‘เพี๊ยะ!’ ฝ่ามือนั้นหยุดวาจาน่าเกลียดของหย่งชังจวิ้นจู่ทันใด เซียวเชียนเยี่ยใบหน้าทะมึน “ทหาร จวิ้นจู่ป่วยแล้ว พาจวิ้นจู่กลับจินหลิงไปส่งให้เสด็จแม่ช่วยดูแลบัดเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” ทหารองครักษ์สองคนเดินออกมา หยุดอยู่ตรงหน้าหย่งชังจวิ้นจู่ เอ่ยเสียงหนัก “เชิญจวิ้นจู่พ่ะย่ะค่ะ”
หย่งชังจวิ้นจู่ใบหน้าขาวซีด ภายใต้สายตาเยือกเย็นของเซียวเชียนเยี่ยที่จับจ้องมาทำให้นางไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก เดินตามทหารองครักษ์ออกไปเงียบๆ
“คุณหนูทั้งสอง น้องชาย หย่งชังไม่รู้ความ ได้โปรดอภัยด้วย” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยขอโทษอีกครั้ง
เซี่ยเพ่ยหวนกล่าวเสียงเรียบ “หวงจั่งซุนเกรงใจเกินไปแล้ว จวิ้นจู่ฐานะสูงส่ง อายุยังน้อย หม่อมฉันจะกล้ากล่าวโทษได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วหันมามองสำรวจเซี่ยเพ่ยหวนด้วยความสนใจ เซี่ยเพ่ยหวนเงยหน้าขึ้น ทั้งคู่สบตากันยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
แน่นอนว่ายอมให้หย่งชังจวิ้นจู่ขอโทษไม่ได้ หากเอ่ยขอโทษแล้วปล่อยไปง่ายๆ พวกนางต้องโดนด่าเสียเปล่าอย่างนั้นน่ะหรือ ผ่านวันนี้ไป วันเวลาของหย่งชั่งจวิ้นจู่ยังอีกยาวไกล จวิ้นจู่ผู้นี้สูงส่ง ทว่าอายุสิบเจ็ดแล้วยังคงไร้คู่ เหตุผลนั้นคงเป็นที่ทราบกันดี หากเป็นอย่างที่เห็นเช่นนี้ ภายในหนึ่งปีนี้ก็คงยังไม่มีเป็นแน่ นอกเสียจากว่ารัชทายาทจะมีพระประสงค์ให้ธิดาต้องออกเรือน
สถานที่ของเหล่าสตรี บุรุษไม่ควรอยู่นาน หลังจากเอ่ยคำพูดไม่กี่ประโยคจบ เซียวเชียนเยี่ยก็พาคนออกไป หนานกงไหวมองบุตรีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าหวงจั่งซุน ไม่เอ่ยสิ่งใดพลางเดินออกไปด้วยใบหน้าสับสนวุ่นวาย หนานกงฮุยและหนานกงชวี่นั้นหันกลับมามองหนานกงมั่วด้วยท่าทางเป็นกังวล เว่ยจวินมั่วก้มหน้าบอกหญิงสาวที่นิ่งเงียบอยู่ตรงหน้า เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ต้องกลัว หากเกิดเรื่องให้คนไปบอกกับเสด็จป้า” รอจนหนานกงมั่วตอบรับ จากนั้นจึงเดินกลับไปพร้อมกับเซียวเชียนเยี่ย
ผู้คนกลุ่มใหญ่เดินออกไปแล้ว พร้อมทั้งพาตัววุ่นวายอย่างหย่งชังจวิ้นจู่กลับไปด้วย เหล่าหญิงสาวต่างมองมาที่หญิงสาวสองคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดูไม่ออกถึงความโกรธหรือยินดีใดๆ
เซี่ยเพ่ยหวนหันกลับมามองสำรวจหนานกงมั่ว เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “สายตาของข้าไม่เลวเลยจริงๆ”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วตอบกลับไปพลางหัวเราะเบาๆ “โชคชะตาของข้าก็ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน” ไม่มีใครดีทุกประการ เพียงมองแล้วต้องชะตาด้วยเท่านั้น ทั้งสองมองสบตากันก่อนจะยิ้มออกมา และคร้านจะสนใจผู้คนรอบข้างที่แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจทว่าแอบลอบสังเกตพวกนางทั้งสองอยู่ เซี่ยเพ่ยหวนลากหนานกงมั่วไปหาที่นั่ง เอ่ยว่า “ดูเหมือนเจ้ากับคุณชายเว่ยท่านนั้นจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวเลยนะ”
“คุณชายเว่ย เจ้าหมายถึง…เว่ยจวินมั่วหรือ”
“ยังจะเป็นใครได้อีกเล่า” เซี่ยเพ่ยหวนเหล่ตามองนาง เอ่ยด้วยความเสียดายเล็กน้อย “เว่ยจวินมั่วนั่นกลับได้ไปโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เลย หากเจ้าอยู่ที่จินหลิงมาตั้งแต่ต้น…”
หนานกงมั่วโบกมือ “หากข้าอยู่จินหลิงมาตลอด ตอนนี้ยังจะมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่แน่” นางยังไม่ลืมเมื่อครั้งลืมตาครั้งแรกว่านางอยู่ที่ใด เซี่ยเพ่ยหวนยกมือเท้าคางไตร่ตรอง “จะว่าไปก็ถูก ตั้งแต่เด็กก็ได้ยินท่านยายบอกว่าคุณหนูหนานกงนั้นช่างกตัญญู หยิ่งในศักดิ์ศรี น่าเสียดาย ตอนนั้นข้าอ่อนแอ ออกจากบ้านน้อยมาก จึงไม่เคยเจอเจ้ามาก่อน”
กตัญญูหรือ หนานกงมั่วขมวดคิ้ว ก็จริง อายุพึ่งจะเก้าขวบกลับมาไว้ทุกข์ให้มารดาถึงสามปี ซ้ำยังกลับบ้านเก่าไปเฝ้าสุสานของมารดา ไม่เรียกกตัญญูได้หรือ
“เจ้ากลับไปแล้วก็ไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทชื่นชอบเด็กกตัญญูที่สุด เห็นแก่เจ้าที่มีใจกตัญญูต่อหนานกงฮูหยินก็คงไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าหรอก” เซี่ยเพ่ยหวนบอก
“เมื่อครู่พวกเราก็เกือบโดนรังแกแล้ว” หนานกงมั่วกล่าวยกตัวอย่างขึ้นมาอย่างเฉื่อยชา
เซี่ยเพ่ยหวนยู่ปาก เอ่ยอย่างจนปัญญา “นั่นก็ช่วยไม่ได้ ว่ากันว่าคนฉลาดนั้นยากจะต่อกรด้วย แต่ความจริงแล้วคนโง่ต่างหากที่ต่อกรด้วยยาก” คนฉลาดรู้ตัวดีว่าเมื่อใดตนจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ รู้หนักรู้เบา คนโง่นั้นเอาแต่พุ่งชนด้วยความเลือดร้อน เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อใดนางจะโกรธจนหน้ามืดตาบอดลงมีดโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา แบบนั้นคงวุ่นวาย เหมือนกับหย่งชังจวิ้นจู่ผู้นี้ หากเป็นคนที่ฉลาดสักนิดคงไม่มีทางลงมือกับหนานกงมั่วและเซี่ยเพ่ยหวนต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเช่นนี้
“จะว่าไป จนถึงตอนนี้หนานกงซูก็ยังไม่มา คงไม่ได้เป็นเพราะเจ้าหรอกใช่ไหม” เซี่ยเพ่ยหวนไม่ปิดบังเลยสักนิด เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ใครก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน[1]คงไม่ต้องไปลองใจอะไรให้มากความ
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เอ่ยพลางหัวเราะ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า เจ้าเล่ามาดีกว่าว่าทำไมหย่งชังจวิ้นจู่ถึงจ้องจะหาเรื่องเจ้า หากข้าจำไม่ผิด เดิมนางคิดจะมาหาเรื่องข้าต่างหาก” ไม่รู้แน่ชัดว่าความฉลาดของหย่งชังจวิ้นจู่ผู้นี้ต่ำเพียงใด เดิมพุ่งเข้ามาหาหนานกงมั่ว ใครจะคิดว่าเซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยออกไปเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น นางก็พุ่งเข้าหาเรื่องเซี่ยเพ่ยหวนแทนซะแล้ว คุณหนูสามแห่งตระกูลเซี่ยก็ไม่ได้น่าแค้นเคืองเลยสักนิดนี่นา
“อย่างไรเสีย หวงจั่งซุนก็เกรงใจเจ้ามาก” มือเท้าคาง หนานกงมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา
เซี่ยเพ่ยหวนเบื่อหน่าย “ตอนนี้ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าการเป็นเพื่อนกับเจ้าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่” ความฉลาดเกินไปก็เป็นเรื่องวุ่นวาย แต่หนานกงมั่วผู้เติบโตมาในชนบทที่ไม่มีคนคอยอบรมสั่งสอนกลับเติบโตมาได้ฉลาดถึงเพียงนี้ นับว่าน่าประหลาดใจ
ความจริงหนานกงมั่วก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก เพียงแต่เมื่อนางนั่งอยู่กับเซี่ยเพ่ยหวน ทั้งสองคงไม่พูดคุยกันถึงเรื่องเครื่องแต่งหน้าหรือความงามของผ้าไหมเป็นแน่
ในขณะที่คุยกัน เซี่ยเพ่ยหวนก็ได้เล่าถึงข่าวคราวของบรรดาคุณหนูและตระกูลต่างๆ ในเมืองจินหลิง เรื่องพวกนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็บอกกับนางมาบ้างแล้ว แต่พระชายาเยี่ยนอ๋องฐานะสูงส่ง อีกทั้งยังอยู่ในจินหลิงเป็นเวลาสั้นๆ จึงบอกได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น และแน่นอนว่าเจิ้งซื่อไม่มีทางเล่าถึงเรื่องพวกนี้ให้หนานกงมั่วฟังแน่นอน เช่นนี้คำแนะนำของเซี่ยเพ่ยหวนจึงมีประโยชน์ต่อหนานกงมั่วเป็นอย่างยิ่ง นับว่าช่วยนางได้มากทีเดียว
“คุณหนูหนานกง คุณหนูเซี่ย งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว พระชายาเชิญคุณหนูทั้งสองกลับเข้าไปในงานพิธีแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ข้างกายพระชายาเยี่ยนอ๋องเดินเข้ามารายงานอย่างนอบน้อม ทั้งสองตกใจ ไม่คิดว่าจะคุยกันมานานปานนี้ ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน เซี่ยเพ่ยหวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรากลับจินหลิงแล้วค่อยคุยกันอีกดีหรือไม่”
“ได้ทุกเมื่อตามที่เจ้าต้องการ” หนานกงมั่วยิ้ม
ในห้องโถงใหญ่ของพระราชวัง งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทั้งสองเดินผ่านเข้าประตูไปก็มองเห็นพระชายาเยี่ยนอ๋องมองมายังพวกนางพร้อมกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้ม “ถวายพระพรพระชายาเพคะ”
พระชายาเยี่ยนอ๋องมองทั้งสองด้วยสายตาเอ็นดู ยิ้มบางๆ “ดูเหมือนอู๋สยากับคุณหนูสามเซี่ยจะถูกชะตากันมาก คุณหนูทั้งสองเชิญนั่งกับข้าเถิด เซี่ยฮูหยิน ท่านอย่าได้โทษข้าเลยนะ”
แน่นอนว่าเซี่ยฮูหยินคงไม่กล้าไม่พอใจ แม้ตระกูลเซี่ยจะไม่อยากเข้าร่วมการแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างราชวงศ์ก็ตาม ทว่าไม่ใช่ว่าตระกูลเซี่ยจะท้าทายต่ออำนาจของราชวงศ์ ลูกหลานของตระกูลเซี่ยได้รับความเอ็นดูจากพระชายาเยี่ยนอ๋อง นับว่าเป็นวาสนาอย่างยิ่ง “พระชายาตรัสเกินไปแล้ว พระชายาทรงโปรดปรานเด็กคนนี้ก็นับว่าเป็นบุญวาสนาของนางแล้วเพคะ”
พระชายาเยี่ยนอ๋องจูงทั้งสองมานั่งเคียงข้างด้วยความพึงพอใจ ทำให้บรรดาหญิงในงานต่างมองมาด้วยความอิจฉาริษยาไปพร้อมๆ กัน พระชายาโจวอ๋องที่นั่งอยู่ด้านข้างพระชายาเยี่ยนอ๋องกล่าวขึ้น “ดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงคุณหนูเซี่ยที่ถูกชะตาต่อคุณหนูหนานกงเสียแล้ว พี่สะใภ้สามเองก็ถูกชะตาคุณหนูหนานกงมากทีเดียว จริงสิ หย่งชังไปไหนเสียแล้ว ไยจึงไม่เห็นเลย”
[1]ไม่ใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน ผู้มีปัญญาฉลาดหลักแหลม