ม เพียงแต่สายตากลับหาเจตนาดีไม่ได้เลยสักนิด หนานกงมั่วกวาดตามองสองแม่ลูกอย่างแปลกใจอยากรู้ว่าทั้งสองนั้นมีแผนร้ายอันใดอีก แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือเจิ้งซื่อกลับไม่ทำอะไร เพียงเอ่ยต่อนางอย่างระมัดระวัง “คุณหนูใหญ่ ท่านถูกหมั้นหมายกับผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว รอประโยคต่อไปของนาง

เจิ้งซื่อควบคุมอารมณ์ไว้นิ่ง ทว่าหนานกงซูกลับทนอยู่เฉยไม่ได้ ก้าวมาด้านหน้า กัดฟันพลางเอ่ย “หนานกงมั่วเจ้าได้หมั้นหมายเอาไว้แล้ว อย่าได้คิดไร้ยางอายมาล่อลวงหวงจั่งซุน”

หนานกงมั่วชะงักไปชั่วครู่ ส่งสายตาพิจารณาหนานกงซูด้วยความแปลกใจ เอ่ยถามช้าๆ “ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าจะไปล่อลวงหวงจั่งซุนอะไรนั่น” ตั้งแต่แรกเริ่ม นางเคยสนทนากับหวงจั่งซุนกี่ประโยคกันเล่า หนานกงซูผู้นี้ความจำเสื่อมหรือไม่

หนานกงซูส่งเสียงหยัน กัดฟันเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ งานเลี้ยงวันนั้นเจ้าหายไปกับหวงจั่งซุนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หลายวันมานี้หวงจั่งซุน…ไม่สนใจไยดีข้า ถ้าไม่ใช่เจ้าล่อลวงหวงจั่งซุนแล้วจะเป็นผู้ใดกัน”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มองสำรวจหนานกงซูที่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ หนานกงมั่วยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะออกมา หนานกงซูโมโห “เจ้าหัวเราะทำไมกัน” หนานกงมั่วหรี่ตาลง เอ่ยตอบ “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่ได้มีความสนใจต่อหวงจั่งซุนของเจ้าแม้เพียงนิด เพียงแต่…เห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเรา ข้าบอกความลับอย่างหนึ่งให้เจ้าดีหรือไม่”

หนานกงซูชะงัก มองหนานกงมั่วด้วยท่าทางระแวดระวัง เจิ้งซื่อเอ่ยเสียงเรียบ “ซูเอ๋อร์ อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของนาง”

หนานกงมั่วหัวเราะเบาๆ “ทำไม ไม่อยากให้หวงจั่งซุนลุ่มหลงในตัวเจ้าแล้วงั้นหรือ”

“เจ้าพูดมาสิ” หนานกงซูกัดฟัน หนานกงมั่วบอกนางก็ฟังไว้เพียงเท่านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอันใด

หนานกงมั่วกระซิบบอก “โบราณว่า ‘ภรรยาเอกมิสู้ภรรยารอง ภรรยารองมิสู้แอบลักลอบ แอบลักลอบมิสู้ลักไม่ได้’ น้องสาว เจ้าว่า…เจ้าควรเป็นผู้แอบลักลอบหรือผู้ที่ลักไม่ได้กันเล่า หึหึ…” เอ่ยจบ ก่อนที่สีหน้าของสองแม่ลูกจะทันได้เปลี่ยนแปลง หนานกงมั่วก็ก้าวถอยห่างไปไกลแล้ว ยังคงมีรอยยิ้ม “หว่านฮูหยิน เจ้าว่าข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่”

ใบหน้าเจิ้งซื่อกลายเป็นม่วงสลับขาว รู้สึกว่าหนานกงมั่วกำลังเสียดสีตนเอง

หนานกงซูกลับกระวนกระวาย “เจ้าบอกว่า…หวงจั่งซุนชอบคนอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าเหลวไหล หวงจั่งซุนบอกแล้วว่าชอบข้าเพียงผู้เดียว หนานกงมั่ว เจ้าริษยาข้า”

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท