ได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนจึงนิ่งคิด ทันใดนั้นเหงื่อก็ทะลักออกมาด้วยความตกใจ เหตุใดตระกูลจูจึงสละทรัพย์สมบัติในครั้งนั้น เพื่อคุณธรรมอย่างนั้นหรือ เพียงเพราะตระกูลจูนั้นมั่งคั่งร่ำรวยทว่าไร้ซึ่งอำนาจ ตระกูลจูสละทรัพย์สมบัติออกไปเป็นสิบเท่าของตระกูลเซี่ย แต่สุดท้ายตระกูลเซี่ยกลับได้ตำแหน่งโหวไป พวกเขากลับได้เพียงชั้นปั๋ว ตระกูลเซี่ยกลายเป็นอันดับหนึ่งแห่งจินหลิง ขณะที่ตระกูลจูของพวกเขากลับอยู่อันดับรั้งท้ายของสิบตระกูล เพราะเหตุใดกัน หรือเพราะตระกูลเซี่ยมีอำนาจมากกว่าตระกูลจู ตระกูลเซี่ยนับเป็นตระกูลเก่าแก่มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า ไม่ใช่ตระกูลที่ฝ่าบาทจะกดขี่ได้ง่ายๆ
เห็นท่าทีของบิดา หญิงสาวก็รู้ว่าเขาเริ่มมีใจเอนเอียงกับสิ่งที่ตนกล่าวแล้ว รอยยิ้มสวยค่อยๆ ปรากฏขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้เถิดเจ้าค่ะ อยากเข้าร่วมราชสำนักนอกจากการเป็นขุนนางแล้วก็คงเป็นกองทัพ รากของตระกูลจูของเรานั้นตื้นเขิน เหล่านักปราชญ์พวกนั้นล้วนดูถูกเรา แต่กับเรื่องกองทัพ…นอกจากเยี่ยนอ๋องแห่งโยวโจวที่คอยสู้รบอยู่กับเป่ยหยวนแล้ว ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดมีความสามารถเรื่องการรบอีกเล่า”
เนิ่นนานทีเดียว ชายวัยกลางคนผู้นั้นจึงถอนหายใจออกมา “หากพี่น้องของเจ้าฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าก็คงไม่ต้องกังวลแล้ว”
หญิงสาวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าเป็นบุตรีตระกูลจู หากครอบครัวของเราดี ลูกจึงจะดีไปด้วย ลูกจะทำร้ายตระกูลจูของเราทำไมกัน”
“ช่างเถิด ทำตามที่เจ้าบอก แต่ต้องจำเอาไว้ให้ดี อย่าทำเกินไปจนทำให้ฉู่กั๋วกงและคุณหนูใหญ่หนานกงต้องขุ่นเคือง เราต้องถ่อมตัวเสียบ้าง…”
หญิงสาวก้มหน้าตอบรับ “ลูกรู้เจ้าค่ะ” ขนตาโค้งงอปกปิดความเย่อหยิ่งไว้ ถอยหนึ่งก้าวอย่างนั้นหรือ ท่านพ่อหมายถึงให้นางเป็นอนุอย่างนั้นน่ะหรือ นาง…จะเป็นอนุได้อย่างไรกัน คุณหนูใหญ่ตระกูลหนานกงหรือ สตรีคนสุดท้ายของตระกูลเมิ่ง วุ่นวายเสียจริง หากนางมีฐานะเช่นหนานกงมั่ว เรื่องอะไรนางจะยอมถูกกระทำเช่นนี้
“ท่านปั๋ว คุณหนู” ด้านนอกกระโจม มีเสียงรายงานจากสาวใช้ดังขึ้น
หญิงสาวเงงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “จูเอ๋อร์งั้นหรือ เข้ามาสิ”
ผ้าม่านถูกเปิดออก สาวใช้นามว่าจูเอ๋อร์จึงเดินเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม ชายวัยกลางคนทนรอไม่ไหว โบกมือขึ้นพลางเอ่ย “ไม่ต้องมากพิธี เว่ยซื่อจื่อว่าเยี่ยงไรบ้าง”
จูเอ๋อร์มองชายผู้นั้นแล้วหันมามองคุณหนูของตน “รายงานท่านปั๋ว เว่ยซื่อจื่อ…เว่ยซื่อจื่อกล่าวว่ามีเรื่องต้องจัดการ คงมางานเลี้ยงมิได้เจ้าค่ะ”
หญิงสาวขมวดคิ้ว เอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง “เว่ยซื่อจื่อกล่าวเองเลยงั้นหรือ”
สาวใช้ไม่กล้าปิดบังต่อเจ้านายของตน จึงเล่าให้เจ้านายฟังตามคำพูดของหนานกงมั่ว เมื่อฟังจบ คิ้วเรียวของหญิงสาวยิ่งขมวดเป็นปมมากขึ้น กล่าวเสียงแผ่วเบา “หนานกงมั่ว…หนานกงมั่วไม่รู้สึกไม่พอใจต่อการแต่งงานครั้งนี้บ้างเลยหรือ”
จูเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “เว่ยซื่อจื่อและคุณหนูหนานกงดูเหมือนจะ…รักใคร่ปรองดองกันมากเลยนะเจ้าคะ”
หญิงสาวหลุบตาลง ไตร่ตรองอยู่นานจึงเอ่ย “รักใคร่ปรองดองอย่างนั้นหรือ นั่นเพราะหนานกงมั่วยังมิเคยได้ยินข่าวลือในจินหลิงต่างหากเล่า ใช้ชีวิตอยู่แต่ในชนบท คงยังไม่เคยเจอเหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ ถึงรูปลักษณ์หน้าตาของเว่ยซื่อจื่อ…แม้จะนับว่าดีก็ตาม” บรรดาคุณหนูในจินหลิงหวาดกลัวเว่ยจวินมั่วเพราะดวงตาที่แปลกประหลาดของเขาเพียงเท่านั้นหรือ ไม่ใช่หรอก คนที่เคยสบตากับเว่ยจวินมั่วจริงๆ นั้นมีเพียงกี่คนกัน สิ่งที่พวกนางหวาดกลัวคือความหมายของมันต่างหาก…ต่างเผ่าพันธุ์ ป่าเถื่อน โหดร้าย ต่ำต้อย…
รอยยิ้มเย็นยกขึ้นที่มุมปาก หญิงสาวเอ่ยต่อ “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน เรื่องนี้ช่างเถิด”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
เมื่อหนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนกลับมายังกระโจมของตระกูลหนานกง ไม่รู้เหตุใดหนานกงซูจึงกำลังโกรธ มีเจิ้งซื่อคอยปลอบอยู่ด้านข้าง แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล มองเห็นเซี่ยเพ่ยหวน ใบหน้าของหนานกงซูยิ่งไม่น่ามองขึ้นไปอีก ดูเหมือนความสัมพันธ์กับเซี่ยเพ่ยหวนเองก็ไม่ดีเท่าที่ควร
ความจริง บอกว่าหนานกงซูและเซี่ยเพ่ยหวนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันนับว่ายกระดับหนานกงซูมากแล้ว พูดให้ถูกก็คือด้วยฐานะของหนานกงซูแล้วไม่มีทางที่จะคบค้ากับเซี่ยเพ่ยหวนได้ด้วยซ้ำ หนานกงซูไม่ชอบเซี่ยเพ่ยหวนนับว่าเป็นเรื่องปกติ บิดาของนางเป็นถึงกั๋วกง บิดาของเซี่ยเพ่ยหวนเป็นเพียงท่านโหว ทว่าในสายตาของบรรดาคุณหนูในเมืองจินหลิง ไม่ว่าชาติกำเนิดหรือฐานะหนานกงซูก็เทียบเซี่ยเพ่ยหวนไม่ได้เลยสักนิด หญิงสาวที่ไม่มีสิทธิ์แม้จะเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือเจ้านายในวัง แม้จะเป็นบุตรีของฉู่กั๋วกงแล้วอย่างไร ก็ยังคงถูกมองข้ามอยู่เรื่อยไป
ทว่าเมื่อหนานกงไหวมองเห็นเซี่ยเพ่ยหวนก็ชะงัก ตั้งแต่ภรรยาเอกของเขาจากไป ตระกูลเซี่ยและตระกูลหนานกงก็มิได้ไปมาหาสู่กันอีกเลย แม้หนานกงไหวจะคิดว่าตนนั้นไม่มีสิ่งใดที่ต้องพึ่งตระกูลเซี่ย แต่ไม่กล่าวไม่ได้เลยว่าท่าทีของคนตระกูลเซี่ยนั้นมีผลต่อลูกหลานของตระกูลหนานกงอย่างแน่นอน อย่างไรเสียหนานกงชวี่และหนานกงฮุยก็ต่างจากหนานกงไหว พวกเขาเดินในเส้นทางของขุนนาง และหนึ่งในใต้หล้าในด้านนี้ก็คือเซี่ยหยวน ท่าทีของตระกูลเซี่ยนั้นมีผลต่อเหล่านักปราชญ์มากมาย และหนานกงไหวนั้นอยู่ในฝ่ายบู๊ แต่ไหนแต่ไรเขาอยากพยายามดีต่อฝ่ายบุ๋นแต่ก็ทำอะไรได้ไม่มาก
ยิ่งเป็นด้านการเรียน ในตระกูลหนานกงนั้นไม่เพียงแค่หนานกงไหวเท่านั้น แต่หลายปีมานี้ นอกจากหนานกงชวี่และหนานกงฮุยสองพี่น้อง คนอื่นๆ ในตระกูลหนานกงก็ไม่มีใครเข้าเรียนในสำนักศึกษาของตระกูลเซี่ยได้เลย แม้แต่หนานกงชวี่และหนานกงฮุยเองยังมีข่าวลือว่าเข้าได้เพราะเห็นแก่หน้าสกุลเมิ่งเท่านั้น หากคำพูดนี้ไม่ได้ออกมาจากตระกูลเซี่ยเอง หนานกงไหวก็คงจะไม่เชื่อ
หนานกงไหวไม่เข้าใจว่าเหตุใดตระกูลเซี่ยจึงตีตัวออกห่างตระกูลหนานกงอยู่เนืองๆ เป็นดังเช่นที่พวกเขาคิดว่าตระกูลชนชั้นสูงเหล่านี้ต่างก็ปากหวานก้นเปรี้ยวต่อกัน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าในบางครั้งพวกเขากลับทำราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน สกุลเมิ่งนั้นสูญสิ้นไปแล้ว ตระกูลเซี่ยเองก็ไม่ได้ประโยชน์อันใด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงการสืบเชื้อสายรุ่นสู่รุ่น ระหว่างนั้นไม่รู้ว่าเคยเกี่ยวดองกันไปกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความสัมพันธ์เหล่านี้มิใช่ความสัมพันธ์ที่หนานกงไหวจะเข้าใจได้
แต่อย่างน้อย หนานกงไหวก็ยังพอเข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง…ตระกูลเซี่ยนั้นไม่ควรท้าทายต่ออำนาจ ตระกูลเมิ่งสูญสิ้นไปแล้วก็จริง เพียงตระกูลเซี่ยประพฤติตนเป็นพลเมืองที่ดี ฝ่าบาทจะไม่แตะต้องตระกูลเซี่ยอย่างแน่นอน อย่างไรเสีย ถึงแม้ฝ่าบาทจะยิ่งใหญ่คับฟ้าทว่าก็คงไม่ต้องการให้ผู้คนเห็นว่าตนนั้นเป็นคนลืมคุณคน
ดังนั้นเมื่อมองเห็นเซี่ยเพ่ยหวน หนานกงไหวจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “คุณหนูสามเซี่ยหรอกหรือ”
เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฉู่กั๋วกง เซี่ยสามมารบกวนแล้วเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวยิ้ม เอ่ยตอบ “คุณหนูสามกล่าวเกินไปแล้ว คุณหนูสามกับมั่วเอ๋อร์…”
“เซี่ยสามกับมั่วเอ๋อร์นั้นต้องชะตาต่อกัน หลายวันนี้คงต้องรบกวนมั่วเอ๋อร์แล้ว ขอกั๋วกงโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“ได้อย่างไรกัน” หนานกงไหวยิ้ม “มั่วเอ๋อร์พึ่งจะกลับมาจินหลิง ไม่คุ้นเคยเท่าใดนัก จะมีสิ่งใดดีไปกว่าการได้เป็นมิตรสหายกับคุณหนูสามอีกเล่า มั่วเอ๋อร์ ซูเอ๋อร์ ดูแลคุณหนูเซี่ยสามให้ดีด้วย”
หนานกงซูไม่พอใจ ทว่าถูกเจิ้งซื่อหยิกเอาไว้จึงจำต้องกลืนคำพูดเดิมลงไป เอ่ยตอบอย่างว่าง่าย “ซูเอ๋อร์ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยเพ่ยหวนหันไปเลิกคิ้วให้หนานกงมั่วอย่างแปลกใจ น้องสาวผู้นี้ของเจ้าช่างเสแสร้งเก่งเหลือเกิน
หนานกงมั่วเม้มปากยิ้ม ไม่เอ่ยตอบอันใด
หนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนนั้นทำตัวตามสบาย ทั้งสองเข้ากันเป็นอย่างดี พูดคุยหัวเราะสนุกสนาน มีเพียงหนานกงซูเท่านั้นที่ต้องทรมาน เพราะคำสั่งของหนานกงไหวนางจึงไม่สามารถไปนั่งรถม้าคันเดียวกับเจิ้งซื่อได้ หนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนเองก็ดูไม่ได้อยากคุยกับนางเท่าใดนัก สิ่งที่หนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนคุยกันนั้นนางเองก็ไม่สนใจ ทุกครั้งที่คณะเดินทางหยุดพัก คนตระกูลหนานกงก็มักแวะมาเยี่ยนเยียนเซี่ยเพ่ยหวน เว่ยจวินมั่วเองก็แวะมาหาหนานกงมั่วอยู่บ่อยครั้ง ทว่าหวงจั่งซุนที่นางคอยคิดถึงกลับไม่โผล่มาแม้แต่เงา แม้นางจะคอยปลอบตนเองว่าหวงจั่งซุนนั้นสูงส่งและมีกิจธุระมากมาย ไม่ใช่คนที่อยู่ในตำแหน่งซื่อจื่ออย่างเว่ยจวินมั่วจะเทียบได้ แต่เมื่อเห็นความแตกต่างเช่นนี้นางก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ในใจ กระทั่งถึงเมืองจินหลิง หนานกงซูอดถอนหายใจออกมายาวๆ ไม่ได้ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว หากให้นางอยู่กับสองคนนี้ต่อไปนางก็รับปากไม่ได้ว่าจะทำตามคำสั่งของบิดาได้สำเร็จ