ส่วนใครคือหลานขององค์ฮ่องเต้ หญิงเชื้อสายรองคือใคร วัดเต๋าอยู่ที่ใด เพียงมองใบหน้าแปลกประหลาดของบรรดาคนฟังก็เข้าใจได้แล้ว…ทว่าทำได้เพียงพูดคุย บอกต่อไปไม่ได้
“เอ่อ…คุณ คุณหนูเชื้อสายรองผู้นั้นตั้งครรภ์แล้วหรือ” หมิงฉินถามอย่างกังวล
หนานกงมั่วก้มลงดื่มชา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น ฟังเอาไว้ก็พอ ราชวงศ์ก่อนเข้มงวดกว่านี้หลายร้อยเท่า หากมีหญิงเชื้อสายรองเช่นนี้จริงๆ คงถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว ไหนเลยจะได้แต่งเข้าจวนหลานขององค์ฮ่องเต้ไปเป็นสนมได้อีก” ยิ่งไปกว่านั้น วันนั้นทั้งสองคนยังไม่ทันได้สำเร็จ เรื่องตั้งครรภ์คงเป็นไปได้ยาก แน่นอน หากก่อนหน้านี้พวกเขาเคยมีสัมพันธ์กันมาก่อนเช่นนั้นก็คงพูดยากแล้ว
หมิงฉินชะงัก อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณหนูกล่าวได้ถูกแล้ว คาดว่านักเล่าเรื่องผู้นั้นคงแต่งเรื่องยังไม่เก่งเท่าใดนัก”
หนานกงมั่วเอ่ย “เพียงแค่เรื่องเล่าฆ่าเวลาเพียงเท่านั้น”
“จะว่าไป จวนฉู่กั๋วกงช่างสั่งสอนสตรีไม่ดีเลยจริงๆ มีเรื่องไร้ยางอายของคุณหนูรองออกมา ยังมีเรื่องคุณหนูใหญ่ที่ไร้สัมมาคารวะไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ตามออกมาอีก ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วฉู่กั๋วกงไปสร้างกรรมอันใดไว้” โต๊ะด้านข้าง ชายหนุ่มที่แต่งตัวเป็นปัญญาชนกระซิบกระซาบกันเสียงเบา
หมิงฉินสีหน้าพลันเปลี่ยนสี กำลังจะลุกขึ้นไปเอาเรื่องพวกเขา ทว่าถูกหนานกงมั่วคว้าแขนเอาไว้ “อย่าสนใจพวกเขา”
หมิงฉินจ้องมองกลุ่มคนเหล่านั้นเขม็ง คนกลุ่มนั้นกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติสนุกสนาน จึงมิได้รับรู้ถึงสายตาของหมิงฉินที่มองอยู่ เพียงได้ยินคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “นั่นสิ ครั้งนี้ฉู่กั๋วกงฉาวโฉ่เสียแล้ว”
ก็มิใช่สร้างกรรมหรอกหรือไร หนานกงมั่วนั่งดื่มชาอย่างสงบ เอ่ยถามอยู่ในใจ
ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้น “เรื่องราวของคุณหนูรองและหวงจั่งซุนโด่งดังไปทั่ว พยานก็มีไม่น้อย แม้กระทั่งพระชายาจวิ้นอ๋องเองยังโกรธจนเกือบเสียลูกในท้อง ยามนี้ถูกเอ้อกั๋วกงรับกลับจวนไปแล้ว แต่คุณหนูใหญ่ผู้นี้…”
“โอ้ พี่หลี่เห็นเช่นไรหรือ” มีคนเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสนใจ
พี่หลี่คนนั้นเอ่ย “เพียงรู้สึกว่าข่าวลือของคุณหนูใหญ่ผู้นี้ถูกปล่อยออกมาในเวลาที่พอดีเกินไป เกรงว่าคงมีคนต้องการโจมตีฉู่กั๋วกงเสียมากกว่า ได้ยินว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้ปักปิ่นแล้ว หนานกงฮูหยินพึ่งจากไปไม่กี่ปีนี้เอง นี่เรียกว่าทำลายมารดาได้เช่นไร” คนอื่นลองคิด เอ่ยเห็นด้วย “จะว่าไปก็ถูก เพียงแต่เรื่องไม่เคารพผู้อาวุโสกว่าคงจะเป็นเรื่องจริงกระมัง มีข่าวลือออกมาเป็นตุเป็นตะ”
“บางครั้งมองเห็นเองกับตายังมิอาจเชื่อได้ ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่ได้ยินมา ทว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับเรา อย่างไรเสีย คนที่โชคร้ายก็คือฉู่กั๋วกงอยู่ดี”
“จะว่าไปก็ถูก ฮ่าๆ คนอย่างพวกเราเพียงฟังไปสนุกสนานเท่านั้นเป็นพอ” เอ่ยจบ ชั่วครู่ก็เริ่มกล่าวถึงเรื่องของเซียวเชียนเยี่ย รวมไปถึงมีคนกล่าวว่าอยากไปชื่นชมบรรยากาศหลังวัดต้ากวงหมิงดูสักครั้ง
“แม่นางท่านนี้ ข้าขอนั่งตรงนี้ด้วยได้หรือไม่” ชายชราในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเดินเข้ามา มองไปรอบๆ โรงน้ำชาจากนั้นก็ตรงเข้ามาหาหนานกงมั่วพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หนานกงมั่วเงยหน้า ที่แท้โรงน้ำชาก็ถูกจับจองจนเต็มไปหมดแล้ว คาดว่าวันนี้กิจการโรงน้ำชาคงไม่เลว มองชายชราอยู่ชั่วครู่ หนานกงมั่วจึงพยักหน้า “ท่านผู้เฒ่าเชิญนั่งก่อนเถิด”
จือซูรีบลุกขึ้น ย้ายมานั่งข้างหมิงฉิน ยกเก้าอี้ว่างให้แก่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังชายชรา ชายวัยกลางคนผู้นั้นกลับไม่ได้นั่งลง ยืนอยู่ข้างชายชราเงียบๆ ชายชราจึงชี้ไปยังเก้าอี้ว่าง “แม่นางยกเก้าอี้ให้เจ้าแล้ว นั่งลงเถิด”
“ขอบคุณนายท่านขอรับ” ชายวัยกลางคนก้มศีรษะพลางเอ่ย จากนั้นจึงนั่งลง
หนานกงมั่วหลุบตาลง ลอบกวาดตามองชายวัยกลางคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น จากนั้นมองไปยังชายชราที่นั่งสบายๆ อยู่ตรงหน้า ชายชราดูเหมือนอายุเกินหกสิบปีไปแล้ว ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับดูแหลมคม แม้เป็นเช่นนั้นใบหน้าของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าให้ความรู้สึกถึงพลังอำนาจ หมิงฉินและจือซูไม่กล้าเอ่ยคำพูดใดออกมา ทำเพียงก้มหน้าดื่มชาเงียบๆ
ชายชราฟังผู้คนรอบข้างพูดคุยกันอย่างสนอกสนใจ หันมาพูดคุยกับหนานกงมั่วเป็นระยะ หนานกงมั่วใบหน้าเรียบนิ่ง ชายชราไม่เอ่ยปากนางก็ไม่เปิดปาก ไม่ว่าชายชราจะเอ่ยสิ่งใดนางก็เอ่ยตอบรับเพียงประโยคสองประโยค เมื่อเห็นว่านางเป็นเช่นนี้ ชายชรายิ่งรู้สึกว่านางน่าสนใจ ไม่ฟังการสนทนาของผู้คนรอบข้างแล้ว หันกลับมาตั้งใจคุยกับนางแทน
“ตอนนี้ มีน้อยนักจะมีคุณหนูมานั่งดื่มชาในสถานที่เช่นนี้”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ “ในเมื่อออกมาดื่มชา ก็อยากมีความครึกครื้นบ้างเจ้าค่ะ มิเช่นนั้น นั่งดื่มชากับของว่างอยู่เรือนจะไม่ดีกว่าหรือ”
ชายชราพยักหน้าเอ่ยยิ้มๆ “แม่นางกล่าวไม่ผิดเลย ครึกครื้น…หลายวันมานี้เมืองจินหลิงช่างครึกครื้นเสียจริง แม้แต่ชายชราเช่นข้ายังอดอยากออกมาเยี่ยมชมมิได้”
“ออกมาเดินเล่นบ้างก็เป็นการดี ดีต่อสุขภาพนะเจ้าคะ”
ชายชราถอนหายใจ เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา “แก่แล้ว ร่างกายจะดีได้ไปถึงไหนกัน หากย้อนกลับไปเมื่ออายุสามสิบ ข้าจะไม่หลับต่อกันกี่คืนกี่วันก็ยังได้”
รอยยิ้มของหนานกงมั่วเผยออกมาบางๆ เอ่ยแย้ง “ท่านผู้เฒ่ายังแข็งแรงอยู่เจ้าค่ะ”
ชายชรายิ้มจนตาหยีขณะมองไปยังหนานกงมั่ว “เจ้าเด็กคนนี้น่าสนใจ เจ้าฟังมาตั้งนาน…เจ้าลองบอกมา เรื่องนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
หนานกงมั่วคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มีความสามารถ บุรุษรูปงามกับสตรีสะสวยเป็นคู่ที่เหมาะสม แน่นอนว่าต้องสมปรารถนาและมีความสุข เพียงแต่…มีผู้ใดเคยนึกถึงความรู้สึกของภรรยาเอกหรือไม่”
ชายชรานิ่งเงียบ เนิ่นนานจึงถอนหายใจออกมา “กล่าวไม่ผิดเลย บุรุษรูปงามมีความสามารถอันใดกัน แม่นางไม่ต้องไปฟังมากจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องกระทบกับอารมณ์ นิสัยของแม่นางนับว่าไม่เลว ยังคิดถึงจุดนี้ได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี สำหรับข้าแล้ว สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ พวกนี้ ได้แต่งกับภรรยาที่ดี นับว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่าสิ่งอื่นใดอีกแล้ว ก็ยังมีคนมากมายที่ไม่รู้จักพอ”
“คว้ามาไม่ได้นั่นนับว่าดีที่สุด ผู้คนบนโลกนี้ไม่มีใครมีความคิดที่เฉลียวฉลาดเยี่ยงท่านผู้เฒ่าบ้างเลย” หนานกงมั่วเอ่ย
“คว้าเอามาไม่ได้…ถึงจะดีที่สุดงั้นรึ” ชายชราพยักหน้าครุ่นคิด
“อู๋สยา” เว่ยจวินมั่วในอาภรณ์สีฟ้าคราม เขาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูด้วยท่วงท่าสง่างาม ภายใต้สายตาของผู้คนที่มองตรงมายังหนานกงมั่ว เมื่อเห็นชายชราตรงหน้าหนานกงมั่ว เท้าของเขาจึงหยุดชะงักไปชั่วครู่ ใบหน้าเรียบนิ่งขณะก้าวเดินเข้ามา
“ท่านรู้ได้เช่นไรว่าข้าอยู่ที่นี่” หนานกงมั่วเงยหน้าขึ้นไปถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ข้าไปที่จวนฉู่กั๋วกง” เว่ยจวินมั่วเอ่ย หันมามองชายชรา “นายท่านก็อยู่ด้วยหรือ”
ชายชราหัวเราะมองไปยังทั้งคู่ เอ่ยถาม “แม่นางผู้นี้ ก็คือภรรยาที่ยังไม่แต่งงานของเจ้าหรอกหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “ขอรับ”
ครั้งนี้ชายชราจึงมองสำรวจหนานกงมั่วอย่างละเอียดอีกครั้ง พยักหน้าเบาๆ “คล้ายเจ้าเด็กเมิ่งผู้นั้นอยู่ไม่น้อย เช่นนี้มารดาของเจ้าคงวางใจได้แล้ว” เว่ยจวินมั่วพยักหน้ายอมรับเงียบๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ต้องการคุยกับชายชราผู้นี้ให้มากความ ชายชราจึงจำต้องถอนหายใจออกมา เอ่ยชวน “นั่งลงคุยกันก่อน”
ชายวัยกลางคนที่เดิมนั่งกระสับกระส่ายอยู่ตรงนั้นรีบลุกขึ้นพลางเอ่ย “ซื่อจื่อเชิญนั่งขอรับ” พอดีกับโต๊ะด้านข้างมีคนลุกขึ้นและเดินออกไป ชายวัยกลางคนผู้นั้นจึงรีบลุกขึ้นและเดินไปนั่งลง เห็นได้ชัดว่าการนั่งกับชายชรานั้นทำให้เขากดดันเป็นอย่างมาก ความจริงไม่เพียงแต่เขาที่รู้สึกกดดัน หมิงฉินและจือซูทั้งสองคนเองก็รู้สึกกดดันเช่นกัน มองชายวัยกลางคนที่นั่งพ่นลมหายใจคลายความกดดันอยู่ไกลๆ ทั้งสองจึงเหลือบมองไปยังหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเพียงยิ้มบางๆ “พวกเจ้าก็ไปนั่งตรงนั้นเถิด”