“เจ้าช่างรอบคอบเสียเหลือเกินนะ” หนานกงไหวประชดประชัน
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยตอบ “ท่านแม่บอกข้าว่า ต่อไปอยู่คนเดียวต้องรู้จักระมัดระวังตนเองให้ดี”
หนานกงไหวชะงัก ไร้ซึ่งวาจาไปชั่วครู่
ทรัพย์สินที่เมิ่งซื่อทิ้งเอาไว้ไม่น้อยเลย ตระกูลเมิ่งสืบทอดมายาวนาน อีกทั้งเมิ่งซื่อยังเป็นเชื้อสายคนสุดท้ายของตระกูล ดังนั้นทรัพย์สินที่ตกทอดมาทั้งหมด เมิ่งซื่อจึงเป็นคนจัดการ แม่นมหลานอ่านรายการนั้นช้าๆ เจิ้งซื่อได้ฟังใบหน้ายิ่งซีดเข้าไปใหญ่ จ้องแม่นมหลานเขม็ง ราวกับทุกประโยคที่อ่านออกมานั้นกำลังควักวิญญาณของนางไป
ทรัพย์สินที่เมิ่งซื่อทิ้งไว้ให้รวมทั้งกิจการร้านค้าต่างๆ ทั้งในเมืองและนอกเมืองจินหลิงรวมทั้งหมดยี่สิบกว่าร้าน ผืนที่ดินเก้าผืน เพียงที่ดินก็มีมากถึงสามพันกว่าหมู่ ยังมีกิจการอื่นๆ อีกด้วย เหล่านี้ผ่านการจัดการของเมิ่งซื่อมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเมิ่งซื่อเก็บไว้เพียงส่วนที่ตั้งใจเอาไว้เป็นสินสมรสของบุตรี กิจการอย่างอื่นนั้นเปลี่ยนเป็นเงินทั้งหมด ตั๋วเงินกว่าแปดแสนตำลึงถูกเขียนไว้ในรายการอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีของมีค่าที่ซ่อนเอาไว้ในห้องหนังสือในเรือนจี้ชั่ง ภาพวาดและโบราณวัตถุที่เป็นของตระกูลเมิ่ง เมิ่งซื่อก็มอบมันเพื่อเป็นสินสมรสของบุตรี เมิ่งซื่อคิดเพื่อบุตรีอย่างละเอียดรอบคอบ ต่อให้หนานกงไหวจะไม่ให้สินสมรสแก่นางแม้เพียงนิด หนานกงชิงก็สามารถแต่งออกไปได้อย่างเฉิดฉาย ขอเพียงหนานกงชิงไม่ใช่คนไร้ความสามารถ ไม่ว่าจะแต่งกับใครนางก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
แต่น่าเสียดาย เห็นได้ชัดว่าเมิ่งซื่อคิดไม่ถึง หนานกงชิงนั้นไม่ได้มีชีวิตจนถึงวัยออกเรือนด้วยซ้ำ ความตั้งใจของมารดานั้นเสียเปล่าแล้ว
มองเจิ้งซื่อที่นั่งเหม่อลอย ดวงตาของหนานกงมั่วฉายแววเยือกเย็น นางไม่เชื่อว่าการที่หนานกงชิงถูกขายไปยังหมู่บ้านโจรเป็นเรื่องบังเอิญ ในเมื่อตอนนี้นางกลายเป็นบุตรีของตระกูลหนานกงแล้ว เช่นนั้น…เรื่องในครั้งนั้นจะช้าจะเร็วก็ต้องคิดบัญชีให้เรียบร้อย
ใบรายการในมือหนานกงมั่วเขียนเอาไว้ชัดเจน หนานกงไหว หนานกงชวี่ หนานกงฮุยล้วนอยู่กันครบ เจิ้งซื่อจึงไม่กล้าทำอะไรมาก การส่งมอบเป็นไปอย่างราบรื่น เงินแปดแสนตำลึงเก็บไว้อยู่ที่หนานกงไหว เดิมวางแผนจะเอาให้หนานกงมั่วในวันพิธีแต่งงาน ครั้นหนานกงมั่วทำให้เขาโกรธมาก จึงให้คนไปนำมามอบให้หนานกงมั่วต่อหน้าทุกคน เจิ้งซื่อดวงตาแดงก่ำ มุมปากสั่นระริก
ใบหน้าหนานกงซูซีดขาวจ้องมองหนานกงมั่วอยู่เงียบๆ นางไม่เคยมีสักวินาทีที่รู้สึกว่าตนเองต่างจากหนานกงมั่วมาก่อน รอถึงยามที่นางต้องออกเรือน เกรงว่าเมื่อตนออกเรือนไปกับหวงจั่งซุน ท่านพ่อจะมอบสินสมรสให้นางมากมายถึงเพียงนี้หรือไม่ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อสักครู่นางก็ได้ยินที่ท่านพ่อบอกแล้ว เมื่อถึงยามที่หนานกงมั่วต้องแต่งงานจริงๆ ก็จะยกให้อีกครั้ง พวกนางสองพี่น้องเหมือนกัน เพียงแต่…จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ น่ะหรือ ถ้าหาก…ถ้าหากนางมีมารดาเยี่ยงเมิ่งซื่อ…
เจิ้งซื่อหันไปมองบุตรีของตน ทว่าเห็นสายตาคับแค้นใจและรังเกียจของหนานกงซูกำลังมองมาที่ตน อดนิ่งงันไม่ได้
เมื่อกลับมาถึงเรือนจี้ชั่ง แม่นมหลานจึงหันไปมองหนานกงมั่วด้วยแววตาปลอบโยน “คุณหนูใหญ่โตแล้ว มีความเด็ดเดี่ยวมากกว่าเมื่อครั้งยังเด็กมากทีเดียว คุณหนูที่ล่วงลับไปแล้วก็คงวางใจแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหลานไม่คิดว่าการกระทำเช่นนี้ของหนานกงมั่วเป็นการไม่เคารพบิดา หนานกงไหวกล้าส่งเด็กสาวอายุสิบเอ็ดขวบไปอยู่ชนบทไม่เคยถามไถ่ ในสายตาของแม่นมหลานเขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นบิดาของคุณหนูใหญ่ ยิ่งมีเจิ้งซื่ออยู่ คุณหนูใหญ่ยังถูกหมั้นหมายให้กับเว่ยจวินมั่วผู้นั้น หากไม่แข็งเกร่งเกรงว่าอนาคตคงไม่เหลือแม้แต่กระดูก
หนานกงมั่วเปิดดูบัญชีในมืออย่างไม่ใส่ใจ พลางเอ่ย “เมื่อก่อนกิจการของท่านแม่ล้วนมีแม่นมหลานเป็นผู้ดูแล ตอนนี้ก็คงต้องรบกวนแม่นมหลานแล้ว ขอเพียงให้เหมือนเมื่อก่อนก็เพียงพอแล้ว”
แม่นมหลานพยักหน้า ตั้งแม่คุณหนูจากไปนางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะดูแลคุณหนูใหญ่แทนคุณหนู ตอนนี้คุณหนูใหญ่ยังเชื่อมั่นในตัวนาง นางจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ลังเลอยู่ชั่วครู่ แม่นมหลานจึงเอ่ย “คุณหนูได้จัดเตรียมสินสมรสให้คุณหนูใหญ่เพียงพอแล้ว มีมากไปก็ไม่ดี เราคงไม่ต้องทำกิจการใดเพิ่มอีกแล้ว ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่ยังมีแผนอันใดอีกหรือไม่”
หนานกงมั่วคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ “ต่อไปกำไรของแต่ละเดือนนำออกมาสามส่วน หนึ่งส่วนเอาไปมอบแก่สำนักศึกษาตระกูลเซี่ย อีกสองส่วนเอาไปเปิดมูลนิธิเถิด”
“คุณหนูหมายถึง…เปิดมูลนิธิเป็นเรื่องที่ดีเจ้าค่ะ เพียงแต่…หากคุณหนูใหญ่เป็นคนทำเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของคุณหนู” มิใช่ว่าทำความดีแล้วจะได้ดี คุณหนูใหญ่ยังเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน เมื่อไปเปิดมูลนิธิ หากไม่ระวังจะถูกมองว่าเป็นการสร้างชื่อเสียงจอมปลอมได้
หนานกงมั่วโบกมือ เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดเผย และไม่ต้องใช้ชื่อข้าในการทำ แต่ละเดือนแม่นมหลานเตรียมเงินไว้ให้เพียงพอก็พอแล้ว ทำเรื่องเลวร้ายมามากแล้ว ทำเรื่องดีๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน”
แม่นมหลานยิ้มขำ “คุณหนูใหญ่จิตใจดีกตัญญูที่สุดแล้ว จะทำเรื่องเลวร้ายได้เยี่ยงไรกัน แต่ทำความดีมากๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี ตอนที่คุณหนูยังมีชีวิตอยู่ เรายังทำมูลนิธิช่วยเหลือชาวบ้านอยู่เลยเจ้าค่ะ น่าเสียดายหลังจากที่คุณหนูไม่อยู่แล้ว…” ส่ายศีรษะเบาๆ แม่นมหลานเอ่ย “สมแล้วที่คุณหนูใหญ่และคุณหนูเป็นแม่ลูกกัน เพียงแต่คุณหนูใหญ่ ฝั่งตระกูลเซี่ยนั้นเกรงว่าจะไม่เป็นการดีหรือไม่เจ้าคะ ตระกูลเซี่ยนั้นเป็นตระกูลใหญ่ เราเอาเงินไปมอบให้ เกรงว่า…”
“ได้อย่างไรกัน ผู้มีความรู้ยิ่งมีมากก็ยิ่งเป็นการดี อีกทั้งเรามอบให้สำนักศึกษา มิใช่ตระกูลเซี่ย เซี่ยโหวเข้าใจคน ไม่มีทางไม่เข้าใจความหมายของข้าแน่ ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้เกรงว่าตระกูลเซี่ยเองก็คงลำบากไม่น้อย เซี่ยโหวมีคุณธรรมสูงส่ง สร้างคุณประโยนช์ พวกเราก็ควรช่วยสุดความสามารถ” หนานกงมั่วเอ่ย ตรงข้ามกับวีรบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศอย่างหนานกงไหวที่กินอิ่มนอนหลับ ตระกูลเซี่ยและตระกูลเมิ่งนั้นกลับสูญเสียจำนวนมาก หนึ่งเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่าย สองเป็นการแบ่งปันกำไรหลังจากก่อตั้งประเทศ จะมากจะน้อยต่างก็สูญเสียเช่นกัน ตอนนี้ตระกูลเมิ่งไม่มีใครแล้ว กิจการที่เหลืออยู่ของตระกูลเมิ่งที่อยู่ในมือหนานกงมั่วนั้นเพียงพอให้นางได้ใช้ไปชั่วชีวิต แต่ลูกหลานของตระกูลเซี่ยยังอยู่ และมิใช่ลูกหลานของตระกูลเซี่ยทุกคนที่ไม่มีข้อร้องเรียนต่อการจัดการของฝ่าบาท พอเข้าใจในฐานะของตนเอง คนเมื่อหมดหนทางก็ต้องหาอันใดทำ อย่างเช่นการมีลูก ตระกูลเซี่ยมีเพียงครอบครัวหลัก เมื่อมาถึงรุ่นเซี่ยเพ่ยหวนก็มีบุรุษในรุ่นแล้วยี่สิบเอ็ดคน
แม่นมหลานพยักหน้า “บ่าวรู้ไม่มาก คุณหนูใหญ่ไตร่ตรองรอบคอบก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะทำให้ดี เดี๋ยวจะให้คนนำเงินของเดือนนี้ไปมอบให้”
“แม่นมจัดการ ข้าก็วางใจ” หนานกงมั่วยิ้ม “แม่นมนั่งลงคุยกันก่อนเถิด”
แม่นมหลานกล่าวขอบคุณ นั่งลงยังม้านั่งตัวเตี้ยเช่นเดิม หนานกงมั่วจนปัญญา แม่นมหลานเอ่ยท่าทางจริงจัง “ตอนนี้ในมือของคุณหนูครอบครองเงินและทรัพย์สินจำนวนมาก เรือนไฉ่อู๋ผู้นั้นเกรงว่าตาคงแดงก่ำทีเดียว ไม่รู้ว่าจะวางแผนร้ายอันใดหรือไม่ บ่าวคิดว่าเรือนจี้ชั่งของเราคงต้องเพิ่มเวรยามตอนกลางคืนนะเจ้าคะ”
หนานกงมั่วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ โบกมือ “ไม่จำเป็นหรอก คนที่จะมาเฝ้ายามอีกสองวันข้าจะเป็นคนเลือกเองก็พอแล้ว คนในจวนนี้ เลือกเยี่ยงไรก็ไม่เห็นข้อแตกต่าง แม่นมเฝ้าดูแลที่นี่อยู่ในจวนนี้มาหลายปี ข้าอยากรู้ว่าพี่สะใภ้ของข้านั้นเป็นคนเช่นไร” แม่นมหลานถอนหายใจแรง “ฮูหยิน…บ่าวที่เป็นผู้น้อยมิควรว่ากล่าวถึงฮูหยินใช่หรือไม่ แต่ว่า…หากคุณหนูอยู่ ต่อให้ต้องเลือกสตรีจวนแม่ทัพไม่รู้หนังสือ ก็คงไม่มีทางแต่งฮูหยินผู้นี้ให้กับคุณชายใหญ่เป็นแน่เจ้าค่ะ”