หนานกงมั่วเองไม่สนใจ “ข้าไม่ต้องการเงินของเจ้า เจ้าช่วยข้าดูแล ข้าจะแบ่งกำไรให้เจ้าหนึ่งส่วน แต่ว่า เจ้าต้องแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้าสามารถช่วยข้าดูแลกิจการได้” แม้ไม่รู้ว่าคุณชายฉังเฟิงเกิดบ้าอันใด แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเสียอันใดต่อนาง อย่างไรเสียนางก็ไม่มีเวลาและความอดทนเพื่อดูแลกิจการทั้งหมดได้ อีกทั้งเส้นสาย ลิ่นฉังเฟิงที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองจินหลิงมาสิบกว่าปีคงจะดีกว่านางหลายเท่า
ลิ่นฉังเฟิงตอบรับทันใด “ไม่มีปัญหา เรากำหนดระยะเวลาสามเดือน ภายในสามเดือนหากข้าทำให้เจ้าพอใจไม่ได้ ข้าจะไม่รับเงินจากเจ้า”
หนานกงมั่วไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ พยักหน้า “ได้ หลังจากสามเดือนเรามาทำสัญญากัน ต่อไปกิจการภายใต้การดูแลของเจ้าทุกอย่างล้วนแบ่งกำไรให้เจ้าหนึ่งส่วน”
“แม่นางมั่วช่างเป็นนายจ้างที่ใจกว้าง” ลิ่นฉังเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เว่ยจวินมั่วมองทั้งคู่แล้วกล่าว “ภายใต้ชื่อของข้ามีร้านสามห้องและที่ดินแปดร้อยหมู่ ข้าต้องการเพียงสองส่วน แล้วใช้ชื่อมารดาของข้า”
หนานกงมั่วมองสบตากับลิ่นฉางเฟิง มารดาของเว่ยจวินมั่วก็คือองค์หญิงฉังผิง ธิดาของฝ่าบาท น้องสาวของเยี่ยนอ๋อง…แม้องค์หญิงฉังผิงจะไม่สนใจเรื่องภายนอก แต่เพียงพอต่อการอ้างถึงกับชาวบ้านและขุนนางทั่วไป ถึงแม้จะไปสร้างความไม่พอใจแก่ผู้มีอำนาจก็ยังมีเยี่ยนอ๋อง มีที่พึ่งยิ่งใหญ่เช่นนี้เป็นเรื่องที่ดีทีเดียว ทั้งสองลืมจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไปแล้ว
มองสายตาของหนานกงมั่ว คุณชายฉังเฟิงก็รีบประจบ “เยี่ยมไปเลย เดี๋ยวข้าตามไปเอาโฉนดที่ดินและร้านของเจ้า”
เมื่อมีธุระให้จัดการ ลิ่นฉังเฟิงจึงดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่นานเขาก็นั่งไม่อยู่และรีบกลับไปเตรียมซื้อที่ดินและร้านให้หนานกงมั่ว เห็นท่าทางตื่นเต้นตอนออกจากร้านน้ำชาไป หนานกงมั่วจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เกิดเรื่องอันใดกับลิ่นฉังเฟิงหรือ ชาติตระกูลของเขา ถึงแม้เขาจะไม่ลงรอยกับครอบครัวแต่คงไม่อาจส่งผลถึงอนาคตของเขาได้”
เว่ยจวินมั่วเงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ย “เมื่อแปดปีที่แล้วเขาถูกให้ร้าย…ฝ่าบาททรงห้ามฉังเฟิงมิให้รับราชการตลอดชีวิต แม้ครั้งนั้นผู้นำตระกูลลิ่นจะไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของฉังเฟิง แต่เขาก็ต้องปกป้องคนทั้งตระกูล จึงจำเป็นต้องทิ้งฉังเฟิง” แม้เว่ยจวินมั่วจะไม่บอก แต่หนานกงมั่วก็พอจะเดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดี อยู่ในตระกูลใหญ่อย่างตระกูลลิ่น ไม่สามารถรับราชการได้หมายความเช่นไรไม่ต้องเอ่ยบอกออกมาก็เข้าใจ
เพียงแต่…กิจส่วนตัวของลิ่นฉังเฟิงนั้นทำสิ่งใดเว่ยจวินมั่วรับรู้หรือไม่
“อู๋สยาต้องการรู้สิ่งใดหรือไม่ ถามข้าได้” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม
“ไม่ว่าสิ่งใดเจ้าก็จะบอกข้าอย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว
“เพียงเจ้าถาม ข้าก็จะบอกทุกอย่าง” เว่ยจวินมั่วยืนยัน
หนานกงมั่วนิ่งเงียบอยู่นาน “ข้าไม่มีอันใดต้องถาม”
ดวงตาสีม่วงของเว่ยจวินมั่วสลดลงเล็กน้อย ไม่นานจึงเอ่ย “งั้นรอเจ้าอยากถามแล้วค่อยถาม”
เว่ยจวินมั่วมาส่งหนานกงมั่วถึงหน้าประตูจวนก่อนจะกลับไป คนของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องยังมิได้มาสู่ขอ เขาจึงไม่กล้าเข้าบ้านก่อน ยืนอยู่หน้าประตูมองแผ่นหลังของคนที่เดินกลับไป หนานกงมั่วอดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่เอ่ยไม่ได้เลยว่าดวงชะตาของนางไม่เลวเลย เว่ยจวินมั่วเป็นชายหนุ่มที่ไม่เลวจริงๆ แม้ว่าเขาจะมีเรื่องวุ่นวายเหล่านั้น แต่ชายหนุ่มผู้นี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้หนานกงมั่วต้องปฏิเสธ บุตรของชนชั้นสูงในยุคนี้โดยทั่วไปล้วนมีความดื้อรั้น อวดดี มั่นใจในตนเองสูง ทว่าเขากลับไม่มี ขอเพียงตัวเขาไม่มีปัญหา ต่อให้มีปัญหาเข้ามามากเพียงใดล้วนมิใช่ปัญหา ตรงกันข้าม แม้ชาติตระกูลจะดี มีชื่อเสียงเพียงใด ร่ำรวยเพียงใด คนไม่ดีเช่นนั้นอะไรๆ ก็พานไม่ดีไปด้วย
“คุณหนูใหญ่ นายท่านและฮูหยินเชิญขอรับ” พึ่งก้าวเข้าประตูมา ผู้มายืนรออยู่แล้วรีบวิ่งเข้ามารายงาน คิ้วเรียวเลิกสูง หนานกงมั่วเอ่ยถาม “มีคนส่งของของข้ามาแล้วหรือ” พ่อบ้านเอ่ยตอบ “พ่อบ้านตระกูลจูส่งของมาขอรับ ตอนนี้เขายังอยู่ที่ห้องโถง นายท่านแจ้งว่าเมื่อใดที่คุณหนูกลับมาให้ไปพบขอรับ”
“ตระกูลจูหรือ” คิ้วสวยขมวดด้วยความไม่พอใจ สินค้าของหอไต้เย่ว์จำเป็นต้องให้พ่อบ้านตระกูลจูมาส่งด้วยตนเองงั้นหรือ
สาวเท้าเข้าไปยังห้องโถง มองเห็นหนานกงไหวและเจิ้งซื่อนั่งประจำตำแหน่ง ด้านล่างมีหนานกงซูและหนานกงชวี่ล้วนอยู่กันครบ รวมทั้งพี่สะใภ้ที่หนานกงมั่วพึ่งเคยเจอครั้งเดียวอย่างหลินซื่อ หนานกงฮุยส่งสายตามาให้นาง หนานกงมั่วไม่เข้าใจจึงทำราวกับไม่เห็น เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านพ่อ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“พึ่งกลับมาถึงเจ้ายังออกเที่ยวเหลวไหลไปทั่วงั้นหรือ” หนานกงไหวกล่าวด้วยความโมโห
รอยยิ้มของเจิ้งซื่ออ่อนโยน “คุณหนูใหญ่ นี่คือพ่อบ้านตระกูลจู ตั้งใจนำของขวัญจากคุณชายสามจูมามอบให้เพื่อเป็นการขออภัย” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบก้าวเข้ามาทำความเคารพ “ข้าน้อยจูหลี่ คารวะคุณหนูหนานกง”
หนานกงซูปิดปากหัวเราะ “นั่นน่ะสิ พี่สาวช่างหน้าใหญ่ ตระกูลจูถึงได้ส่งชิ้นหยกนำโชคราคาพันตำลึงเพื่อขอโทษ พี่สาวไปเจอกับคุณชายสามจูได้เยี่ยงไรกัน”
“ซูเอ๋อร์” หนานกงไหวเอ่ยเสียงเข้มอย่างไม่พอใจ หนานกงซูปิดปากเงียบ ตั้งแต่หนานกงมั่วกลับมา ท่านพ่อก็เอาแต่เข้าข้างนางตลอด หนานกงไหวหันไปมองหนานกงมั่ว ดวงตาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน “เป็นสตรีเที่ยวเหลวไหลไปทั่ว นี่เกิดอันใดขึ้นกันแน่”
หนานกงมั่วเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าเองก็อยากรู้ เกิดอันใดกันแน่”
พ่อบ้านผู้นั้นรีบเอ่ย “คุณชายสามของเราเสียมารยาทกับคุณหนูหนานกง นายท่านจึงให้ข้าน้อยมาขออภัยต่อคุณหนู ขอคุณหนูได้โปรดให้อภัยแก่คุณชายสาม”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยตอบ “เป็นจริงที่ตระกูลจูต้องชดเชย เห็นอยู่ว่าข้าเป็นคนสั่งของ ตอนนี้กลับเอามาเป็นของไถ่โทษ หมายความว่าครั้งต่อไปหากคุณชายของพวกท่านเสียมารยาทกับผู้ใด หอไต้เย่ว์ก็จะนำของที่ลูกค้าจองเอาไว้มาเป็นของไถ่โทษ ข้าจำได้ว่าข้าจ่ายเงินมัดจำไปแล้ว หรือหอไต้เย่ว์ทำการค้าเช่นนี้เองหรอกหรือ”
“เอ่อ…” ใบหน้าของจูหลี่ชะงัก รีบเอ่ย “เป็นคุณชายสามที่เสียมารยาท ไหนเลยจะกล้ารับเงินจากคุณหนูขอรับ”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ช่างเถิด ช่วยกลับไปรายงานต่อนายท่านของพวกเจ้า ทำการค้าก็ควรมีลักษณะของการค้า ข้า หนานกงมั่วและคุณชายสามพึ่งได้เจอกันเพียงครั้งเดียว ไม่นับว่าเสียมารยาทอันใด เพียงแต่ กิจการภายใต้ชื่อของสกุลพวกท่านหลายแห่งคิดมาเพื่อสตรี ต้องระวังเสียบ้าง หากปล่อยให้คุณชายสามก่อเรื่องทุกครั้งที่เข้าไป เกรงว่าต่อไปก็คงไม่มีใครกล้าเข้าไปแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจูหลี่เริ่มฝืนไม่ไหว อดไม่ได้ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่ขมับ เอ่ยตอบ “ขอบคุณคุณหนูหนานกงที่ตักเตือน ข้าน้อยกลับไปจะรายงานต่อนายท่านขอรับ”
หนานกงมั่วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้เรามากล่าวถึงหยกนำโชคชิ้นนี้เถิด ราคาเท่าไรหรือ”
“เอ่อ…” สบตากับหนานกงมั่ว จูหลี่จำต้องเอ่ยตอบ “หนึ่งพัน…หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงขอรับ”
“ก่อนหน้านี้ข้าจ่ายค่ามัดจำไปแล้วหนึ่งร้อยตำลึง หว่านฮูหยิน ฝากบัญชีจ่ายเงินให้ข้าด้วย” หนานกงมั่วหันไปบอกกับเจิ้งซื่อ รอยยิ้มของเจิ้งซื่อแข็งขึ้นมาทันใด มองหนานกงมั่วแล้วเอ่ย “คุณหนูใหญ่ เอ่อ…หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง เจ้าซื้อสิ่งนี้…”