“หนานกงซูเสนอตัวมาเอง จะโทษใครได้” เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่ว่าเซียวเชียนเยี่ยจะเหยียบเรือกี่แคม หนานกงซูก็พาตนเองเข้ามาให้เหยียบถึงที่ เซียวเชียนเยี่ยกล้าเข้าหาเซี่ยเพ่ยหวนในเวลานี้ แสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจแล้วว่าหนานกงซูจะต้องแต่งกับเขาอย่างแน่นอน บุตรีของตนไม่ทันคน หนานกงไหวจะทำอันใดได้
ลิ่นฉังเฟิงยิ้มอนาถใจ ชำเลืองมองเว่ยจวินมั่ว “เจ้าหมายถึง…พวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วอย่างนั้นหรือ ดูไม่ออกเลยว่าหนานกงซูผู้นี้ที่เหมือนจะอ่อนโยนกลับปล่อยตัวถึงเพียงนี้ เพียงแต่…น่าแปลก ตอนนั้นเจิ้งซื่อเองก็ตั้งท้องก่อนจะเข้ามาอยู่ที่จวนหนานกงมิใช่หรือ”
เว่ยจวินมั่วหันกลับมา เอ่ยกับเขาเสียงเรียบ “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ลิ่นฉังเฟิงมึนงง “เช่นนั้นเจ้าหมายความเช่นไร”
เว่ยจวินมั่วคร้านจะสนใจเขา หมุนตัวเดินหนีออกไป
เกลียดที่สุดเลยคนชอบเอ่ยวาจาครึ่งๆ กลางๆ คุณชายฉังเฟิงกระทืบเท้าด้วยความโกรธอยู่ตรงนั้น ทว่าทำได้เพียงมองเว่ยจวินมั่วเดินจากไป เขาเอาชนะเจ้านี่ไม่เคยได้เลย
ผืนหญ้าเขียวชอุ่มริมทะเลสาบ หนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนกำลังนั่งมองออกไปทางทะเลสาบ เซี่ยเพ่ยหวนถอนหายใจเอ่ย “แม้จะเกลียดการเดินทางล่าช้าเช่นนี้ แต่ว่า ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลวเลย กลับถึงจินหลิงแล้วคงไม่ได้เห็นอะไรเช่นนี้อีกแล้ว” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ได้อย่างไรกัน จินหลิงเองก็เป็นเมืองโบราณงดงามสืบทอดมาหลายราชวงศ์ ถูกเจ้ารังเกียจเช่นนี้ เมืองจินหลิงคงได้ร่ำไห้”
เซี่ยเพ่ยหวนชะงัก หัวเราะออกมา “คุยกับเจ้านี่มันสนุกจริงๆ”
หนานกงมั่วมิได้ใส่ใจ มือค้ำยันไปที่ผืนหญ้า เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าไปยั่วยวนเซียวเชียนเยี่ยได้เยี่ยงไร”
เซี่ยเพ่ยหวนถอนหายใจออกมา “ข้าไปยั่วยวนเซียวเชียนเยี่ยตั้งแต่เมื่อใดกัน ตระกูลเซี่ยต่างหากที่เขาสนใจ ต่อให้ไม่มีเซี่ยสามเช่นข้า จะมีเซี่ยสี่เซี่ยห้า เขาก็คงจะปฏิบัติด้วยเช่นนี้ทั้งนั้น”
หนานกงมั่วเข้าใจ “ชาติกำเนิดดึงภัยมาให้ทั้งนั้น ใครต่างก็วิ่งเข้าหาหวงจั่งซุน เจ้ากลับหลบหลีกและหวาดกลัวเช่นนี้ ระวังบรรดาคุณหนูในเมืองหลวงจะเกลียดเจ้าเอา” เซี่ยเพ่ยหวนถอนหายใจ เอ่ยตอบกลับ “ตอนนี้ข้าหวังว่าชายาของเย่ว์จวิ้นอ๋องจะไม่โกรธแค้นข้า จะว่าไป ข้ากับชายาหยวนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้ากับพระชายาจวิ้นอ๋องจะตัดสินใจได้” หากเซียวเชียนเยี่ยหลงใหลในความงามของเซี่ยเพ่ยหวนก็คงไม่มีอะไรไปมากกว่านี้ แต่ตอนนี้สิ่งที่เซียวเชียนเยี่ยให้ความสำคัญก็คืออำนาจและอิทธิพลของตระกูลเซี่ย ไม่ว่าใครมาอยู่แทนตำแหน่งของเซี่ยเพ่ยหวนล้วนไม่ต่างกัน
เซี่ยเพ่ยหวนหันกลับมามองนาง เอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้ารู้ไปซะทุกเรื่องเลย”
หนานกงมั่วยังคงยิ้ม “เซียวเชียนเยี่ยแสดงออกมามากถึงเพียงนั้น มิสู้กลับถึงจินหลิงแล้วรีบให้นายหญิงใหญ่เซี่ยหมั้นหมายให้เจ้าได้แล้ว จะว่าไปเจ้าก็อายุมากกว่าข้ามิใช่หรือ”
เซี่ยเพ่ยหวนหัวเราะ “เจ้าไม่รู้หรือ ข้ามีคู่หมั้นแล้ว”
“มีแล้วงั้นหรือ” หนานกงมั่วประหลาดใจ รีบดึงสติกลับมา นางไม่คุ้นเคยกับขั้วอำนาจในเมืองจินหลิงเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าการหมั้นหมายของเซี่ยเพ่ยหวนนั้นเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป เพียงเห็นว่าเซียวเชียนเยี่ยคอยตามตื้อเซี่ยเพ่ยหวนจึงคิดว่าเซี่ยเพ่ยหวนยังมิได้หมั้นหมาย แต่จากความทรงจำของนางเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของตระกูลใหญ่ อายุเยี่ยงเซี่ยเพ่ยหวนยังมิได้แต่งงานถือเป็นเรื่องปกติ ทว่าหากยังไม่หมั้นหมายนั้นก็ออกจะแปลกอยู่บ้าง
เซี่ยเพ่ยหวนหันมองออกไปยังทะเลสาบกว้าง พยักหน้าตอบ “ใช่ เพียงแต่…คนผู้นั้นจากโลกนี้ไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้วแล้ว”
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ ยังไม่ทันแต่งงานคู่หมั้นก็มาจากไปแล้ว สำหรับยุคสมัยนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับสตรีเลย หากเจอครอบครัวที่โชคดี อนาคตคงจะได้แต่งอีกครั้ง แต่ชีวิตของหญิงสาวส่วนใหญ่ต้องมาจบลงเพียงเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องไว้ทุกข์แก่สามี อยู่โดดเดี่ยวไปจนแก่เฒ่า ทว่าแม้ตระกูลเซี่ยจะมีกฎเข้มงวด แต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างเสียทีเดียว นายหญิงใหญ่ตระกูลเซี่ยคงไม่ยอมให้หลานสาวต้องมาเสียเวลาเปล่าไปชั่วชีวิตเป็นแน่
“คนผู้นั้น…คือใคร” หนานกงมั่วถาม
เซี่ยเพ่ยหวนหันกลับมามองนาง ยังคงยิ้ม “องค์ชายสิบเก้าเซียวเฉิน”
องค์ชายสิบเก้าเซียวเฉิน เป็นโอรสองค์เล็กสุด ร่างกายอ่อนแอป่วยง่ายมาแต่เยาว์วัย เมื่อชันษาได้สิบพรรษา ฝ่าบาทได้ทำการหมั้นหมายให้องค์ชายสิบเก้าตามคำร้องขอของหลินกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดา สี่ปีก่อนเมื่อองค์ชายสิบเก้าสิ้นพระชนม์ในวัยเพียงสิบสองพรรษา อาการป่วยขององค์ชายสิบเก้านั้นแน่นอนว่าฝ่าบาทและพระสนมล้วนทุกข์ระทม แต่ราชวงศ์กลับลืมไปแล้วว่ามีเด็กสาวผู้หนึ่งที่อนาคตต้องจบสิ้นลง บางทีฝ่าบาทอาจจะไม่ได้ลืม ทว่าไม่ใส่ใจ เมื่อเทียบกับโอรสของตนแล้ว อนาคตที่จบสิ้นของบุตรีตระกูลเซี่ยเพียงคนเดียวนั้นมิได้สำคัญแต่อย่างใดเลย ยิ่งไปกว่านั้น หากบุตรีของตระกูลเซี่ยมิได้ออกเรือน ก็ถือเป็นการตัดเส้นสายผู้สืบทอดตระกูลเซี่ยอีกทาง เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
มองแววตาสงสัยของหนานกงมั่ว เซี่ยเพ่ยหวนจึงยิ้มออกมา “ตอนนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าทำไมเย่ว์จวิ้นอ๋องจึงคิดว่าจะแต่งข้าไปเป็นชายารองได้ หญิงที่คู่หมั้นเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีใครกล้าตบแต่งด้วย มีโอกาสได้แต่งเข้าจวนจวิ้นอ๋องนับเป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้ว”
“เจ้าจะแต่งหรือ” หากเป็นพระคุณจริง ก็คงไม่ปฏิเสธเซียวเชียนเยี่ยอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้หรอก
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มเล็กน้อย เอ่ยตอบ “ความจริงแบบนี้ก็ไม่เลว ฝ่าบาท…คงจะรู้สึกผิดต่อตระกูลเซี่ยของเราอยู่บ้าง ดังนั้นหลายปีมานี้ทุกคนจึงดีต่อข้ามาก บางทีอาจเพราะเหตุนี้ ทำให้คนเกิดความคิดที่ไม่สมควร” ตอนนี้หนานกงมั่วเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพระชายาเยี่ยนอ๋องและพระชายาโจวอ๋องรวมถึงบรรดาคุณหนูจึงมีท่าทีต่อเซี่ยเพ่ยหวนเช่นนั้น เป็นถึงคุณหนูจากตระกูลเซี่ย ทว่ากลับไปไหนมาไหนผู้เดียว ไม่รวมกลุ่มกับเหล่าคุณหนูคนอื่นๆ เมื่อก่อนคิดว่าเซี่ยเพ่ยหวนดูถูกคุณหนูเหล่านั้น ยามนี้ดูเหมือนจะคล้ายกันกับเว่ยจวินมั่ว ถูกผู้อื่นตีตัวออกห่าง
“จะว่าไป หากไม่ใช่เพราะเว่ยจวินมั่วเองก็มีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก พระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็คงไม่ยอมให้เจ้าเข้าใกล้ข้าเป็นแน่” เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มตาหยี
หนานกงมั่วส่ายหน้า “ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก เยี่ยนอ๋องยังบอกว่าข้าดวงตามีแวว มองคนไม่ผิดอยู่เลย”
เซี่ยเพ่ยหวนอดแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าไม่ได้ “ได้รับคำชื่นชมจากเยี่ยนอ๋องนับว่าเป็นวาสนาแล้ว”
มองใบหน้าราบเรียบของเซี่ยเพ่ยหวน หนานกงมั่วไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เซี่ยเพ่ยหวนไม่ใช่คนที่ต้องการความเห็นใจจากนาง ยิ่งไปกว่านั้น นางเห็นใจแล้วจะเกิดประโยชน์อันใดกัน ซ้ำยังจะทำให้คนรู้สึกไม่ดีขึ้นไปอีก หัวข้อพลันเปลี่ยน หนานกงมั่วยิ้มให้ “เช่นนี้ เวลาที่เหลืออยู่เจ้าก็มาอยู่ที่รถม้าของข้า ข้ายังมีหลายเรื่องต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าอีก”
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มบางๆ สัมผัสได้ถึงความใส่ใจของนาง “ขอเพียงคุณหนูรองไม่รังเกียจก็พอ”
หนานกงมั่วไม่สนใจ “หากนางรังเกียจก็ให้นางไปนั่งกับมารดาของนางเสียสิ” เดิมทีหนานกงซูก็ควรนั่งไปกับเจิ้งซื่อ เพียงแต่หนานกงไหวอยากแสดงให้ผู้คนเห็นความสัมพันธ์ที่ดีของพี่น้องจึงลำบากทั้งสองที่ต้องคอยฟาดฟันกันในรถม้า หากหนานกงซูไม่โง่ ก็คงต้องอาศัยจังหวะนี้ในการเปลี่ยนรถม้า
“ได้ งั้นข้าก็ขอรบ…”
“โอ๊ย มีคนตกน้ำแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล ทะเลสาบแห่งนี้แม้ไม่กว้างใหญ่มาก แต่ก็ไม่ได้เล็กเสียทีเดียว เพราะบริเวณโดยรอบนั้นงดงาม บรรดาคุณหนูชั้นสูงจึงพากันแยกย้ายกันเดินชมไปทั่ว ทั้งสองเงยหน้าขึ้นไปมอง มองเห็นร่างในชุดสีแดงกำลังตะเกียกตะกาย จากนั้นค่อยๆ จมหายลงไป