หนานกงมั่วตอบรับคำแสดงความยินดีของบรรดาหญิงสาวเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม พวกนางเห็นแก้มที่แดงขึ้นทว่าไม่มีท่าทางเขินอายของหนานกงมั่วยิ่งทำให้พวกนางต้องหัวเราะออกมา ความพึงพอใจที่มีต่อหนานกงมั่วมีมากขึ้น
รอจนถึงยามบ่ายเมื่อส่งแขกกลับไปจนหมดแล้ว ภาพลักษณ์ของหนานกงมั่วที่อยู่ในใจของหญิงสาวเหล่านั้นนับว่าไม่เลวเลย ในยามบอกลา บรรดาแขกเหรื่อได้กล่าวชื่นชมงานเลี้ยงชมดอกไม้ในวันนี้ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม งานเลี้ยงเช่นนี้ ความจริงการชมดอกไม้ที่ว่านั่นมิใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการได้เปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดคุยสนุกสนาน และทำให้แขกเหรื่อรู้สึกสบายใจเสมือนอยู่บ้านของตนเอง ในจุดนี้นับว่าเรือนจี้ชั่งนั้นทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว
“วันนี้ลำบากท่านป้าเซี่ยและพี่ซูมากจริงๆ เจ้าค่ะ” เมื่อส่งแขกกลับไปหมดแล้ว หนานกงมั่วจึงหันมาพูดกับเซี่ยฮูหยินและเซี่ยฮูหยินน้อย เซี่ยเพ่ยหวนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อารมณ์ดี วันนี้นางไม่ได้ช่วยอะไรมาก ทว่ากลับได้พูดคุยกับคุณหนูซุนตลอดบ่ายจนถูกคอ นับว่าเป็นการผูกมิตรที่ดีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน เดิมตอนยังเด็กนางมีเพื่อนมากมาย ทว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนหลังจากเกิดเรื่องกับองค์ชายสิบเก้า เพื่อนของนางต่างก็ค่อยๆ หายไป ไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก วันนี้ได้มีเพื่อนใหม่แล้วนางจึงรู้สึกมีความสุข
เซี่ยฮูหยินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลำบากอันใดกัน เจ้าทำได้ดีมาก หากนายหญิงใหญ่รู้คงวางใจ” แน่นอนว่านางไม่ได้กำลังปลอบโยนหนานกงมั่ว งานเลี้ยงวันนี้ถูกจัดเตรียมขึ้นมาอย่างรอบคอบ พวกนางได้ช่วยเพียงแนะนำและต้อนรับแขกเพียงเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้ว ต่างจากหนานกงฮูหยินน้อยผู้นั้นอย่างมาก เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เซี่ยฮูหยินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ หนานกงมั่วเห็นเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยถาม “ท่านป้าเซี่ยมีเรื่องอันใดชี้แนะหรือเจ้าคะ”
เซี่ยฮูหยินส่ายหน้า ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าไม่ได้กังวลกับเจ้าเลย เพียงแต่เจ้า…พี่สะใภ้ผู้นั้นของเจ้า หากพอมีเวลาเจ้าก็เอ่ยเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ของเจ้าบ้าง ฮูหยินน้อยควรเรียนรู้เรื่องงานบ้านงานเรือนได้แล้ว”
“แต่ว่า…เกิดเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
เซี่ยฮูหยินและเซี่ยฮูหยินน้อยมองสบตากัน เซี่ยฮูหยินน้อยยิ้มบางๆ “ไม่มีเรื่องอันใดหรอก เพียงแต่…ฮูหยินน้อยพูดน้อยไปมากเท่านั้นเอง”
พูดน้อยอย่างไรน่ะหรือ หนานกงฮูหยินน้อยผู้นี้ทำราวกับเป็นเพียงไม้กระดานเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน นั่งอยู่กับแขกไม่ว่าจะต้อนรับหรือพูดคุยล้วนแข็งกระด้างไปหมด บางครั้งเอ่ยวาจาออกมายังทำให้ต้องกระอักกระอ่วนปิดปากเงียบกันไปถ้วนหน้า วันนี้หากไม่มีเซี่ยฮูหยินน้อยคอยช่วยเหลือ เกรงว่าบรรดาฮูหยินเหล่านั้นคงรู้สึกว่าถูกตระกูลหนานกงเมินเฉยเป็นแน่ หลินซื่อนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนแขกยิ่งกว่าแขกเสียอีก ตลอดกลางวันนั้นทำเซี่ยฮูหยินน้อยต้องเหนื่อยไม่น้อยเลย
เมื่อนึกถึงท่าทางของหลินซื่อ หนานกงมั่วก็พอจินตนาการถึงสถานการณ์ได้ มองเซี่ยฮูหยินน้อยอย่างละอายพลางเอ่ย “พี่ซู ลำบากท่านแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยฮูหยินน้อยโบกมือ เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เด็กโง่ เจ้าเรียกข้าว่าพี่สาว มีอะไรให้เรียกว่าลำบากได้ แต่ท่านแม่พูดถูก พี่สะใภ้ผู้นี้ของเจ้า ต่อไปหากไม่รู้จักเรียนรู้คงจะดูแลตระกูลหนานกงได้ยากแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มขมขื่น เอ่ยตอบ “ตอนนี้ตระกูลหนานกงคงไม่จำเป็นต้องให้นางได้ดูแลเจ้าค่ะ”
ยามนี้ไม่ว่าจะเรื่องนอกหรือในล้วนเป็นหน้าที่ของเจิ้งซื่อ แม้ฐานะของนางจะไม่เป็นที่ยอมรับของหลายคนทว่ากลับไม่ยอมวางมือ หลินซื่อผู้นี้อย่างมากก็ทำได้เพียงดูแลเรือนของตนเอง นอกเหนือจากนี้ก็เป็นราวของประดับเพียงเท่านั้น
นึกถึงเรื่องของหนานกงมั่วขึ้นมา เซี่ยฮูหยินและเซี่ยฮูหยินน้อยทำได้เพียงถอนหายใจไปด้วยกัน อย่างไรพวกนางก็เป็นคนนอก ถึงแม้จะเป็นห่วงแต่ก็ทำได้เพียงเอ่ยขึ้นประโยคสองประโยค ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่แม้แต่คุณชายใหญ่หนานกงยังไม่สนใจ ไหนเลยจะให้หนานกงมั่วที่พึ่งกลับมาเพียงไม่นานเข้าไปยุ่งได้ เซี่ยฮูหยินยิ้มบางๆ “ช่างเถิด คร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ได้ข่าวว่าวันนี้องค์หญิงฉังผิงและจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมามอบของกำนัลด้วยตนเองหรือ”
ใบหน้าหนานกงมั่วขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ก้มหน้าลง
เซี่ยฮูหยินเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เขินอายอะไรกัน นี่เป็นเรื่องที่ดี บอกได้ว่าองค์หญิงฉังผิงชอบเจ้ามาก สตรีอย่างเรา ยามอยู่ที่บ้านของตนเองนั้นยังดี แต่เมื่อออกเรือนแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือการมีแม่สามีที่ดี” นางเองก็ได้พบกับแม่สามีที่ดีและมีเหตุผล แม้อำนาจของตระกูลเซี่ยจะสู้ฉู่กั๋วกงไม่ได้ แต่ชีวิตของนางนั้นมีความสุขกว่าเหล่าชายาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย เพราะเหตุนี้นางเองก็จะไม่ยอมเป็นแม่สามีใจร้าย การเป็นผู้ใหญ่จะต้องใจกว้างให้มาก
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ท่านป้ากล่าวได้ถูกแล้วเจ้าค่ะ”
เซี่ยฮูหยินตบลงบนหลังมือนางเบาๆ “ใช้ชีวิตให้ดี มารดาของเจ้าจะได้วางใจ”
ไปส่งเซี่ยฮูหยินกลับด้วยตัวเองแล้วจึงกลับมาเก็บกวาดเรือนจี้ชั่ง กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เป็นยามดึกเสียแล้ว วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน หนานกงมั่วก็ไม่มีอารมณ์ไปจัดการเรื่องสินสอด รีบพักผ่อนทันที
บอกสาวใช้ให้ออกไปแล้ว หนานกงมั่วก็มานั่งสยายผมอยู่บนเตียง ตั้งใจอ่านหนังสือเล็กน้อยก่อนเตรียมเข้านอน เมื่อลุกขึ้นจากเตียง พลันรู้สึกว่าด้านนอกประตูนั่นมีเงาดำพาดผ่านไป “ใคร” ไม่มีความเมตตา แสงสีเงินสว่างวาบสะท้อนกับแสงตะเกียง เข็มสีเงินหลายเล่มพุ่งไปยังประตู ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นวาบผ่านไปด้านหลัง หนานกงมั่วหมุนตัวส่งฝ่ามือออกไปโดยไว มีดสั้นหล่นออกจากแขนเสื้อมาอยู่ในมือเรียว พุ่งเข้าหาคนผู้นั้นในทันที
“อู๋สยา ข้ามาดี” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้น ฝ่ามือใหญ่คว้าข้อมือเล็กของนางเอาไว้ หนานกงมั่วตกใจเก็บมืออีกข้างที่เตรียมฟาดลงไปกลับมา มองคนตรงหน้าอดที่จะตกใจไม่ได้ ไม่นานจึงปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
ภายใต้แสงสว่างจากตะเกียงนั้นมีเว่ยจวินมั่วที่อยู่ในอาภรณ์สีฟ้าคราม ยืนนิ่งอยู่ด้วยใบหน้าหล่อเหลา ทว่ายามนี้ใบหน้าหล่อเหลานั้นกำลังมีจุดสีแดง ลามไปจนถึงลำคอและต่ำลงไปกว่านั้นด้วยทว่ามีเสื้อผ้าขวางกั้นเอาไว้อยู่ หากเป็นคนทั่วไปก็คงไม่ได้น่าขันเช่นนี้ก็เป็นได้ แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเว่ยจวินมั่วที่เต็มไปด้วยจุดสีแดงมันทำให้นางสนใจขึ้นมา มิน่าล่ะวันนี้เว่ยจวินมั่วถึงไม่ได้มามอบของกำนัลด้วยตนเอง หากมาแบบนี้คงทำผู้คนตกใจไม่น้อย
“ฮ่าๆ…เว่ยซื่อจื่อเป็นอะไรหรือ” หนานกงมั่วเม้มปากกลั้นขำ
เว่ยจวินมั่วมองหญิงสาวตรงหน้าที่หัวเราะจนดวงตานั้นสะท้อนกับแสงของตะเกียงจนวาววับ ผมยาวสยายออก ร่างเล็กสวมเพียงอาภรณ์ตัวในสีขาว ยิ่งทำให้นางดูอ่อนวัยและบริสุทธิ์ หากเป็นสตรีทั่วไปได้พบกับเว่ยจวินมั่วในสภาพนี้ก็คงเขินอายไปแล้ว แต่หนานกงมั่วกลับไม่มีความอายเลยแม้แต่น้อย อย่างไรเสีย…ต่อให้เป็นเสื้อตัวในทว่ากลับปกปิดมิดชิดตั้งแต่บนจนถึงล่างสุด เมื่อเทียบกับคนในยุคของนางแล้ว แบบนี้เรียกได้ว่าอนุรักษ์นิยมเกินไปด้วยซ้ำ
“น่าตลกหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถาม
“ปะ…เปล่า” หนานกงมั่วรีบส่ายหน้า กะพริบตาปริบด้วยท่าทางใสซื่อ น่าเสียดายแววตาขบขันนั้นได้ขายหน้านางแล้ว
“ยาถอนพิษ” เว่ยจวินมั่วยื่นมือออกไป หนานกงมั่วรีบก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “ข้าไม่รู้ว่าท่านพูดถึงสิ่งใด”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “หลายวันนี้นอกจากเจ้า ข้าไม่ได้สัมผัสกับผู้รู้เรื่องพิษอื่นใด และไม่มีใครมีโอกาสวางยาข้าได้” หากเขาถูกวางยาพิษได้ง่ายถึงเพียงนี้ คิดว่าคงเจียนตายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว