คุณหนูหนานกงพ่นลมหายใจออกมา คร้านจะสนใจเขาอีก
คุณชายลิ่นเบ้ปากมองไปยังเว่ยจวินมั่ว คุณชายเว่ยมองเพื่อนอยู่นาน ราวกับไม่คาดหวังกับความฉลาดของเขาแล้ว เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “นั่นมันใบหญ้านี่” ไม่ใช่ยาอะไรทั้งนั้น ครั้งที่แล้วที่ออกไปล่าสัตว์ในป่าเขาเคยเห็นสิ่งนี้อยู่ริมหน้าผา
“เป็นเช่นนั้น…”
“ตามที่กล่าว…นั่นเป็นของขวัญชิ้นแรกที่อาจารย์อาผู้ล่วงลับมอบให้ข้า” หนานกงมั่วยักไหล่พลางกล่าว
ลิ่นฉังเฟิงมองหญ้าตรงหน้าอยู่เนิ่นนาน ไม่เอ่ยอะไรออกมาเพิ่มเติม
“พวกท่าน…ไม่กลับไปหลายวัน ไม่เป็นไรหรือ” หนานกงมั่วถามอย่างแปลกใจ แม้นางจะไม่กลับไป แน่นอนว่าไม่เป็นไร อย่างไรนางก็เป็นแค่คุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงเพียงเท่านั้น เป็นเพียงบุคคลไม่ได้สำคัญอันใดกับราชวงศ์ ทว่าสองคนนี้ไม่ใช่ ยิ่งไปกว่านั้น หวงจั่งซุนโดนลอบทำร้ายไปได้ไม่นาน สองคนนี้คงไม่ใช่ว่าไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิดหรอกนะ
ลิ่นฉังเฟิงถอนหายใจ เอ่ยด้วยท่าทางเกียจคร้าน “จะมีปัญหาอันใดได้”
“ก็อย่างเช่น…การไหว้บรรพบุรุษ”
“เพียงแค่พวกเราโผล่ไปในวันงานพิธีก็พอแล้วไม่ใช่หรือ” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “ยิ่งไปกว่านั้น เกรงว่าจวินมั่วไม่อยู่ คงจะทำให้ใครหลายคนยินดีซะมากกว่า”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว มองเว่ยจวินมั่วที่กำลังช่วยนางจัดยาอยู่เงียบๆ แม้จะไม่เอ่ยอะไรก็ใช่ว่าจะไม่แปลกใจ หัวใจกลับหมุนว่อนไปมาอย่างรวดเร็ว เว่ยจวินมั่วไม่เป็นที่พอใจของใครหลายคนขนาดนั้นเชียวหรือ หลายคนที่ว่านี้หมายถึงใคร หวงจั่งซุนงั้นหรือ คงไม่ใช่ สำหรับฐานะของเว่ยจวินมั่วคงไม่ไปเกี่ยวข้องอะไรกับหวงจั่งซุนหรือว่ารัชทายาท เช่นนั้น…ก็คงต้องเป็นตระกูลเว่ยงั้นหรือ ในเมื่อสกุลหนานกงเองก็มาที่นี่ทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นจวนจิ้งเจียงแม้จะไม่มาด้วยตนเองก็คงจะต้องส่งคนในจวนมาแน่ หลานรักของเยี่ยนอ๋องโจวอ๋องสองพระองค์ แน่นอนว่าคงเป็นที่ขัดหูขัดตาไม่น้อย
“ดูไม่ออกว่าเป็นเช่นนั้นเลย…เว่ยซื่อจื่อนั้นดูเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น” เมื่อนึกถึงว่าตนนั้นเสียเปรียบอยู่ในกำมือเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วก็พูดแทงใจดำเขาอย่างไม่เกรงใจ
เว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้น หางคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้างดงามเรียบเฉยทำให้รู้สึกเหมือนโดนเขาดูหมิ่นอยู่
“พวกเขายินยอมเป็นทาสรับใช้เซียวเชียนเยี่ย ไยข้าต้องห้าม” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
ลิ่นฉังเฟิงคึกคัก หัวเราะพลางเอ่ย “น่าเสียดาย แม้คนพวกนั้นจะคอยปรนนิบัติหวงจั่งซุนแล้วอย่างไร ก็แค่ไปเป็นทาสรับใช้ เสียเวลาเปล่าๆ” คนของจวนจิ้งเจียงพวกนั้น คิดว่านอบน้อมต่อหวงจั่งซุนกับรัชทายาทแล้วจะเอาชนะเว่ยจวินมั่วได้อย่างนั้นหรือ ไร้เดียงสาเสียจริง รัชทายาทยังต้องการการสนับสนุนของเยี่ยนอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้นรัชทายาทยังเคยติดหนี้ชีวิตเยี่ยนอ๋องอีกด้วย แม้จะทำเพื่อตนเอง รัชทายาทก็ไม่สามารถรังแกหลานตนเองอย่างชัดเจนได้อยู่ดี พวกสกุลเว่ยเหล่านั้นคิดว่าสมองของรัชทายาทจะมีแต่ขยะเหมือนตนเองหรืออย่างไรกัน
“ตระกูลใหญ่วุ่นวายเสียจริง” หนานกงมั่วถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น
“แม่นางมั่วเจ้าลืมไปแล้วหรือ จวนฉู่กั๋วกงก็ไม่ได้เล็กอะไรเลย” ลิ่นฉังเฟิงกล่าวด้วยความพึงพอใจ จวนฉู่กั๋วกงสงบกว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมาเพียงใดเชียว
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “นั่นสิ กลับไปยังต้องขอคำแนะนำจากคุณชายลิ่นด้วย” ตระกูลลิ่นเองก็เช่นกัน ลิ่นฉังเฟิงช่างเป็นคนวิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะเยาะวิ่งร้อยก้าว[1]
“เอ่อ…”
“พี่มั่ว พี่มั่ว” เด็กน้อยวัยเจ็ดแปดขวบวิ่งเข้ามา
หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวชี มีเรื่องอันใดหรือ”
เด็กน้อยตอบ “ท่านกั๋วกงพาคนกลับมาด้วย คงจะส่งคนมาหาพี่สาวเป็นแน่ ท่านแม่บอกให้ข้ามาแจ้งข่าวพี่สาว พี่สาวรีบกลับบ้านเถิด”
“ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามาก เดี๋ยวพี่สาวให้ลูกกวาด” หนานกงมั่วยิ้ม หยิบลูกกวาดออกมาจากกระเป๋า ยัดใส่ในมือของเด็กน้อย เด็กน้อยดีใจหน้าแดง โบกมือให้หนานกงมั่วแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“แม่นางมั่ว” ลิ่นฉังเฟิงขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขารู้ราคาของยาพวกนี้ คิดว่าหนานกงมั่วก็คงไม่ต้องการให้คนตระกูลหนานกงได้รับรู้
“ไม่ต้องกังวล ครอบครัวของเสี่ยวชีได้อาจารย์อาช่วยเอาไว้ อาศัยอยู่ทางเข้าหมู่บ้านไม่ไกลนี้ ปกติคอยช่วยทำไร่ทำนาอยู่ระแวกนี้” หนานกงมั่วบอก
“เจ้าเชื่อใจพวกข้าหรือ” เว่ยจวินมั่วที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น
หนานกงมั่วหันกลับมา ยิ้มหวานราวกับฤดูใบไม้ผลิ “แค่สวนยาแปลงเดียวเอง ไปเถอะ กลับกันได้แล้ว”
แค่สวนยาแปลงเดียวเอง หากเกิดเรื่องใด ให้สองคนนี้ชดใช้ก็คุ้มแล้ว แน่นอน หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นางเองก็คงไม่เกรงใจ
คนตระกูลหนานกงกลับมากันหมดแล้ว ไม่เพียงคนในตระกูลหนานกงเท่านั้น มีคนกลุ่มใหญ่กลับมาพร้อมกับหนานกงไหวด้วย กลุ่มคนที่ดูไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถง ก็มองเห็นชายในอาภรณ์สีขาวท่าทางอ่อนโยนนั่งอยู่บนที่นั่งพูดคุยกับหนานกงไหว หนานกงชวี่เองก็นั่งฟังด้วยท่าทางนอบน้อมอยู่ตรงนั้น นอกจากนั้นยังมีหนุ่มน้อยที่หนานกงมั่วรู้จักอยู่ด้วย
เมื่อมองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา หนานกงไหวขมวดคิ้วก่อน เมื่อเห็นเว่ยจวินมั่วและลิ่นฉังเฟิงที่เดินตามหลังมาก็ต้องชะงัก
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว ยังไม่รีบมาคารวะหวงจั่งซุนอีก” เจิ้งซื่อลุกขึ้นมา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรัก หนานกงมั่วแค่นยิ้มให้นาง นับถือความอดทนของนางอยู่ในใจ หากมีใครกล้าเอ่ยอะไรพวกนั้นต่อหน้านาง นางคงทนไม่ได้ฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ แน่
ที่แท้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ก็คือคนรักของหนานกงซู เซียวเชียนเยี่ยคือโอรสของรัชทายาทองค์ปัจจุบัน เซียวเชียนเยี่ยมองเห็นหนานกงมั่วเดินเข้ามา เขาจึงรู้สึกแปลกใจ เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ฉู่กั๋วกง ท่านนี้คือคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนานกงหรือ” หนานกงไหวยิ้มขื่น “ทำให้พระองค์ต้องตลกขบขันแล้ว” สภาพของหนานกงมั่วนั้น เพื่อจะได้สะดวกในเก็บยา นางจึงเปลี่ยนจากชุดผ้าแพรของสกุลหนานกงกลับไปเป็นชุดผ้าฝ้ายเช่นเดิม
“ถวายพระพรเย่ว์จวิ้นอ๋อง” หนานกงมั่วทำความเคารพ เอ่ยเบาๆ
เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้วแปลกใจ เย่ว์จวิ้นอ๋องหรือ ถูกต้อง เขาคือเย่ว์จวิ้นอ๋องไม่ผิดอย่างที่นางพูด แต่เขาเคยชินกับการที่ทุกคนในเมืองหลวงต่างเรียกขานเขาว่าหวงจั่งซุนไปแล้ว เพราะจวิ้นอ๋องมีถึงเจ็ดแปดคน ในขณะที่หวงจั่งซุนมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น เว่ยจวินมั่วก้าวขึ้นมา “เย่ว์จวิ้นอ๋อง”
“จวินมั่ว เจ้าก็อยู่ที่นี่หรือ เราเป็นพี่น้องกัน ต้องเกรงใจเช่นนี้ไปทำไม เรียกเสด็จพี่ก็พอแล้ว” เซียวเชียนเยี่ยบอก แม้ใบหน้าไม่งดงามเท่าเว่ยจวินมั่ว ทว่าหวงจั่งซุนที่ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กย่อมต้องมีความน่าเกรงขามอยู่บ้าง เว่ยจวินมั่วยกมุมปากขึ้น ไม่เอ่ยอะไรตอบ นอกจากญาติพี่น้องของเขา เยี่ยนอ๋องและฉีอ๋อง รวมถึงเสด็จลุงทั้งสองของเขา เขาไม่มีวันเรียกพี่น้องคนใดว่าพี่น้อง เพราะเขารู้ดี เหล่าเชื้อพระวงศ์พวกนี้ไม่ว่าจะแสดงออกมาสนิทชิดเชื้อมากเพียงใด ในใจกลับดูหมิ่นเขา เขาเข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างถ่องแท้มาตั้งแต่อายุเพียงหกขวบ
“เอ๊ะ ไม่ใช่ว่าหวงจั่งซุนไม่ค่อยสบายหรอกหรือ แต่กลับมาอยู่ที่นี่ได้…” ลิ่นฉังเฟิงเล่นพัดในมือ เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
[1] วิ่งห้าสิบก้าวหัวเราะร้อยก้าว หมายถึงผู้ที่มีความผิดหรือข้อบกพร่องเช่นเดียวกับผู้อื่นแม้ว่าจะเบากว่า เล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรหัวเราะเยาะหรือประนามผู้อื่นเพราะถึงอย่างไรตนเองก็ผิดหรือมีข้อบกพร่องแบบเดียวกัน