เฟิงเหอย่อตัวลงด้วยท่าทางนอบน้อม มองไปยังคนเหล่านั้นพลางเอ่ย “คุณหนูรองเข้ามา ไยจึงไม่มีใครเข้ามารายงาน”
เหล่าสาวใช้ตกใจ เอ่ยแก้ต่าง “ที่นี่คือจวนฉู่กั๋วกง คุณหนูรองคือคุณหนูแห่งจวนฉู่กั๋วกง ไม่ใช่คนนอก…”
“ไม่ใช่คนนอกรึ” เฟิงเหอยิ้มเย็น “ไม่ใช่คนนอกก็ถือว่าเป็นคนในแล้วอย่างนั้นหรือ หรือว่าพวกเจ้าเข้าเรือนเจิ้งฮูหยินและนายท่านก็ไม่ต้องรายงานเช่นกันหรือ เดินเข้าไปเลยอย่างนั้นรึ พูดให้มากความ เพียงแค่พวกเจ้าไม่ได้คิดว่าคุณหนูใหญ่เป็นเจ้านาย เพียงไม่ใส่ใจก็เท่านั้น หรือบางที คิดจะประจบคุณหนูรองหรืออย่างไร”
ความจริงนั้นเสียดแทงเข้าไปในใจของใครหลายคน ไม่น้อยเลยที่พากันก้มหน้าลงไปอีก
สาวใช้คนนั้นกัดฟัน “ถึงแม้…ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ คุณหนูใหญ่ก็โบยใครมิได้”
“ทำไม” หนานกงมั่วเอ่ยถามเสียงเย็น
“เพราะว่า…เพราะ…” สาวใช้อึกอัก เนิ่นนานกว่าจะรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา “เพราะว่าข้าเป็นคนของฮูหยิน”
หนานกงมั่วหัวเราะออกมา มองดูสาวใช้ผู้มีที่พึ่งจึงไม่หวาดกลัว “อ้อ ใครบอกเจ้าว่าคนของฮูหยินแล้วข้าจะโบยมิได้กัน ในเมื่อเจ้าเป็นคนของฮูหยินก็ไสหัวไปอยู่กับฮูหยินของเจ้าเถิด” หันไปออกคำสั่งกับเฟิงเหอที่อยู่ด้านข้าง “โบยเสร็จแล้ว ส่งนางกลับไปที่เรือนฮูหยิน เรือนจี้ชั่งของข้าไม่รับสาวใช้แบบนี้”
สาวใช้คนนั้นใบหน้าขาวซีด นางเป็นคนที่ฮูหยินส่งมาเป็นหูเป็นตา หลายวันมานี้นางไม่ได้ข่าวอะไร หากถูกคุณหนูใหญ่โยนออกไปละก็…
“คุณ…คุณหนูใหญ่ บ่าวผิดไปแล้ว ได้โปรดท่านอย่าไล่บ่าวออกไปเลยเจ้าค่ะ” แข้งขาอ่อนลง สาวใช้ผู้นั้นคุกเข่าลงไปกับพื้นพลางอ้อนวอน
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “เจ้ามิใช่สาวใช้ของฮูหยินหรอกหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ บ่าวโง่เอง บ่าวเป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่ ขอคุณหนูใหญ่ได้โปรดอย่าไล่บ่าวไปเลยเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าโบยเจ้าเจ้าจะยอมหรือ”
“ยะ…ยอมเจ้าค่ะ…” สาวใช้ตอบเสียงเบา ทว่าดูจากสายตาของนางก็ดูออกแล้วว่าปากนางยอมทว่าใจนางมิได้ยอม เพียงแต่หนานกงมั่วไม่ได้ใส่ใจ โบกมือบอกกับคนด้านข้าง “พาออกไป โบยคนละสิบไม้ สาวใช้คนนี้…ยี่สิบไม้”
“คุณหนูใหญ่” สาวใช้ผู้นั้นอดไม่ได้ตะโกนออกมา สาวใช้ที่รออยู่ด้านข้างไม่สนใจ รีบเข้าไปจับเอาไว้แล้วพาตัวออกไปทันที ทิ้งไว้เพียงเสียงครวญอ้อนวอน
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ทำเช่นนี้…จะไม่ดีต่อชื่อเสียงคุณหนูหรือไม่เจ้าคะ” หมิงฉินที่เดินออกมาแสดงความกังวลเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงเบา
หนานกงมั่วตอบเสียงเรียบ “ชื่อเสียง ของแบบนี้ เป็นคำที่ออกมาจากปากคน หากอยากทำลายชื่อเสียงของใครสักคนก็ง่ายมาก แต่คิดจะบิดเบือนความจริงก็ไม่ยาก ไยข้าต้องยอมให้สาวใช้พวกนี้ทำลายข้าเพื่อชื่อเสียงกันเล่า” หมิงฉินไตร่ตรอง พยักหน้า “บ่าวกังวลเกินไปแล้ว” หนานกงมั่วส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า ไม่เป็นไร คนเรือนไฉ่อู๋ผู้นั้นคงกำลังคิดว่าจะทำลายชื่อเสียงของข้าอย่างไรดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะยื่นบันไดให้นาง ขอเพียง…นางไม่กลัวที่จะลื่นลงมา”
นึกถึงหว่านฮูหยินผู้นั้น หมิงฉินอดปิดปากหัวเราะไม่ได้ “ฮูหยินผู้นั้น คิดว่าแม้จะรู้ว่าอาจตกลงมาทว่าคงอดไม่ได้ที่จะปีนขึ้นไปเจ้าค่ะ” หลายวันมานี้เจิ้งฮูหยินกำลังคับแค้นใจอยู่ด้วย เกรงว่าเพียงจับจุดเล็กๆ ของคุณหนูใหญ่ได้ คงจะตีเรื่องให้มันใหญ่ขึ้นเป็นแน่ น่าเสียดาย…คุณหนูใหญ่กลับจับได้เสียแล้ว “ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้น…หว่านฮูหยินจะทำสีหน้าเช่นไร”
เรื่องสาวใช้เรือนจี้ชั่งถูกโบยแน่นอนว่าปิดเจิ้งซื่อเอาไว้มิได้ แม้ถึงยามนี้แล้วนางจะยังมิได้ข่าวคราวอันใดเกี่ยวกับเรื่องในเรือนของหนานกงมั่วเลยก็ตาม แต่เรื่องใหญ่ของเรือนจี้ชั่งนางที่เป็นฮูหยินดูแลและจัดการจวนนี้มาสิบกว่าปีจะไม่รู้ได้หรือ เพียงแต่หนานกงมั่วเด็กคนนี้อายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น ทว่ารับมือยากกว่าใครที่เจิ้งซื่อเคยรับมือมา ตั้งแต่หนานกงมั่วกลับมา เรือนจี้ชั่งก็ถูกควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด หากมิใช่คนที่หนานกงมั่วไว้ใจอย่าหวังจะได้เข้าใกล้ เช่นนั้นอย่าเอ่ยถึงเรื่องจะไปจัดการนางเลย แม้กระทั่งอาหารสามมื้อของหนานกงมั่วก็ล้วนแล้วแต่เป็นครัวส่วนตัวที่เรือนจี้ชั่งรับผิดชอบเอง เมื่อครั้งที่เจิ้งซื่อกักตัวเองอยู่ในเรือนกว่าแปดเก้าปี เรื่องอาหารก็แบ่งแยกแจกจ่ายรับมาจากจวน ทว่าเมื่อหนานกงมั่วกลับมาก็เปิดครัวเล็กนั่นขึ้นมาอีกครั้ง กับเรื่องนี้หนานกงไหวเองก็หลับตาหนึ่งข้างเปิดตาหนึ่งข้างเช่นกัน เจิ้งซื่อเอ่ยขึ้นมาเพียงสองประโยค หนานกงไหวกลับบอกว่าเงินที่หนานกงมั่วใช้มิใช่เงินของจวน นางอยากกินแบบไหนนั่นเป็นเรื่องของนาง
นึกถึงเครื่องประดับและตั๋วเงินมากมายดั่งภูเขาในเรือนจี้ชั่ง เจิ้งซื่ออดกัดฟันมิได้ นางลำบากดูแลจวนมากว่าสิบปี สิ่งที่นางได้มีเพียงส่วนที่เกินจากมือหนานกงไหวมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าเมื่อหนานกงมั่วกลับมา หนานกงไหวกลับยกตั๋วเงินกว่าหลายสิบหมื่นให้แก่หนานกงมั่ว นั่นมิใช่แปดสิบตำลึงทว่าเป็นแปดแสนตำลึงเลยเชียวนะ
“ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ทำเกินไปหรือไม่เจ้าคะ รู้ทั้งรู้ว่าสาวใช้คนนั้นเป็นคนของฮูหยินทว่ายัง…” หญิงที่ยืนอยู่ข้างเจิ้งซื่อเอ่ยออกมาอย่างขุ่นเคือง สังเกตได้จากน้ำเสียงของนาง หลายวันก่อนนางเองก็ถูกคุณหนูใหญ่หักหน้าที่นั่น วันนี้มีโอกาสจึงเอ่ยยุยงต่อหน้าฮูหยิน เจิ้งซื่อยิ้มเย็นพลางเอ่ยตอบ “ข้าเองก็อยากรู้ว่านางจะยโสไปถึงเมื่อใด เจ้ามานี่”
หญิงผู้นั้นดวงตาวาววับ รีบขยับเข้าไปหา เจิ้งซื่อกระซิบนางไม่กี่ประโยค ใบหน้ายับย่นของหญิงผู้นั้นก็บานราวกับดอกเบญจมาศ “ฮูหยินช่างเฉลียวฉลาด”
เจิ้งซื่อยิ้มเย็น “เด็กน้อยคิดว่ามีเงินในมือแล้วจะหยิ่งยโสได้หรือ ไม่รู้จักวางตัว ไม่ไว้หน้าข้าแล้วคิดว่าตระกูลหนานกงเป็นของนางไปแล้วหรือ นอกจากนี้ ช่วงนี้ฮูหยินน้อยไปเรือนจี้ชั่งหรือไม่” หญิงผู้นั้นรีบเอ่ยตอบ “หลายวันก่อนฮูหยินน้อยออกจากที่นี่ไปก็ตรงไปเลยเจ้าค่ะ ได้ยินสาวใช้เคียงกายของฮูหยินน้อยกล่าวว่านางได้เงินจากคุณหนูใหญ่ไปไม่น้อย”
“นางช่างใจกว้าง” เจิ้งซื่อเลิกคิ้ว “หลินซื่อนิสัยเช่นนั้นย่อมชูหน้าชูตามิได้ ทำได้เพียงมองดูอย่างเดียวเท่านั้น ความโลภมากมาย กลับไปหาเรื่องให้ตระกูลหลินเสียได้ ให้หลินซื่อไปเอาเงินที่หนานกงมั่วอีก”
“คุณหนูใหญ่…คงจะไม่ให้อีกหรือเปล่าเจ้าคะ” ฮูหยินน้อยยืมไปใช่ว่าจำนวนน้อยๆ คิดว่าครั้งแรกอาจจะเห็นแก่หน้าพี่สะใภ้เลยไม่ปฏิเสธ แต่หากไปยืมอีก เงินของคุณหนูใหญ่ก็ไม่ได้ทำมาจากกระดาษไร้ค่า
เจิ้งซื่อจิบชาเชื่องช้า “ไม่ให้ยืมก็ดีสิ เจ้าว่า…ด้วยนิสัยของหลินซื่อ นางจะแค้นเคืองหนานกงมั่วหรือไม่”
หญิงคนนั้นส่ายหน้า เอ่ยแสดงความเห็น “นิสัยของฮูหยินน้อย แม้จะแค้นคุณหนูใหญ่ เกรงว่าคงทำอันใดไม่ได้มากเจ้าค่ะ” แม้แต่ฮูหยินที่ประมือกับคุณหนูใหญ่อยู่หลายครั้งยังเสียเปรียบ และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเป็นฮูหยินน้อยที่ยุไม่ขึ้นผู้นั้นล่ะก็ เจิ้งซื่อกัดฟัน เอ่ยเสียงเย็น “ที่ข้าเสียเปรียบก็คือสถานะ ไม่เช่นนั้น…” หากตอนนั้นนางมิใช่อนุของหนานกงไหว แต่เป็นภรรยาที่ถูกตบแต่งเข้ามา ไหนเลยจะมีโอกาสให้หนานกงมั่วได้จองหองเช่นนี้ แต่ว่าฝ่าบาทกลับไม่ให้แต่งตั้งอนุภรรยาขึ้นมา ดังนั้นยามนี้แม้หนานกงมั่วจะไม่ยอมรับนางเป็นแม่ กลับไม่มีใครทำอะไรได้ แต่หลินซื่อนั้นแตกต่าง หลินซื่อเป็นพี่สะใภ้ของหนานกงมั่ว โบราณกล่าวไว้ว่าพี่สะใภ้เป็นดั่งมารดา หนานกงมั่วไม่เคารพนางผู้เป็นแม่เลี้ยงได้ แต่หากไม่เคารพต่อพี่สะใภ้ของตนล่ะก็…