เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เซียวเชียนเยี่ยเป็นหวงจั่งซุน ทว่าไม่ใช่โอรสที่รัชทายาทโปรดปรานที่สุด หลังจากกลับไป เสด็จปู่คงจะแต่งตั้งเชื้อสายรองของรัชทายาทขึ้นมาอีก”
การแย่งชิงอำนาจเป็นเรื่องวนเวียนอยู่เช่นนั้น รัชทายาทแย่งชิงอำนาจกันกับเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ โอรสของรัชทายาทเองก็มีการแก่งแย่งกันอยู่เงียบๆ แม้ว่าฝ่าบาทจะชื่นชอบหวงจั่งซุนอย่างเซียวเชียนเยี่ย ทว่าฝ่าบาทนั้นอายุมากแล้ว เมื่อใดที่รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งหวงจั่งซุนของเซียวเชียนเยี่ยจะยังคงอยู่ต่อไปได้หรือไม่นั้นย่อมไม่แน่นอน ไม่แปลกที่เซียวเชียนเยี่ยจะเริ่มดึงตระกูลหนานกงและตระกูลเซี่ยมาอยู่ฝั่งตน หากตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยจะดึงขั้วอำนาจนั้นไม่เป็นไร ทว่าเมื่อใดที่รัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วนั้นแน่นอนว่าทำไม่ได้ ยามนี้หนานกงมั่วเริ่มเห็นอกเห็นใจหนานกงซูที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับความรักแล้ว
“ฝ่าบาทสุขภาพไม่ดีหรือ” หนานกงมั่วตระหนักขึ้นมาทันใด
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “ในยามสงครามนั้นฝ่าบาทเองก็ได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย อายุเกินเจ็ดสิบก็นับว่าอายุยืนยาวแล้ว”
หนานกงมั่วเข้าใจในทันที ดูเหมือนร่างกายของฝ่าบาทจะไม่ดีแล้วจริงๆ เซียวเชียนเยี่ยจึงได้เร่งรีบถึงเพียงนี้ ดูเหมือนรัชทายาทจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ในอนาคตเป็นแน่แท้
เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเซียวเชียนเยี่ยเคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือไม่ ‘บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน’
ไม่กี่วันหลังพิธีไหว้บรรพบุรุษ หวงจั่งซุนเตรียมกลับเมืองหลวงแล้ว แน่นอนว่าตระกูลหนานกงเองก็เตรียมตัวกลับจินหลังเช่นกัน รุ่งเช้าหนานกงมั่วก็ขึ้นเขาไปสั่งลาอาจารย์ ยามนี้อาจารย์อาและศิษย์พี่ไม่อยู่ ท่านอาจารย์อยู่คนเดียวนางเองไม่วางใจนัก ชายชรานั่งอยู่บนหินหน้าบ้าน มองดูลูกศิษย์ที่คอยบอกซ้ำๆ ว่าตั๋วเงินนั้นวางอยู่ตรงไหน ยาต่างๆ วางอยู่ตรงไหน ไปซื้อของกินของใช้ที่ใดได้บ้าง อดไม่ได้ที่จะกุมขมับด้วยความปวดหัว
“ศิษย์รักเอ๋ย อาจารย์เจ้ามิใช่คนโง่นะ” ฟังจนมึนหัว ชายชราจึงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนใจ
หนานกงมั่วกวาดตามองมาเล็กน้อย “คนที่เคยถูกจับกดไว้ที่ร้านเหล้าเกือบไม่ได้กลับมาเมื่อปีที่แล้วคือใครหรือ”
ชายชราหงอลงในทันที เอ่ยพึมพำ “นั่นมันอุบัติเหตุ ข้าไม่ทันระวังทำตั๋วเงินหาย”
“ท่านยังลืมไปด้วยว่าลูกศิษย์ท่านอยู่ที่ใด พวกเขาจึงไม่รู้จะไปเก็บเงินที่ไหน จึงต้องกักตัวท่านไว้ที่นั่น” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเย็น
“ข้ากลับมาเองได้”
“ใช่ หนีออกมา ยังไม่จ่ายเงินค่าเหล้าเขาด้วย ทำให้เถ้าแก่ร้านต้องโยนท่านออกจากร้านทุกครั้งที่เห็นตลอดครึ่งปี”
ชายชราไม่พอใจ “เจ้าเด็กคนนี้ เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้เจ้าจะจดจำมันไปตลอดหรืออย่างไร ก็บอกแล้วว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ท่านอาจารย์” หนานกงมั่วขมวดคิ้ว มองชายชราอยู่นานก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ท่านอยู่คนเดียว…หรือไม่ท่านก็ไปจินหลิงกับข้าเถิด รออาจารย์อากลับมาแล้วค่อยว่ากัน” ชายชรารีบโบกมือ “ไม่ไป ไม่ไป หากอยากไปจินหลิงพวกเราจะยังอาศัยอยู่ที่นี่ทำไมกัน”
หนานกงมั่วจ้องเขาอยู่นาน เอ่ยขึ้น “ท่านอยู่คนเดียวต้องระวังตัวด้วย ข้าเอาตั๋วเงินไว้ที่เสี่ยวชีเหนียงที่ด้านล่างอยู่บ้าง หากท่านไม่มีเงินก็ไปเอาที่นั่น อย่าเอาแต่ของไปแลก ถูกคนหลอกแล้วยังไม่รู้ตัวอีก” เมื่อนึกถึงไข่มุกราตรีที่อาจารย์มอบให้เว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา “อีกสองเดือนอาจารย์อาก็จะกลับมา ต้องเขียนจดหมายหาข้าด้วย”
“เด็กน้อย เจ้าช่างวุ่นวายเสียจริง เจ้าพึ่งสิบหก ยังขี้บ่นกว่าชายชราเช่นข้าอีก” ชายชราใบหน้าขมขื่น มองความกังวลของลูกศิษย์ ชายชราจึงลุกขึ้นตบไหล่เบาๆ “อย่ากังวลไปเลย อาจารย์ของเจ้าอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้ว จะดูแลตัวเองไม่ได้เชียวหรือ กลับไปกับพ่อเจ้าเถิด อาจารย์เห็นแล้วว่าชายที่ฝ่าบาทเลือกให้เจ้านั้นไม่เลว ใครใช้ให้เจ้าไม่ยอมแต่งกับศิษย์พี่ มิเช่นนั้นพวกเราก็คงไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว” เด็กสาวเติบโตแล้วก็ต้องมีครอบครัวที่ดี สถานที่ที่พวกเขาอยู่ ณ แห่งนี้นั้นไม่มีชายใดเหมาะสมกับหนานกงมั่ว
หนานกงมั่วร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ “ท่านอาจารย์ ข้ามองศิษย์พี่เป็นเหมือนพี่ชาย” ครั้งแรกที่กลับมาพร้อมกับอาจารย์และอาจารย์อานั้น นางยังรู้สึกไม่ดี โชคดีที่มีศิษย์พี่คอยอยู่เคียงข้าง ตลอดหลายปีมานี้ นางมองศิษย์พี่เปรียบเสมือนพี่น้องแท้ๆ ไปแล้ว
ชายชราโบกมือ กล่าวตอบกลับ “ข้ารู้ ข้ารู้ จึงได้ยอมให้เจ้ากลับไปกับเจ้าคนนั้นอย่างไรเล่า เด็กสาวเติบโตแล้วไม่แต่งงานได้อย่างไร เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเหมือนศิษย์พี่ของเจ้าหรือ เด็กสาวย่อมแก่ตัวลงในที่สุด”
“ท่านอาจารย์ ท่านดูถูกเพศของข้าหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ” ชายชราไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “แม้ศิษย์พี่เจ้าจะอายุสี่สิบก็ยังมีคนเอา เจ้าอายุสี่สิบแล้วยังมีผู้ชายที่ไหนอยากได้อีกหรือ”
คุยกับชายชราผู้แปลกประหลาดผู้นี้ไม่ได้จริงๆ
เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์กรุ่นโกรธ ชายชราจึงหัวเราะออกมา หยิบเอากล่องขึ้นมา เอ่ยว่า “นี่เป็นสินเดิมเจ้าสาวที่อาจารย์อาของเจ้าเตรียมไว้ให้ เจ้าเอามันไปด้วย อย่าให้ใครมาดูถูกเราได้”
หนานกงมั่วเปิดออก นางตกตะลึงเมื่อเห็นของด้านใน แม้จะไม่ใช่กล่องไม้ขนาดใหญ่ ทว่าด้านในนั้นมีอัญมณีมากมาย มีไข่มุกเม็ดงามและหยกชั้นดี นอกจากนี้ ด้านล่างของอัญมณียังมีตั๋วเงินอยู่ปึกหนึ่งด้วย แม้จะไม่ได้นับ ทว่าเมื่อมองด้วยสายตาก็รู้ได้ว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
“ท่านอาจารย์ นี่…”
ชายชราผลักกล่องนั้นมาในอ้อมกอดของนางโดยไม่ลังเล เอ่ยขัด “นี่เป็นของที่อาจารย์อาของเจ้าเตรียมไว้ให้ ไม่อยากให้เขาโกรธก็รับมันไว้ซะ แม้ตอนนี้เจ้าจะไม่รับ เมื่อเขากลับมาอย่างไรก็ต้องส่งไปให้เจ้าอยู่ดี กลับไปกลับมาคงยุ่งยากน่าดู ข้าเห็นว่าแม่เลี้ยงของเจ้าผู้นั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร หากสินสมรสของเจ้าไม่ดี บางทีเจ้าอาจจะร้องไห้”
“อาจารย์ ข้ามีเงินไม่ขาด” แม้ตระกูลหนานกงจะไม่ให้เงินนางแม้แต่แดงเดียว นางก็ไม่มีวันขาดเงิน ยิ่งไปกว่านั้น บางอย่างไม่ใช่ว่าเจิ้งซื่อให้แล้วจะพอหรือไม่พอ เกรงว่าแม้แต่หนานกงไหวเองก้ไม่กล้าแตะต้องของที่สกุลเมิ่งเก็บเอาไว้ให้หนานกงชิง ของพวกนั้นนางยอมเอาไปแลกเป็นเงินทั้งหมด แต่ไม่ยอมให้เจิ้งซื่อและหนานกงไหวดูหมิ่นได้
ชายชราจ้องนางเขม็ง “ผู้ใหญ่ให้ของ ปฏิเสธไม่ได้ หลายปีมานี้ข้าสอนเจ้าไปเสียเปล่าแล้วหรือ”
นานทีจะได้ยินคำพูดเป็นการเป็นงานจากอาจารย์ หนานกงมั่วจึงรับของมาเพื่อรักษาหน้าของอาจารย์ เดี๋ยวค่อยเอาตั๋วเงินไปซ่อนไว้ในมุมห้องเพิ่ม และจ่ายให้เถ้าแก่ร้านเหล้าในเมืองเผื่อเอาไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ชายชราต้องหิวตายก่อนอาจารย์อาจะกลับมา เมื่อเห็นว่าหนานกงมั่วรับไปแล้ว ชายชราจึงกระโดดโลดเต้นดีใจ เช็ดน้ำตาพลางเอ่ย “ไม่ง่ายเลยกว่าอาจารย์จะเลี้ยงศิษย์รักให้โตมาได้ขนาดนี้ ชั่วพริบตาก็ต้องแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ฮือ…”
กลอกตาเล็กน้อย หนานกงมั่วจึงเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “ท่านอาจารย์ ตอนข้ากราบอาจารย์นั้นข้าก็อายุสิบเอ็ดแล้ว” ดังนั้น ที่อาจารย์บอกนั่นคงจะหมายถึงศิษย์พี่หรือเปล่า นอกจากนี้ เดิมคนที่นางคิดจะกราบเป็นอาจารย์นั้นคืออาจารย์อาต่างหากเล่า
“ศิษย์ไม่รักดี…” รู้แต่จะรังแกอาจารย์…น่ารำคาญพอๆ กันกับศิษย์น้อง มีแต่ศิษย์หลานเท่านั้นที่ว่าง่ายที่สุดแล้ว
หนานกงมั่วเผยรอยยิ้มเห็นฟัน “จินหลิงห่างจากตานหยางใช้เวลาเจ็ดถึงแปดวัน ศิษย์จะกลับมาหาอาจารย์บ่อยๆ”
ได้ยินดังนั้น ชายชราจึงตกใจหน้าซีด “ศิษย์รัก ไม่ต้องมาบ่อยหรอก สามปีห้าปีค่อยกลับมาสักครั้งก็ได้”
“…” ดังนั้น อาจารย์เลยอยากให้รีบไปเร็วๆ น้ำตาเมื่อสักครู่นี้คงเป็นน้ำตาแห่งความยินดีใช่หรือไม่