“เป็นอย่างไร กลับมาถึงจินหลิงก็หลายวันแล้วรู้สึกเช่นไรบ้าง” ชิมขนมไปด้วย พลางถามด้วยความสนใจไปด้วย
หนานกงมั่วตอบอย่างเกียจคร้าน “ไม่เลวเท่าใดนัก”
“ไม่เลวงั้นหรือ” เซี่ยเพ่ยหวนเลิกคิ้ว “เจิ้งฮูหยินกับคุณหนูรองหนานกงผู้นั้นดูไม่ได้เป็นคนจิตใจดีเท่าใดเลยนะ พวกเขามิได้มาหาเรื่องเจ้าเลยหรือ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “พวกเขา ไม่ถึงขั้นเรียกว่าหาเรื่องได้” แย่ถึงเพียงนั้น อย่างมากก็เป็นได้เพียงเรื่องฆ่าเวลา หากเอ่ยอย่างไม่เกรงใจก็คงต้องบอกว่าหากนางต้องการให้เจิ้งซื่อและหนานกงซูตายไปเสียก็เป็นสิ่งที่ทำได้ตลอดเวลา เซี่ยเพ่ยหวนเท้าคางทำท่าคิด เอ่ยว่า “ก็จริง อยู่ต่อหน้าเจ้า เจิ้งซื่อก็คงไม่ได้สำคัญอันใด ไม่รู้ว่าเจิ้งฮูหยินรู้สึกเสียใจหรือไม่ที่ครั้งนั้นส่งเจ้าไปตานหยาง” เพราะช่วงเวลาที่หนานกงมั่วอยู่ที่ตานหยางนั้นราวกับรอดพ้นการควบคุมจากเจิ้งซื่อ จึงได้เติบโตมาเช่นนี้ เจิ้งซื่อเป็นดั่งคำที่ว่ายกหินทุบเท้าของตนเอง[1] ในมุมมองของนาง ไม่เข้าใจการกระทำของเจิ้งซื่อที่มีต่อหนานกงมั่วนัก เด็กสาวที่สูญเสียแม่ไป มิช้ามิเร็วอย่างไรเสียก็ต้องแต่งงานออกเรือน จะมาขัดขวางเอาไว้ได้เยี่ยงไร แม้หนานกงมั่วมิได้ลำบากในยามนี้ แต่พี่ชายทั้งสองนั้นเป็นเพียงของตกแต่งหรือ หากพี่ชายทั้งสองของหนานกงมั่วยังมีความรู้สึกรู้สาอยู่บ้าง ไม่รู้สึกทุกข์ใจกับสิ่งที่เจิ้งซื่อทำกับหนานกงมั่วบ้างเลยหรือ ทว่าอย่างไรเซี่ยเพ่ยหวนก็ไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถรักแม่เลี้ยงราวกับรักแม่ตนเองได้ รู้ดีว่าเมื่อครั้งที่เมิ่งซื่อจากไป หนานกงชวี่และหนานกงฮุยนั้นต่างอายุครบสิบขวบกันหมดแล้ว
การเป็นนายหญิงของตระกูล แม้จะเป็นบุตรีที่ภรรยาคนเดิมทิ้งเอาไว้ แม้จะมิชอบอย่างไรก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี อนาคตก็หาคู่ให้แต่งงานออกเรือนไป จะได้มิต้องอยู่ขวางหูขวางตา ซ้ำยังถือเป็นการรักษาชื่อเสียงของตนเองด้วย
หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยตอบ “นางจะเสียใจหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับข้า”
“ช่างเถิด ไม่เอ่ยถึงพวกเขาแล้ว” เซี่ยเพ่ยหวนยิ้ม “มีสิ่งใดให้ข้าช่วย เจ้ารีบบอกเถอะ”
หนานกงมั่วยิ้มออกมา “ข้ามีเรื่องขอให้เจ้าช่วย อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยง เจ้าต้องรีบมาสักหน่อย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจัดงานเช่นนี้ บางอย่างก็ไม่เข้าใจ ในจวนก็ไม่มีผู้ใดคอยแนะนำได้”
เซี่ยเพ่ยหวนลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ยตอบ “ถึงตอนนั้นท่านแม่ข้าจะไปอยู่แล้ว ข้า…ไม่ไปดีกว่า งานเลี้ยงเช่นนั้น หากข้าไป…คงไม่เป็นการดี”
หนานกงมั่วสงสัย เมื่อนึกถึงอีกสถานะหนึ่งของเซี่ยเพ่ยหวนขึ้นมาได้จึงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นลูบเบาๆ บนหลังมือเซี่ยเพ่ยหวน “คุณหนูสามตระกูลเซี่ยจะออกไปงานเลี้ยงของเพื่อนคนเดียวยังไม่ได้เลยหรืออย่างไร นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจัดงานเลี้ยงเลยนะ” เซี่ยเพ่ยหวนยิ้มขมขื่นพลางเอ่ยตอบกลับ “งานเลี้ยงที่เชิญมานั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน ข้า…เป็นคนโชคร้าย…” เมื่อเอ่ยถึงโชคร้ายคำนี้ ดวงตาของเซี่ยเพ่ยหวนมีแววความเย้ยหยันพาดผ่าน องค์ชายสิบเก้าเกิดมาอ่อนแอ หมอหลวงรายงานว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวัยเติบใหญ่ แต่นั่น แล้วเยี่ยงไร เมื่อองค์ชายสิบเก้าจากไป เซี่ยเพ่ยหวนกลับต้องกลายเป็นหญิงที่มีดวงชะตากินสามี ถึงแม้จะไม่มีชื่อเสียงกล่าวขานถึงเช่นนี้ อย่างไรนางก็ต้องรอพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทเท่านั้น มิเช่นนั้นเซี่ยเพ่ยหวนก็ต้องกลายเป็นคู่หมั้นที่ยังมิได้ออกเรือนไปชั่วชีวิต…
“ข้าไม่เชื่อเรื่องเช่นนี้” หนานกงมั่วเอ่ย
“ผู้อื่นเชื่อก็เพียงพอแล้ว มั่วเอ๋อร์ ขอบคุณเจ้ามาก” เซี่ยเพ่ยหวนกล้ำกลืนตอบออกไป ความจริงไม่จำเป็นว่าทุกคนจะเชื่อ ทว่าหญิงสาวที่สูงส่งเช่นเซี่ยเพ่ยหวน กลับต้องมีโชคชะตาเช่นนี้ มันเป็นเรื่องน่าสนุกของผู้อื่นอย่างยิ่ง มองใบหน้าเซี่ยเพ่ยหวนที่นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน หนานกงมั่วจึงถอนหายใจ ต้องผ่านคำนินทาครหามามากเพียงใดจึงจะนิ่งสงบได้ถึงเพียงนี้ เรื่องเหล่านี้ ใช่ว่าเซี่ยเพ่ยหวนจะไม่ใส่ใจ ใช่ว่าเซี่ยเพ่ยหวนจะไม่เจ็บปวด ทว่านางเคยชินกับมันแล้วเพียงเท่านั้น เมื่อเทียบกับนางที่มีชีวิตสุขสบายอยู่ในชนบทนั้นนับว่าดีกว่ามากโข ข่าวลืออันน่ากลัว แม้กระทั่งตระกูลเซี่ยที่สูงส่งก็ยังปกป้องหญิงสาวตัวเล็กจากข่าวลือเหล่านี้มิได้
“เพ่ยหวน” หนานกงมั่วมองนาง เอ่ยเสียงจริงจัง “พวกเราต่างก็รู้ว่าเจ้ามิได้ทำผิดอันใด ที่ผิดคือผู้ที่สร้างข่าวลือเหล่านั้นขึ้นมา ในเมื่อไม่ผิด เหตุใดเจ้าต้องหลีกหนีจากพวกเขา หากเป็นเพราะเหตุผลไร้สาระเช่นนั้น คนที่ไม่ควรคบหากับเราก็ไม่มีค่าพอจะคบหาหรอก” เซี่ยเพ่ยหวนมิใช่คนที่จะเก็บตัวอยู่แต่ในจวนไม่ออกไปไหน เพราะเกียรติของการเป็นคุณหนูตระกูลเซี่ยทำให้นางไม่คิดจะล่าถอย และขณะเดียวกัน ตลอดหลายปีมานี้นางเองก็ไม่มีเพื่อนอื่นใด ดังนั้นดวงตาของนายหญิงใหญ่เซี่ยเมื่อมองมายังเซี่ยเพ่ยหวนจึงเปี่ยมไปด้วยความกังวล
เซี่ยเพ่ยหวนถอนหายใจออกมาช้าๆ เอ่ย “มั่วเอ๋อร์ อย่าทำเพื่อข้า…”
หนานกงมั่วยิ้มออกมา “ฝ่าบาทพระราชทานสมรสแก่ข้าแล้วมิใช่หรือ หากเกิดสิ่งใดข้าเองไม่คิดกังวลว่าจะไม่ได้แต่ง เว่ยจวินมั่วนั่นกังวลกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ”
ได้ยินดังนั้น เซี่ยเพ่ยหวนจึงชะงัก อดไม่ได้หัวเราะออกมา หนานกงมั่วเลิกคิ้วพลางเอ่ย “ตกลงเช่นนี้แล้ว ถึงวันนั้นมาช่วยข้าพร้อมกับเซี่ยฮูหยิน ดีหรือไม่คุณหนูสามตระกูลเซี่ย”
เซี่ยเพ่ยหวนมองนางนิ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าออกมา เอ่ยเสียงดัง “ในเมื่อมั่วเอ๋อร์ไม่รังเกียจ ข้าก็มิอาจปฏิเสธได้”
“ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” หนานกงมั่วประสานมือกล่าวขอบคุณ เอ่ยอย่างขมขื่น “เจ้าไม่รู้ว่าสองวันมานี้ข้ายุ่งเพียงใด งานเลี้ยงอันใด ข้าไม่เข้าใจเลยแม้เพียงนิด” เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของนาง เซี่ยเพ่ยหวนอดหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
“เรื่องอันใดที่ทำให้น้องสาวหัวเราะด้วยความดีอกดีใจเช่นนี้ได้” น้ำเสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากที่ไม่ไกล ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมอง หญิงสาวในอาภรณ์ขาวที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำกำลังจ้องมองมาทางนี้ด้วยความเคียดแค้น เซี่ยเพ่ยหวนเก็บรอยยิ้มไปทันใด จ้องมองหญิงสาวที่เดินตรงเข้ามาหาพวกนางพลางขมวดคิ้วถาม “พี่รอง ท่านออกมาได้เยี่ยงไร” คุณหนูรองตระกูลเซี่ยกัดฟัน เสียงแข็งเอ่ยตอบ “ทำไม ข้าออกมามิได้งั้นหรือ ได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่หนานกงมาเยือน หรือข้าจะออกมาพบบ้างมิได้” ระหว่างที่เอ่ย นางก็เดินมาหยุดอยู่ด้านนอกศาลาแล้ว เมื่อครั้งอยู่ตานหยางหนานกงมั่วไม่เคยเห็นคุณหนูรองผู้นี้ ยามนี้กำลังมองสำรวจคุณหนูรองผู้ที่กล้าทรยศ ไปร่วมมือกับเซียวเชียนเยี่ยเพื่อหลอกล่อสตรีในตระกูลของตน คุณหนูรองตระกูลเซี่ยมีนามเพ่ยเหวิน เป็นเชื้อสายรองของตระกูลเซี่ย ใบหน้างดงาม น่าเสียดายที่ใบหน้าซีดเซียวซูบผอมและดวงตาดุร้ายได้ทำลายความงดงามนั้นไป ตอนนี้ดูแล้วราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมทำลายทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า หนานกงมั่วหรี่ตาลง ดวงตาที่มองไปยังคุณหนูรองตระกูลเซี่ยนั้นระแวดระวัง
เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านแม่และท่านยายสั่งให้พี่รองคัดหนังสือเพื่อสงบจิตสงบใจ พี่รองคัดเสร็จแล้วหรือ”
เมื่อครั้งเรื่องที่ตานหยางนั้นทำให้นายหญิงใหญ่เซี่ยและนายหญิงของตระกูลต่างโกรธจัดราวกับสายฟ้าฟาด สตรีเช่นนี้หากเป็นชาวบ้านตัวเปล่าคงได้ถูกขับไล่ไปบวชที่วัดตลอดชีวิต หากเป็นเพราะเหล่าภรรยารองและพี่น้องต่างคุกเข่าอ้อนวอน บทลงโทษจึงได้ลดลงเหลือเพียงการคัดหนังสือ ไม่คิดว่านางจะดื้อดึงวิ่งแจ้นออกมา
เซี่ยเพ่ยเหวินทำราวกับไม่ได้ยินวาจาของเซี่ยเพ่ยหวน ทว่าหันกลับมามองสำรวจหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้าง สักพักจึงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าคือเด็กสาวที่ตระกูลหนานกงส่งไปอยู่ชนบทผู้นั้นน่ะหรือ”
“เซี่ยเพ่ยเหวิน” สีหน้าของเซี่ยเพ่ยหวนเปลี่ยนไป เอ่ยเสียงเข้ม เซี่ยเพ่ยเหวินจะไร้สาระไปวันๆ ก็ช่างเถิด ทว่าวันนี้กลับยังไม่ไว้หน้าผู้มาเป็นแขก หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปสู่ภายนอก ชื่อเสียงตระกูลเซี่ยคงจบสิ้นเพียงเท่านี้เป็นแน่
[1] ยกหินทุบเท้าของตนเอง สำนวนเปรียบเปรยว่ายกหินขึ้นมาเพื่อที่จะเอาไปทำร้ายผู้อื่น แต่หินก้อนนั้นกลับหล่นทับเท้าตัวเอง