“เจ้าเอาไปดูสิ” หนานกงไหวยื่นใบแสดงรายการสินสอดไปให้เจิ้งซื่อ เจิ้งซื่อรับมาอ่าน ไม่นานสีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่านางไม่ดีใจที่ได้สินสอดมากมายเพียงนี้ แต่เพราะว่า…ครอบครัวที่ต้องรักษาหน้าตาต่างก็รู้ดี ครอบครัวเจ้าบ่าวมีสินสอดมากมายเพียงนี้ ฝ่ายเจ้าสาวก็ต้องมีสินเจ้าสาวเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกัน หากแตกต่างกันมากเกินไป เช่นนั้นคงไม่ใช่การแต่งงาน ทว่าเป็นการขายบุตรีเสียแล้ว แน่นอนว่าเจิ้งซื่อเข้าใจหนานกงไหว หนานกงไหวไม่มีทางยอมให้ตนเองถูกขนานนามเช่นนั้นอย่างแน่นอน
จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องยอมยกสินสอดให้เจ้าเด็กนี่มากมายถึงเพียงนี้เลยงั้นหรือ
เจิ้งซื่อหลุบตาลง กวาดตาอ่านต่อไป เริ่มคิดว่าต้องใช้วิธีการใดตนจึงจะสามารถฉกฉวยเอาจากสินสอดเหล่านี้มาได้บ้าง
ลังเลอยู่ชั่วครู่ เจิ้งซื่อก็เงยหน้าขึ้นมา “นายท่าน นี่…สินสอดของคุณหนูใหญ่จะจัดการอย่างไรหรือเจ้าคะ” หลังจากเผชิญหน้ากับหนานกงมั่วไปแล้วหลายครั้ง เจิ้งซื่อเริ่มเงียบสงบลงมาก ไม่ได้เอ่ยขึ้นมาในทันใด นางเป็นนายหญิงของจวนฉู่กั๋วกง เรื่องพวกนี้สุดท้ายก็ต้องยกให้นางเป็นคนจัดการ นางย่อมไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ
หนานกงไหวมองหนานกงชวี่สองพี่น้องและหนานกงมั่วที่เดินตามหลังมา เอ่ยตอบ “จัดเตรียมไปตามรายการสินสอด สินเจ้าสาวจวนฉู่กั๋วกงเราจะน้อยหน้าสินสอดจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไม่ได้ เตรียมไปหนึ่งร้อยสามสิบสองหาบเถิด”
สีหน้าเจิ้งซื่อพลันเปลี่ยนไป เอ่ยอย่างลำบากใจ “นายท่าน…กิจการของจวนเราก็ได้มอบให้คุณหนูใหญ่ไปกว่าครึ่งแล้ว หากครั้งนี้ต้องเตรียมสินเจ้าสาวให้นางกว่าหนึ่งร้อยสามสิบสองหาบ ข้าลำบากใจเหลือเกิน” นี่เป็นความจริง เจิ้งซื่อรู้ว่าหนานกงมั่วมิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน หากนางเล่นอุบายกับการเตรียมสินสอดกว่าหนึ่งร้อยสามสิบสองหาบ หนานกงมั่วคงนำเรื่องนี้ไปถึงหูหนานกงไหวเป็นแน่ และกับเรื่องหน้าตา หนานกงไหวไม่มีทางเข้าข้างนาง
หนานกงไหวกลับไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าจัดเตรียมเครื่องเรือน ผ้าชนิดต่างๆ ให้เรียบร้อยก็เพียงพอแล้ว นอกนั้นมาเอาที่ข้า”
หนานกงไหวเอ่ยเช่นนี้เป็นการยืนยันว่าเขายังมีคลังสมบัติส่วนตัวอยู่ด้วย หรือกล่าวได้ว่าหนานกงไหวนั้นคือคนที่ดูแลจัดการทรัพย์สมบัติจวนฉู่กั๋วกงตัวจริง สิ่งที่อยู่ในมือเจิ้งซื่อ เป็นเพียงสิ่งที่หนานกงไหวยอมให้นางดูแลเพียงบางส่วนก็เท่านั้น เจิ้งซื่อกัดฟัน ก้มหน้าตอบ “ข้ารู้ เพียงแต่นายท่าน ในมือของคุณหนูใหญ่ยังมีสินเจ้าสาวที่พี่สาวเก็บไว้ให้นาง หากในจวนเตรียมให้อีกหนึ่งร้อยสามสิบสองหาบ เกรงว่า…” ยามนี้องค์ชายแต่งชายายังมีสินเจ้าสาวเพียงหนึ่งร้อยหกสิบหาบ หากเกินจำนวนนี้ ไม่ใช่จะไม่ดีต่อหน้าจวนฉู่กั๋วกงแล้ว ทว่าไม่เป็นการดีต่อหน้าเหล่าองค์ชายและอ๋องทั้งหลาย
หนานกงไหวขมวดคิ้ว ไตร่ตรอง “เช่นนั้นก็เปลี่ยนสินเจ้าสาวเป็นเงินสด ข้าหนานกงไหวไม่เอาเปรียบจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง”
เจิ้งซื่อแทบตะโกนกรีดร้องออกมา แต่เมื่อมองผู้คนมากมายที่อยู่ตรงนี้นางรู้ว่ายังไม่ใช่เวลาเอ่ยเรื่องเหล่านี้ ทำได้เพียงฝืนยิ้มเอ่ย “เรือนจี้ชั่งของคุณหนูใหญ่มิใช่ยังมีธุระอยู่หรือ รีบกลับไปเถิด เรื่องพวกนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าก็พอแล้ว” หนานกงมั่วมองเจิ้งซื่อนิ่ง หันไปย่อตัวเคารพหนานกงไหวจากนั้นเดินออกไป
สถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในเรือนจี้ชั่ง จูชูอวี้นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ใบหน้าสวยเรียบนิ่ง ไม่มีความสุขเหมือนบรรดาคุณหนูที่กำลังเล่นกันอยู่ไม่ไกล นางไม่คิดว่าหญิงสาวชาวบ้านอย่างหนานกงมั่วจะเข้าใกล้ได้ยากเช่นนี้ นางได้พบกับการปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ไปถึงสองครั้ง ทำให้นางต้องคิดหาวิธีการใหม่ เงยหน้าขึ้นมองไปยังเรือนจี้ชั่งที่งดงามตรงหน้า อีกทั้งยังมีเหล่าหญิงสาวที่ดูไร้ความกังวลใดๆ จูชูอวี้พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ
“คุณหนูอย่าได้โกรธ คุณหนูหนานกงผู้นั้นไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องโมโหเพราะนาง” สาวใช้เอ่ยปลอบโยน
จูชูอวี้ส่ายหน้า “ข้ามิได้โกรธ เพียงแต่ไม่คิดว่า…หนานกงมั่วผู้นี้จะไม่ได้ง่ายดั่งที่เราคาดเอาไว้ อย่างน้อย…ความระมัดระวังนั้นมีมากทีเดียว” สาวใช้ไตร่ตรอง เอ่ยเสียงเบา “คุณหนูหนานกงถูกบิดาทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก คงรู้สึกไม่ยุติธรรม คงไม่ไว้ใจผู้ใดง่ายๆ ดังเช่นคุณหนูสูงศักดิ์พวกนี้เจ้าค่ะ”
จูชูอวี้พยักหน้า เอ่ยตอบ “กล่าวเช่นนั้นก็ถูก เมื่อก่อนข้าคงคิดง่ายเกินไปแล้ว”
“คุณหนู” สาวใช้คนหนึ่งยกขนมเข้ามา รีบเดินเข้าไปใกล้จูชูอวี้ กระซิบเบาๆ “เมื่อสักครู่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมามอบของกำนัลแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ” ดวงตาของจูชูอวี้ทะมึนขึ้น มือกำแขนเสื้อเอาไว้แน่น “เหตุใดถึงเร็วเช่นนี้เล่า” หนานกงมั่วพึ่งกลับมาได้นานเท่าใดกันเชียว
สาวใช้ผู้นั้นกระซิบ “ได้ยินมาว่าองค์หญิงฉังผิงถูกใจคุณหนูหนานกงยิ่งนัก มามอบของกำนัลพร้อมกับจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องด้วยตัวเองเลยเจ้าค่ะ สินสอดกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบแปดหาบ องค์หญิงยังบอกอีกว่า อยากรีบแต่งคุณหนูหนานกงเข้าจวนเจ้าค่ะ” จูชูอวี้หลับตาลงกักเก็บอารมณ์ ไม่นานก็สงบลงได้ เอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้ปลายเดือนสี่แล้ว แต่งเดือนห้าคงไม่ทัน เดือนหกเดือนเจ็ดก็แต่งมิได้ เช่นนั้น…พิธีแต่งงานอย่างเร็วที่สุดก็คงเดือนแปดแล้วล่ะ ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา”
สาวใช้ทั้งสองมองสบตากัน ดวงตาฉายแววกังวล พวกนางเองไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูใหญ่จึงต้องยึดติดอยู่กับผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง แม้ว่าผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงจะหาคู่แต่งงานได้ยาก แต่จากสายตาขององค์หญิงฉังผิง แน่นอนว่าพวกนางคงไม่อยู่ในสายตาของพระองค์ เมื่อก่อนใช่ว่าองค์หญิงฉังผิงจะไม่เคยหาคู่ให้เว่ยซื่อจื่อ ทว่าถูกหลายเหตุผลปฏิเสธกลับมาก็เท่านั้น หากองค์หญิงฉังผิงมีใจอยากเกี่ยวดองกับตระกูลจู สองปีที่แล้วก็คงเข้ามาหาเองแล้ว ทว่าแม้เห็นว่าอายุของเว่ยซื่อจื่อนั้นเลยยี่สิบมากว่าสองปีแล้ว คนของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็ไม่เคยมาเยือนจวนตระกูลจูเลยสักครั้ง ยามนี้หากคุณหนูใหญ่จะ…
“คุณหนูใหญ่ เกรงว่า…”
ดวงตาของจูชูอวี้เย็นเยียบ ชายตามอง คำพูดของสาวใช้จึงหยุดอยู่เพียงแค่ในลำคอ จูชูอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง “หากตระกูลจูอยากปีนป่ายขึ้นไปสูงกว่านี้ จำเป็นต้องพึ่งเว่ยซื่อจื่อเท่านั้น มิเช่นนั้นหากไปพึ่งตระกูลไหนก็คงราวกับตามรอยความผิดพลาดท่านปู่ซ้ำๆ ซากๆ” นางไม่มีทางแต่งเข้าจวนเชื้อพระวงศ์ไปเป็นชายารองอย่างแน่นอน หากเป็นอนุภรรยา ต่อให้ตระกูลจูจะประสบความสำเร็จเพียงใด สุดท้ายผลสำเร็จก็จะไม่ใช่ของตระกูลจู ตระกูลจูก็จะกลายเป็นกระเป๋าเงินที่ถูกหลอกใช้ โลกนี้ก็เป็นเช่นนี้ พ่อค้าชาวนา พ่อค้าอยู่ปลายสุด ใครก็ต้องการเงิน ทว่าใครก็ดูถูกพวกนาง
“เจ้าค่ะ คุณหนู” เมื่อตักเตือนคุณหนูไม่ได้ สาวใช้ทั้งสองได้แต่เอ่ยตอบรับเสียงเบา
เงยหน้าขึ้นมา มองเห็นภาพหนานกงมั่วที่พึ่งกลับมาเดินเข้าไปหาบรรดาคุณหนูเหล่านั้น จูชูอวี้ก็ลุกขึ้น พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปเถิด เราไปแสดงความยินดีกับคุณหนูหนานกง”
ข่าวถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว เมื่อหนานกงมั่วเดินกลับมาสตรีเหล่านั้นก็ได้รับข่าวสารกันหมดแล้ว เอ่ยแสดงความยินดีต่อหนานกงมั่ว แม้เว่ยจวินมั่วจะมิใช่ชายในฝัน ทว่าการกระทำของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นทำให้เห็นว่า พวกเขาให้ความสำคัญกับหนานกงมั่วเพียงใด เพียงความสำคัญนี้ก็มากพอให้ผู้คนอิจฉาได้แล้ว พวกนางต่างก็ยังไม่ออกเรือน ในใจได้แต่เฝ้าวาดฝันถึงสามีในอนาคต ครอบครัวฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั้นแตกต่าง หากได้รับความสำคัญและการให้เกียรติจากตระกูลของฝ่ายชายนับว่าเป็นสิ่งที่ดีถึงที่สุดแล้ว