หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 62 เยี่ยมเยียนตระกูลเซี่ย เจอองค์หญิงครั้งแรก (4)

ตอนที่ 62 เยี่ยมเยียนตระกูลเซี่ย เจอองค์หญิงครั้งแรก (4)

ทั้งสองจูงมือเดินเข้าประตูใหญ่ตระกูลเซี่ย เซี่ยเพ่ยหวนมารอที่ประตูสองตั้งนานแล้ว ด้านหลังมีหญิงสาวและเด็กๆ มากมายรุมล้อมอยู่ “มั่วเอ๋อร์”

“เพ่ยหวน ไม่เจอกันนานเลย”

เซี่ยเพ่ยหวนยิ้ม “ถ้าเจ้ายังไม่มาหาข้า ข้าจะหน้าด้านไปหาเจ้าที่จวนฉู่กั๋วกงแล้วล่ะ”

เซี่ยฮูหยินน้อยยืนอยู่ด้านหลัง มองหญิงสาวที่แตกต่างกัน ปิดปากยิ้มขำ “น้องสาม ท่านยายยังรออยู่นะ เจ้าอย่าพึ่งรั้งมั่วเอ๋อร์ไว้ที่นี่”

เซี่ยเพ่ยหวนแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน จูงมือหนานกงมั่ว “เราไปกันเถิด”

หนานกงมั่วพยักหน้าทักทายเหล่าหญิงสาวและเด็กๆ ของตระกูลเซี่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เดินตามการจูงของเซี่ยเพ่ยหวนไปยังเรือนของหญิงชรา

“ท่านยาย มั่วเอ๋อร์มาแล้วเจ้าค่ะ” พึ่งมาถึงประตู เซี่ยเพ่ยหวนก็ตะโกนเสียงดัง คุณหนูเซี่ยสามที่มีท่าทีสง่างามเมื่ออยู่ด้านนอก แต่เมื่ออยู่บ้านกลับกลายเป็นเด็กหญิงผู้ซุกซน เมื่อเดินเข้าประตูไป พลันมองเห็นหญิงชราท่าทางใจดีที่เต็มไปด้วยร่องรอยเหี่ยวย่นนั่งอยู่ที่ห้องโถงในทันใด นายหญิงใหญ่เซี่ยมิได้สวมอาภรณ์หรูหรา และไม่เหมือนฮูหยินผู้เฒ่าในบ้านผู้มีอำนาจอื่นๆ ที่มีเครื่องประดับมากมาย สวมเพียงอาภรณ์ปักลายเมฆาธรรมดาๆ ผมสีขาวถูกม้วนขึ้นไปและปักด้วยปิ่นไม้จันทน์สองชิ้น ดวงตาของหญิงชรานั้นทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกหวั่นเกรง

“หนานกงมั่วคารวะนายหญิงใหญ่” หนานกงมั่วก้าวเข้าไป ทำความเคารพอย่างมีมารยาท

นายหญิงใหญ่เซี่ยหรี่ตาลง มองสำรวจหนานกงมั่วอย่างละเอียดไปหนหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา “เจ้าเด็กคนนี้เหมือนมารดาของนางเมื่อสมัยยังเยาว์ไปกว่าแปดส่วน เข้ามาให้ข้าดูใกล้ๆ สิ”

หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยตอบ “นายหญิงใหญ่ชมเกินไปแล้ว ผู้น้อยจะเทียบกับมารดาได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”

นายหญิงใหญ่เซี่ยส่ายหน้า “แก่แล้วดูคนมานับว่าไม่น้อย ข้าว่าเจ้าคงจะดีกว่าแม่เจ้ามาก” หญิงชรานั้นผ่านเรื่องราวมามาก เห็นตระกูลเซี่ยตั้งแต่ครั้งต้องหลบๆ ซ่อนๆ จนหวนกลับมาได้อีกครั้ง เห็นตั้งแต่ยามศึกสงครามจนเวลานี้สุขสงบ ตั้งแต่เย่อหยิ่งทะนงตนจนยามนี้ต้องคอยระมัดระวังการกระทำอยู่ตลอด ดวงตาฉลาดแหลมคมไหนเลยจะหาสิ่งใดมาเปรียบได้

นายหญิงใหญ่เซี่ยดึงหนานกงมั่วมานั่งข้างตน เซี่ยเพ่ยหวนอดบ่นเสียงอ่อนเสียงหวานออกมาไม่ได้ “ท่านยาย เห็นมั่วเอ๋อร์เข้า ท่านก็ไม่ชอบหลานแล้วหรือเจ้าคะ”

นายหญิงใหญ่เซี่ยหัวเราะ หันไปมองเซี่ยเพ่ยหวน “ไม่รู้ว่าใครกันที่เอาแต่เอ่ยถึงมั่วเอ๋อร์ มั่วเอ๋อร์ อยู่ทั้งวัน เช่นนี้แล้วจะมาโทษยายไม่รักเจ้าได้เยี่ยงไร”

เห็นความสนิทสนมของทั้งคู่ หนานกงมั่วก็อดยิ้มไม่ได้ โลกก่อนหน้านี้ของนางนั้นโดดเดี่ยวเดียวดาย ตั้งแต่เล็กจนโตมีญาติเพียงสองคนคือพี่ชายและน้องสาว ในโลกนี้นางก็มีเพียงอาจารย์ อาจารย์อา และศิษย์พี่ เพียงสามคน ไม่ว่าโลกใดนางก็ไม่เคยได้รับความรักจากปู่ย่าหรือตายายเช่นนี้ นายหญิงใหญ่เซี่ยสัมผัสใบหน้าเล็กของนางด้วยความรัก เอ่ยกับเซี่ยเพ่ยหวนว่า “ดูสิ แม้แต่มั่วเอ๋อร์ยังหัวเราะเจ้า เจ้าโตกว่านางอีกนะ”

เซี่ยเพ่ยหวนเกาะแขนมั่วเอ๋อร์พลางยิ้ม “มั่วเอ๋อร์ไม่ได้หัวเราะข้าเสียหน่อย”

บรรดาสตรีตระกูลเซี่ยที่ตามเข้ามานั้นเมื่อเห็นภาพตรงหน้าจึงได้แต่ตกใจนิ่ง นายหญิงใหญ่เซี่ยเป็นเหล่าเฟิงจวิน[1]ของตระกูลเซี่ย แม้จะมิได้เย็นชาเข้มงวด ทว่าคนรุ่นหลานที่กล้าเล่นกับนางไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่ก็คงมีเพียงเซี่ยเพ่ยหวนเท่านั้น ไม่คิดว่านายหญิงใหญ่เซี่ยจะมีเมตตาต่อคุณหนูหนานกงที่พบกันเป็นครั้งแรกถึงเพียงนี้

“ดูเหมือนคุณหนูหนานกงจะมีชะตาต่อนายหญิงใหญ่เซี่ย พบกันครั้งแรกท่านยายก็เอ็นดูถึงเพียงนี้ พวกเราช่างอิจฉาเหลือเกิน” เด็กหญิงอายุราวๆ สิบห้าสิบหกเอ่ยขึ้นพลางปิดปากยิ้มขำ

นายหญิงใหญ่เซี่ยเหลือบมองนางนิ่งๆ “เด็กอย่างพวกเจ้าจะไปรู้อันใดเล่า เมื่อครั้งที่เจ้าเด็กมั่วเกิดข้ายังได้อุ้มอยู่เลย” เมื่อครั้งเมิ่งซื่อให้กำเนิดหนานกงมั่ว ร่างกายจึงอ่อนแอลง ความสัมพันธ์ของตระกูลเซี่ยและตระกูลหนานกงจึงไกลห่าง ไปมาหาสู่กันได้น้อยครั้ง จนกระทั่งเมิ่งซื่อจากไป สตรีตระกูลเซี่ยยิ่งไม่เหยียบย่างเข้าไปในจวนหนานกงอีกเลย

เซี่ยฮูหยินน้อยเอ่ยขึ้นบ้าง “ได้ยินท่านยายกล่าวถึงความงามของหนานกงฮูหยินอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ได้พบคุณหนูใหญ่หนานกงข้าถึงได้เชื่อคำของท่านยายแล้วจริงๆ”

หนานกงมั่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่สะใภ้เซี่ยชมเกินไปแล้ว เรียกข้าว่ามั่วเอ๋อร์ก็พอแล้วเจ้าค่ะ”

เซี่ยฮูหยินน้อยส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าพี่สะใภ้เซี่ยคำนี้ถูกเรียกบ่อยแล้ว ครอบครัวข้าแซ่ซู มั่วเอ๋อร์เรียกข้าว่าพี่ซูจะเป็นการดีทีเดียว ท่านยายว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”

นายหญิงใหญ่เซี่ยมองเหล่าผู้น้อยด้วยความดีใจ ยิ้มจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้ โบกมือไปมา “เรื่องของพวกเจ้า ข้าไม่ยุ่งด้วยหรอก”

เซี่ยฮูหยินน้อยยิ้มให้หนานกงมั่ว “ได้ยินหรือยัง ลองเรียกข้าว่าพี่สาวให้ข้าได้ฟังเถิด”

“พี่ซู” หนานกงมั่วไม่รีรอ เอ่ยออกมาเสียงดัง

นายหญิงใหญ่เซี่ยเป็นผู้นำ เห็นได้ชัดว่ามีเพียงหลานสาวอย่างเซี่ยเพ่ยหวนและภรรยาของหลานชายอย่างเซี่ยฮูหยินน้อยเท่านั้นที่ร่วมพูดคุย สตรีผู้อื่นแม้อยากร่วมการสนทนาทว่าก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ทำได้เพียงมองพวกนางสนทนาสนุกสนาน นายหญิงใหญ่เซี่ยอายุมากแล้วมิชอบเมื่อมีผู้คนอยู่ด้วยมากมาย ไม่นานจึงให้คนอื่นๆ ออกไป เหลือไว้เพียงเซี่ยเพ่ยหวน แม้แต่เซี่ยฮูหยินน้อยยังถูกไล่ออกไปเตรียมมื้อกลางวัน

ห้องโถงที่มีเสียงจอแจเงียบลงไปทันใด รอยยิ้มบนใบหน้านายหญิงใหญ่เซี่ยค่อยๆ หายไป กุมมือหนานกงมั่วพลางถอนหายใจออกมา “เด็กน้อย…หลายปีมานี้เจ้าคงลำบาก”

หนานกงมั่วส่ายหน้า “นายหญิงใหญ่กล่าวเกินไป มั่วเอ๋อร์สบายดีเจ้าค่ะ”

นายหญิงใหญ่เซี่ยมองนางนิ่ง เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหญิงชราเช่นข้ากำลังปลอบโยนเจ้าอยู่หรือ ข้ากำลังด่าเจ้าอยู่นะ ได้รับความไม่เป็นธรรมไยไม่ให้คนมารายงานพวกเรา แม้ข้าจะทำอันใดไม่ได้มากแต่ข้าก็ช่วยออกหน้ากล่าวแทนเจ้าได้ เจ้านี่ ไม่ต่อล้อต่อเถียงซ้ำยังหนีไปถึงตานหยางเพียงลำพัง หากพวกข้าเข้าไปเองก็คงเป็นการยุ่งเรื่องชาวบ้าน ตระกูลใหญ่เช่นพวกเรา ใครๆ ต่างก็บอกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขเป็นดั่งพี่น้อง สิ่งใดเรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ยามผู้อาวุโสล้วนไม่อยู่แล้ว หรือคิดเห็นว่าหญิงชราเช่นข้าจะดูแลลูกหลานไม่ได้เลยหรือ”

แม้จะไม่เกี่ยวกับตนเอง ทว่าเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของนายหญิงใหญ่เซี่ยแล้ว หนานกงมั่วก็อดก้มหน้ารู้สึกผิดมิได้ “มั่วเอ๋อร์ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”

“รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว” หญิงชรามิได้คิดโกรธเคืองผู้อ่อนวัยกว่าจริงจัง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็มิได้บอกว่าเจ้าทำผิด สตรีเช่นเราแม้บอกว่าผู้รู้สถานการณ์เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ แต่หากรู้มากเกินไปก็ไม่เป็นผลดีต่อตนเอง ไปอยู่ชนบทยังมีความสุขกว่าอยู่กับพวกคนประจบสอพลอ เพียงแต่เจ้าอายุยังน้อย เมื่อครั้งยามที่แม่เจ้าจะจากไป เรื่องที่นางเป็นห่วงที่สุดก็คือเจ้า…”

“นายหญิงใหญ่ ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” ดวงตาน่าสงสารของหนานกงมั่วมองไปยังนายหญิงใหญ่เซี่ย เอ่ยอย่างว่าง่าย

นายหญิงใหญ่เซี่ยพยักหน้า ลูบแผ่นหลังนางอย่างปลอบประโลมใจ “เด็กดี เจ้ายังมีอนาคตที่ดีกว่าเซี่ยสามของเรานัก เรื่องก่อนหน้านี้หยวนเอ๋อร์เล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าต้องขอบคุณเจ้าในนามตระกูลเซี่ย” หนานกงมั่วรู้ว่านายหญิงใหญ่เซี่ยกล่าวถึงเรื่องที่นางมอบเงินให้กับสำนักศึกษาของตระกูลเซี่ย ส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ยตอบ “นายหญิงใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว เซี่ยโหวทำเพื่อราษฎร ท่านแม่ก็ไม่อยู่แล้ว มั่วเอ๋อร์เพียงทำเรื่องเล็กน้อยแทนท่านแม่บ้างเท่านั้นเจ้าค่ะ”

[1] เหล่าเฟิงจวิน คือบรรดาศักดิ์ที่อ๋องมอบให้แก่ผู้อาวุโสในจวนขุนนางที่มีความดีความชอบ

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท