“พระชายา ครั้งนี้เป็นข้าเองที่ทำไม่ถูก” เซียวเชียนเยี่ยก้าวมาข้างหน้า เอ่ยอย่างอ่อนโยน
หยวนซื่อหลุบตาลง ท่าทางเรียบนิ่ง ด้านหลัง เซียวเชียนลั่วส่งเสียงหยันเบาๆ ทำให้ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยเข้มขึ้น
หยวนซื่อก้าวถอยหลัง เอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้สึกไม่สบาย ทูลลาแล้วเพคะ”
“เดี๋ยวข้าไปส่งพระชายากลับเอง”
“ไม่เป็นไรเพคะ ท่านอ๋องไปส่งแม่นางหนานกงเถิด” หยวนซื่อเอ่ยเสียงเรียบ หันไปบอกกับคนอื่นๆ รอบข้าง “หย่งชัง พี่น้อง พวกเรากลับกันเถิด”
หย่งชังจวิ้นจู่พยักหน้า ก้าวเข้าไปประคองหยวนซื่อ “พี่สะใภ้ เรากลับกันเถิด”
เดินผ่านหน้าหนานกงซูที่ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น หยวนซื่อหยุดเท้า กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วีรบุรุษเช่นหนานกงไหว มีบุตรีที่ยอมเป็นอนุ ไม่รู้ว่าเขารู้สึกเช่นไรเหมือนกัน”
เอ่ยจบโดยไม่แม้แต่จะมองใบหน้าที่เปลี่ยนไปของหนานกงซู ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป หนานกงซูเงยหน้ามองแผ่นหลังของหยวนซื่อ เล็บมือที่ถูกตกแต่งงดงามจิกเข้าไปในผืนดิน
นางไม่ผิด ต้องมีสักวันที่นางจะเหยียบหญิงผู้นี้ให้จมดิน
กลุ่มคนที่เข้ามาและจากไปในเวลาอันรวดเร็ว ที่ตรงนั้นเหลือไว้เพียงหนานกงซูและเซียวเชียนเยี่ยสองคน เพียงแต่ไม่มีการแสดงความรักเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว หนานกงซูคุกเข่าอยู่บนพื้น มองมาที่เซียวเชียนเยี่ยด้วยดวงตาน่าสงสาร “เซียวหลาง…” เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ ประคองหนานกงซูขึ้นมา “เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้า”
หนานกงซูขยับเข้าแนบชิดอ้อมแขนของเซียวเชียนเยี่ย ตัวสั่นระริก “เซียวหลาง ข้ากลัว…”
ตอนที่ทำไม่รู้สึก เมื่อเรื่องราวผ่านไปแล้วจึงมานึกกลัวทีหลัง เดิมคิดว่าเป็นเรื่องของพวกเขาสองคนทว่าตอนนี้กลับมีคนมากมายที่เห็น หนานกงซูไม่อยากจินตนาการถึงว่าเมื่อกลับไปถึงจวนแล้วท่านพ่อจะลงโทษนางเช่นไร หนานกงซูรู้ดี ท่านพ่อเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีเป็นที่สุด หาก…ทำสงครามเย็นล่ะก็ หนานกงซูซุกอยู่ในอ้อมแขนของเซียวเชียนเยี่ยด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“อย่ากลัว อย่ากลัวไปเลย เรื่องวันนี้เป็นข้าเองที่ไม่ดี ข้าจะไปอธิบายกับฉู่กั๋วกงเอง” เซียวเชียนเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เซียวเชียนเยี่ยเองก็แค้นใจ ไยเขาจึงทำเรื่องเช่นนี้กับหนานกงซูในสถานที่และสถานการณ์เช่นนี้ได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ได้จัดการง่ายเช่นที่กล่าวเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องเอ่ยถึงการสนับสนุนจากหนานกงไหว เกรงว่าทั้งหนานกงไหวและเอ้อกั๋วกงคงได้มาเอาเรื่องเขาทั้งคู่เป็นแน่
“อย่ากลัว เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าก่อน เจ้าวางใจเถิด พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนฉู่กั๋วกง สู่ขอเจ้ากับฉู่กั๋วกงเอง”
ได้ยินเช่นนั้น หนานกงซูก็เผยรอยยิ้มออกมา “จริงหรือเพคะ”
“ข้าเคยโกหกเจ้าหรือ เราไปกันเถิด”
หนานกงซูพยักหน้า เกาะเกี่ยวเซียวเชียนเยี่ยเอาไว้แน่น เดินออกไปด้วยท่าทางดีอกดีใจ
ด้านหลังพุ่มไม้ข้างโขดหินใหญ่ที่แอ่งน้ำ ทั้งสามคนที่ถูกทิ้งเอาไว้นั่งมองหน้ากันไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดออกมา เนิ่นนานจากนั้นเนี่ยนหย่วนจึงเอ่ยถาม “ซื่อจื่อ เย่ว์จวิ้นอ๋องผู้นั้นทำอันใดให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว “ไม่มีอันใด เพียงไม่ถูกชะตา”
“ซื่อจื่อช่างมีจิตใจที่ดี” เนี่ยนหย่วนกล่าวชื่นชม
“…” ไม่เข้าใจเลยว่าพระรูปนี้ชื่นชมอันใดกัน
เนี่ยนหย่วนมองหนานกงมั่ว ยิ้มออกมา “อาตมายังต้องกลับไปทำงาน ต้องขอตัวก่อนแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มแห้ง พยักหน้าตอบรับ “ไต้ซือกลับดีๆ นะเจ้าคะ”
เนี่ยนหย่วนกอดฉินเดินห่างออกไปไกล เดินกลับไปโดยเงียบสงบราวกับเมื่อสักครู่ไม่มีฉากรักอีโรติกให้ได้ดูมาก่อน
“ไต้ซือเนี่ยนหย่วนผู้นี้ น่าสนใจ” มองเขาเดินออกไปไกล หนานกงมั่วหันกลับมายิ้มให้เว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เนี่ยนหย่วนเป็นผู้มีความสามารถที่พุทธศาสนาจะเห็นได้ในรอบร้อยปี เพียงสิบเอ็ดขวบก็สามารถขึ้นเป็นพระชั้นเก้าและโด่งดังมีชื่อเสียง อีกทั้งยังเล่นฉิน เดินหมาก เขียนอักษรและวาดภาพ บทกวีก็งดงาม ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ เพียงอายุสิบห้าก็มีชื่อเสียงไปทั่วหล้า สามปีก่อนกลับมาปฏิบัติธรรมที่วัด บุคคลมีชื่อเสียงมากมายต้องการให้เขาแสดงธรรมทว่าไม่สำเร็จ เขายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันกับเสด็จลุงอีกด้วย”
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยหรือ” เมื่อก่อนหนานกงมั่วอยู่ที่ตานหยาง ใต้หล้ามีพระที่มีชื่อเสียงเช่นนี้นางไม่รู้เลย ศิษย์พี่กลับมาก็ไม่ได้เล่าอันใดให้ฟังมากนัก
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “สิ่งที่เนี่ยนหย่วนถนัดที่สุดมิใช่พระธรรม และมิใช่ฉิน หมาก หรือวาดภาพหรอก”
“แล้วเป็นอันใดเล่า” หนานกงมั่วสนใจขึ้นมา
เว่ยจวินมั่วเหลือบมองนาง เอ่ยเสียงเรียบ “เล่ห์เหลี่ยมและกลอุบาย”
หนานกงมั่วตกใจ พระรูปหนึ่ง…เรียนเรื่องพวกนี้จะดีจริงหรือ
เว่ยจวินมั่วกล่าวเสียงเรียบ “ข้ารู้จักกับเนี่ยนหย่วนเมื่อครั้งได้รับคำสั่งให้นำทัพออกรบที่หนานเจียง เมื่อมีกบฏ เสด็จลุงไม่วางใจ จึงให้เขามาคอยช่วยเหลืออย่างลับๆ”
“…” ราวกับเว่ยจวินมั่วกำลังเล่าเรื่องอัศจรรย์ใจให้นางฟัง จากนี้ไปต้องอยู่ให้ห่างจากพระรูปนั้นเสีย…
เมื่อพวกเขากลับจากเขาจื่ออวิ๋นถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลาช่วงบ่ายแล้ว เว่ยจวินมั่วมาส่งหนานกงมั่วที่ประตูจวนฉู่กั๋วกง เมื่อลงจากรถม้าก็มองเห็นรถม้าที่ตามมาด้านหลังมีคนกำลังอุ้มถาดดอกโบตั๋นลงมา คิ้วเลิกขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ทำอันใดหรือ” หมิงฉินถือดอกโบตั๋นเข้ามาหา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู พวกนี้ซื่อจื่อให้เราเอามาไว้ที่เรือนจี้ชั่งเจ้าค่ะ โบตั๋นสีเขียวดอกนี้ท่านว่าสวยหรือไม่เจ้าคะ”
สวย เพียงแต่สิ่งที่ดีกว่าความงามของดอกโบตั๋น ก็คือความรู้สึกที่มีคนมอบดอกไม้ให้เป็นครั้งแรกเช่นนี้
หนานกงมั่วขยับยิ้มบางๆ พลางโบกมือ เอ่ยว่า “เอาเข้าไปเถิด ระวังด้วย”
เว่ยจวินมั่วสังเกตสีหน้าของหนานกงมั่ว เมื่อเห็นว่านางชอบจริงๆ จึงพ่นลมหายใจออกมา และนึกถึงที่อู๋สยาบอกว่านางไม่ได้ชื่นชอบดอกโบตั๋นที่สุด เช่นนั้นแสดงว่าชอบดอกไม้ที่เขาให้ใช่หรือไม่ เว่ยซื่อจื่อตัดสินใจว่าต่อไปเขาจะส่งดอกไม้สวยๆ ให้กับภรรยาในอนาคตของเขาบ่อยๆ
ดังนั้น แม้เว่ยซื่อจื่อจะเป็นชายหนุ่มโบราณเต็มรูปแบบ แม้ใบหน้าจะไร้อารมณ์ ทว่าเขาได้เรียนรู้ความลับอันแสนโรแมนติกจากการตามจีบสตรีโดยไร้ซึ่งครูอาจารย์สอนสั่ง
“จะเข้าไปนั่งเล่นก่อนหรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยถามออกมา
เว่ยจวินมั่วคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงพยักหน้าตอบรับ เมื่อก่อนยังไม่มีการมอบของกำนัลจึงได้เพียงส่งที่หน้าประตู ยามนี้แม้แต่วันงานพิธีก็กำหนดแล้ว เข้าไปไหว้พ่อตาบ้างย่อมมิใช่ปัญหา ขอเพียงปฏิบัติตามกฎก่อนถึงวันงานหนึ่งเดือนให้ได้ก็เพียงพอแล้ว บางทีทั้งสองอาจลืมไปแล้วว่าวันนี้ตระกูลหนานกง ‘อาจ’ มีเรื่องเกิดขึ้น
พวกเขาไม่รู้เลยหรือ
เมื่อนึกขึ้นได้ กลับมาถึงจวนแล้วจึงรู้ว่าหนานกงซูยังไม่กลับมา หนานกงมั่วก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกว่าสมองของหนานกงซูนั้นถูกหมูกินไปหมดแล้ว คิดว่าเมื่อได้รับคำสัญญาจากเซียวเชียนเยี่ยแล้ว การแต่งงานของนางจะไร้ข้อกังวลเช่นนั้นรึ ไม่แม้แต่จะกลับมาเตรียมการล่วงหน้า อย่างน้อยก้แจ้งข่าวให้เจิ้งซื่อได้หายใจหายคอเสียก่อนก็ยังดี บางทีอาจเพราะหนานกงซูไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้กับเจิ้งซื่อ อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องชายหญิงกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันแล้วมีคนมากมายมาเจอเข้า เรื่องนี้คงไม่ง่ายที่จะเอ่ยถึง
แม้จะเป็นบุตรเขยในอนาคต แต่อย่างไรเว่ยจวินมั่วก็ยังเป็นผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง โอรสขององค์หญิงฉังผิง เมื่อหนานกงไหวทราบว่าเขามาจึงให้หนานกงชวี่และหนานกงฮุยออกมารับที่หน้าประตู ขณะที่ตัวเขานั่งรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่