หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 34 หย่งชังจวิ้นจู่ (2)

ตอนที่ 34 หย่งชังจวิ้นจู่ (2)

 

ร้อยปีก่อนมีการรุกรานของต่างแคว้น ราชวงศ์ยากที่จะหลบเลี่ยงจึงมีอายุไม่ยืนยาว ตระกูลขุนนางต่างๆ เองก็ล่มสลายหายไปพร้อมกับราชวงศ์ เหลือเพียงตระกูลเซี่ยและเมิ่งที่ยังคงอยู่ไม่กลับเป่ยหยวน ขณะที่ลูกหลานของแคว้นต่างพากันทยอยกลับเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าเขา เมื่อยามเบื้องบนจัดตั้งกองกำลังขึ้น ตระกูลเซี่ยและเมิ่งสองตระกูลต่างส่งคนร่วมสนับสนุน รวมถึงใช้ทรัพย์สินของตนเพื่อเป็นทุนรอนในการก่อกบฎ แต่ช่างน่าเสียดาย เมื่อเทียบกับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเมิ่งและตระกูลเซี่ยแล้ว จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในขณะนั้นเชื่อถือในประชาชนธรรมดาตามภูมิหลังเดิมของตัวเขามากกว่า ตระกูลเมิ่งนั้นล่มสลายหายไปกับสงครามตั้งแต่ราชวงศ์ปัจจุบันยังไม่ถูกก่อตั้งขึ้นมาด้วยซ้ำ ทว่าภายหลังจากการก่อตั้งประเทศแล้ว ตระกูลเซี่ยกลับไม่ได้รับสิ่งใดนอกจากชื่อเสียงปลอมๆ อย่างตัวซิ่งอี้โหว เขาไม่ได้รับสิ่งอื่นใดเลย ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บสาหัส 

นายท่านตระกูลเซี่ยเป็นคนฉลาด เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิไม่คิดต้อนรับ พวกเขาจึงถอยกลับในทันที ตระกูลเซี่ยไม่เข้าร่วมกับราชสำนัก ทำเพียงเปิดโรงเรียนสอนหลังสือแก่ผู้คน เป็นที่น่าจดจำแก่ผู้คนในเมืองจินหลิง 

ในสวนพฤกษา หญิงสาวสองคนสบตากันพลางหัวเราะออกมา บางครั้งเวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่กลับรู้สึกราวกับชั่วพริบตา เมื่อถูกชะตาก็กลายเป็นเพื่อนนับแต่นั้น 

“ความจริงก่อนจะมา ข้าก็คิดว่าจะต้องได้เจอเจ้าอย่างแน่นอน” เซี่ยเพ่ยหวนกล่าว 

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยต่อไปว่า “ท่านยายบอกข้าน่ะ ท่านบอกว่าหนานกงฮูหยินเป็นคนที่ยายคอยเฝ้ามองจนเติบใหญ่ด้วย” มารดาของหนานกงมั่วเป็นคนตระกูลเมิ่ง ตระกูลเมิ่งและตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลที่อยู่มาเก่าแก่ แน่นอนความสัมพันธ์ต่อกันย่อมแน่นแฟ้น น่าเสียดายที่ในตอนนี้สกุลเมิ่งไม่เหลืออยู่แล้ว เหลือเพียงตระกูลเซี่ยเท่านั้น 

หนานกงมั่วนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ในความทรงจำมีเรื่องเกี่ยวกับนายหญิงใหญ่ตระกูลเซี่ยอยู่บ้าง นางยิ้มตอบกลับไป “กลับไปข้าต้องไปคารวะนายหญิงใหญ่อย่างแน่นอน” 

เซี่ยเพ่ยหวนปิดปากหัวเราะ “ต้องไปแน่นอนสิ หากเจ้ายังไม่ไปตระกูลเซี่ยจะตัดขาดตระกูลหนานกงแล้วล่ะ หึ แน่นอน…ตระกูลเซี่ยของเราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหนานกงอยู่แล้ว” ความสัมพันธ์ของตระกูลเซี่ยที่มีต่อตระกูลหนานกงนั้นเพราะเห็นแก่ตระกูลเมิ่ง หากตั้งแต่หนานกงฮูหยินจากไป งานเลี้ยงในตระกูลเซี่ยก็ไม่เคยเชิญนายหญิงจากจวนหนานกงอีกเลย นี่เป็นการมองข้ามเจิ้งซื่อของตระกูลร่ำรวยสูงส่งอย่างตระกูลเซี่ย เช่นเดียวกันนับเป็นการให้เกียรติแก่หนานกงฮูหยิน และหากมองในอีกแง่ เซี่ยเพ่ยหวนกำลังบอกนางว่า…ความสัมพันธ์ของตระกูลเซี่ยและตระกูลหนานกงนั้นไม่ค่อยดีนัก 

“ทำไมไม่เห็นคุณหนูรองบ้านเจ้าเลยล่ะ” เซี่ยเพ่ยหวนถามอย่างแปลกใจ นางไม่ชอบหนานกงซูเท่าไรนัก หากจะพูดให้ดีหน่อยก็ถือว่าเป็นเพื่อนห่างๆ ที่เก่งการร่ายรำ และหากจะพูดให้ไม่น่าฟังก็เป็นเพียงคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ชื่อเสียงในเมืองจินหลิงของนางก็เป็นเช่นนี้แล ไม่ค่อยสนใจเรื่องมารยาท หากเป็นเมื่อก่อนหรือสิบปีก่อนหน้านี้ คนอย่างหนานกงซูคงไม่มีใครเหลียวแลเป็นแน่ 

แม้เซี่ยเพ่ยหวนจะมีนิสัยใจกว้างโอบอ้อมอารี ทว่าความเย่อหยิ่งในฐานะของตน นางก็ยังมีอยู่ด้วยเช่นกัน ความเย่อหยิ่งจากตระกูลเก่าที่สืบทอดมานานนับพันปีจะมาบิดเบี้ยวเพราะเชื้อสายรองเพียงคนเดียวได้อย่างไร 

หนานกงมั่วส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบไปว่า “ข้ามาอยู่กับพระชายาเยี่ยนอ๋องตั้งแต่เช้า นางน่าจะมากับเจิ้งซื่อกระมัง” เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก หนานกงมั่วก็ไม่ได้เรียกนางว่าฮูหยินหว่าน คำเรียกขานนั้นนับเป็นการหมิ่นเกียรติ แต่เมื่อเอ่ยเรียกว่าเจิ้งซื่อก็ถือว่าเป็นการแบ่งแยกอยู่ดี 

เพียงแค่คำเรียกขาน เซี่ยเพ่ยหวนก็รับรู้ถึงท่าทีที่หนานกงมั่วมีต่อสองแม่ลูกเจิ้งซื่อนั่นแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจึงมีความจริงใจมากขึ้นไปอีก เพียงแต่ยังกังวลอยู่เล็กน้อย “เกรงว่าเมื่อกลับไปถึงจินหลิงแล้วคงจะต้องลำบากมากขึ้นสักหน่อย เยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องต้องกลับไปโยวโจว หากมีเรื่องอะไรให้เจ้ามาที่ตระกูลเซี่ยได้เลย” 

“ขอบใจเจ้ามาก” หนานกงมั่วกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม 

เซี่ยเพ่ยหวนเติบโตมาจากตระกูลมีชื่อเสียง หนานกงมั่วมีความรู้มากมายต่อโลกกว้าง แน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งแรกนี้ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ทว่ามีคนที่มองแล้วรู้สึกขัดตากับความกลมเกลียวนี้อยู่ หญิงสาวในชุดงามเลิศหรูกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามา “เจ้าก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วที่ถูกทอดทิ้งไว้ที่ชนบทสินะ” คนที่ดูเป็นผู้นำอยู่ในชุดสีแดงสวยสดงดงามเอ่ยขึ้น ความเย่อหยิ่งนั้นได้ทำลายภาพลักษณ์อันอ่อนหวานไปหมดสิ้น เหลือไว้เพียงความเย่อหยิ่งจองหองให้เห็นเท่านั้น 

“ท่านผู้นี้คือ?” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว กล้าไร้มารยาทต่อหน้าผู้คนเยี่ยงนี้ คิดว่าฐานะคงไม่ธรรมดาแน่ เพียงแต่ในห้องโถงเมื่อสักครู่ไม่ทันได้เจอกับหญิงผู้นี้มาก่อน 

เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยตอบ “ผู้นี้คือบุตรีคนโตของรัชทายาท หย่งชังจวิ้นจู่” ลูกหลานของฝ่าบาทมีมากมาย แต่มีเพียงหยิบมือที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ สามารถได้รับการแต่งตั้งเช่นนี้คาดว่าคงจะได้รับความเอ็นดูไม่น้อย 

“ถวายพระพรจวิ้นจู่” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้น 

หย่งชังจวิ้นจู่เหลือบตามองหนานกงมั่ว ส่งเสียงหยัน “หน้าตาก็งั้นๆ” 

ทุกคนเหงื่อตก จวิ้นจู่ผู้นี้คิดจะเสียดสีตนเองหรือหนานกงมั่วกันแน่นะ ถึงได้เอาส่วนที่ด้อยที่สุดของตนมาเสียดสีผู้อื่น คุณหนูหนานกงผู้นี้ถึงจะไม่ได้สวยงามจนไม่อาจละสายตา แต่เรียกได้ว่าความงามของนางนั้นโดดเด่น ต่อให้หย่งชังจวิ้นจู่งดงามกว่านี้เป็นสิบเท่าก็ยังสู้หนานกงมั่วมิได้อยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นการแต่งตัวของหญิงสาวผู้นี้ยังดูธรรมดา เพียงเท่านี้ยังกลายเป็นหญิงงามในสายตาของทุกคนได้ หากได้สวมอาภรณ์เลิศหรูล่ะก็ คงจะงดงามไร้ที่ติให้ได้ร่ำลือกันเป็นแน่ หย่งชังจวิ้นจู่ยังกล้ากล่าวว่างั้นๆ อยู่หรือ 

คิ้วเรียวสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงกล่าวได้ถูกต้องแล้วเพคะ หน้าตาเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่สมควรยึดติด” 

ถึงจะเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก พวกเราก็อยากสวยกว่านี้นะ ใครบอกอย่ายึดติดกัน 

หย่งชังจวิ้นจู่เองรู้ตัวว่าตนเริ่มต้นมาเช่นนี้ไม่เป็นการดีสักเท่าไรทว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว หญิงสาวผู้เย่อหยิ่งได้เจอกับหญิงที่งดงามเหนือกว่าตน นางจึงรู้สึกว่าไม่ใส่ใจไม่ได้ต้องส่งเสียงดูแคลนออกไปบ้าง หย่งชังจวิ้นจู่เอ่ยตอบกลับไปว่า “ทำไมเห็นเจ้าผู้เดียวล่ะ ทำไมซูเอ๋อร์ไม่มาด้วยกัน คงไม่ใช่ว่าเจ้าคิดว่าตนเองเป็นพี่สาวจึงไปกดดันไม่ให้ซูเอ๋อร์มาด้วยหรอกนะ” 

หนานกงมั่วคลี่ยิ้มเล็กน้อย “จวิ้นจู่ล้อเล่นแล้ว หม่อมฉันมากับพระชายาเยี่ยนอ๋องเพคะ ส่วน…ซูเอ๋อร์ หม่อมฉันมิอาจทราบได้ หากจวิ้นจู่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง ลองเอ่ยถามกับมารดาของนางจะไม่ดีกว่าหรือ” 

“มารดาของนางอะไร” ใบหน้าหย่งชังจวิ้นจู่เข้มขึ้น เอ่ยต่อไปว่า “ฮูหยินเจิ้งอยู่ในตำแหน่งฮูหยินฉู่กั๋วกง คุณหนูหนานกงต้องเรียกมารดาสิ เช่นนี้ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ช่างเป็นหญิงมาจากชนบทเสียจริง” 

ดวงตาหนานกงมั่วทะมึนขึ้น นางไม่เข้าใจเลยว่าไยจวิ้นจู่ผู้นี้ถึงได้ไม่ชอบนาง จึงก้มหน้าเล็กน้อย หนานกงมั่วเอ่ยเนิบช้า “จวิ้นจู่คงล้อเล่นแล้ว มารดาของหม่อมฉันสกุลเมิ่ง จากโลกนี้ไปเมื่อหลายปีก่อนหน้า บิดายังมิได้ตบแต่งกับใครอื่นอีก คำว่ามารดานี้จะมาจากแห่งหนใดกัน หรือว่า…รัชทายาทเองก็รับสั่งให้จวิ้นจู่เรียกขานเหล่าพระสนมว่ามารดาเช่นกันเพคะ” 

“สามหาว” ใบหน้าหย่งชังจวิ้นจู่เปลี่ยนสี นางเป็นบุตรีคนโตของรัชทายาท แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากบรรดาสนมเชื้อสายรองพวกนั้น คำพูดของหนานกงมั่วฟังแล้วราวกับกำลังดูถูกต้นกำเนิดของนางอยู่ 

“สิ่งที่คุณหนูหนานกงกล่าวนั้นมีสิ่งใดไม่ถูกหรือ จวิ้นจู่ได้โปรดชี้แนะ ช่วยยกตัวอย่างให้หม่อมฉันได้ฟังด้วยสักข้อสองข้อ เพื่อจะได้จดจำใส่ใจเอาไว้เพคะ” เซี่ยเพ่ยหวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

หย่งชังจวิ้นจู่กัดฟัน พูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วครู่ หญิงที่อยู่ในที่แห่งนี้ต่างก็เป็นเชื้อสายหลัก สามีรักภรรยารองมากกว่านั้นมีไม่น้อย ทว่ายอมละทิ้งลาภยศและอำนาจเพื่อภรรยานั้นมีน้อยอย่างยิ่ง เมื่อยามที่ฝ่าบาทมีรับสั่งห้ามให้แต่งตั้งภรรยารองขึ้นแทนภรรยาเอก ผู้ใดที่คิดจะผลักดันภรรยารองต่างต้องพับเก็บความตั้งใจและแต่งภรรยาไปตามธรรมเนียมเท่านั้น ภรรยาใหม่ฟังแล้วแม้จะต่างจากภรรยาเดิมอยู่บ้าง ทว่าอย่างไรก็ได้รับการสู่ขอแต่งงานตามธรรมเนียม สำหรับภรรยารองที่รักนั้น แค่เอาอกเอาใจต่อไปก็นับว่าเพียงพอแล้ว 

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท