Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1811 แท่นเทพราชันอริยะ

ตอนที่ 1811 แท่นเทพราชันอริยะ
เก้ากระถางลอยกลางอากาศ กฎเกณฑ์แรกกำเนิดหลั่งไหล ประกายแสงอันลึกลับคลุมเครือโปรยปรายลงมา
หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่กลางเก้ากระถาง สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งร่างส่งเสียงโครมคราม พลังขับเคลื่อนโคจร กำลังหล่อหลอมมรรควิถีของตนประหนึ่งราชันเทพองค์หนึ่ง
พอบรรลุระดับราชันอริยะ ภายในโลกถ้ำผสานในร่างกายของหลินสวิน รากฐานอริยมรรค ‘ภูเขามรรคต้นกำเนิด’ ได้กลายเป็นแท่นบูชาสูงหมื่นจั้งแท่นหนึ่งไปแล้ว
แท่นบูชานี้รวมตัวขึ้นจากมรรควิถีทั้งร่างของผู้ฝึกปราณ ประทับกฎเกณฑ์มหามรรคทั้งปวงเอาไว้ และยังถูกมองว่าเป็น ‘แท่นเทพราชันอริยะ’!
นี่คือการแปรสภาพที่ชัดเจนที่สุดของระดับราชันอริยะ
หลินสวินไม่ได้รีบร้อนไปบุกเบิกและควบรวมเขตแดนมรรคของตน เพิ่งข้ามมหาเคราะห์ไร้เทียมทานมา พลังของตนแปรสภาพใหม่เอี่ยม เขาต้องสงบใจสัมผัสรู้ สร้างความมั่นคงให้มรรควิถี
‘ราชันอริยะ เป็นราชันในระดับอริยะ เป็นผู้นำของเหล่าอริยะ ดั่งเสือในพงไพร ทำให้ร้อยสัตว์หวั่นกลัวยำเกรงได้…’
‘มกุฎราชันอริยะก็ไม่เหมือนราชันอริยะ พลัง กฎเกณฑ์ รวมถึงจิตวิญญาณและพลังกายที่ครอบครองต่างมากกว่าราชันอริยะทั่วไปเป็นสิบเป็นร้อยเท่า…’
‘ด้วยระดับของข้าในตอนนี้ เผยกลิ่นอายสักหน่อยยังทำให้เหล่าอริยะหวาดกลัวได้!’
เมื่อก่อนหลินสวินก็เคยลงมือฆ่าราชันอริยะมาหลายคน เข้าใจรากฐานพลังกับความสามารถของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ตอนนี้เมื่อเทียบกับพลังที่ตนครอบครองแล้ว เขาถึงพบว่าในระดับราชันอริยะ ความหมายของคำว่า ‘มกุฎ’ ไม่ธรรมดาปานไหน!
มกุฎราชันอริยะ ราชันอริยะ ล้วนเป็นระดับเดียวกัน แต่ความจริงแล้วต่างกันราวฟ้ากับดิน!
เหมือนอย่างแท่นเทพราชันอริยะภายในร่างของหลินสวิน ก็สำแดงท่วงทำนองเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า
ประหนึ่งหล่อขึ้นจากทองเทพอมตะ แข็งแกร่งเกินต้าน หมื่นเคราะห์ไม่อาจทำลาย!
อย่าว่าแต่ราชันอริยะทั่วไป เกรงว่าต่อให้เป็นแท่นเทพราชันอริยะที่มกุฎราชันอริยะบนโลกครอบครอง ยังต้องหม่นหมองหากอยู่ต่อหน้าหลินสวิน
และควรรู้ว่าหลินสวินเพิ่งบรรลุระดับ ว่าด้วยพลังปราณก็เป็นเพียงระดับราชันอริยะขั้นต้น แต่ถ้าลงมือเต็มกำลัง จะสามารถสังหารราชันอริยะขั้นสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย!
อย่างตอนเป็นมกุฎมหาอริยะก่อนหน้านี้ เขาคิดจะเข้าใกล้กระถางใหญ่เก้าใบนี้ยังยากเย็นหาใดเทียบ แต่ตอนนี้กลับฝึกหลอมอยู่ในนี้ได้อย่างง่ายดาย
โครม!
หลินสวินหยั่งรู้ไปพลางอาศัยพลังบ่อเกิดแรกกำเนิดหล่อหลอมร่างตัวเอง ทุกลมหายใจเข้าออกเสียงมรรคไหวกระเพื่อม ตัวเขาแผ่พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ออกมา
ไกลออกไปพวกอวี่อวิ๋นเหอแค่มองดูไกลๆ ต่างรู้สึกแทบหายใจไม่ออก เกิดความเกรงกลัวตามสัญชาตญาณขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ ประหนึ่งมดตัวจ้อยแหงนมองทวยเทพบนสวรรค์!
……
ในเวลาเดียวกันนอกตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่
เฟิงหรูเสวี่ยในชุดขาวยืนอยู่กลางอากาศ พอมองไปโดยรอบสีหน้าก็เกิดแววตื่นตะลึงอย่างไม่ตั้งใจ
ฟ้าดินแห่งนี้เหมือนประสบมหาเคราะห์โลกาวินาศ เทือกเขาพังถล่ม ผืนดินแตกระแหง ทุกที่ปรากฏร่องรอยของซากปรักหักพัง
กลิ่นอายทำลายล้างอันน่าทึ่งยังหลงเหลืออยู่บนท้องฟ้า
“นี่เป็นผลจาก ‘เคราะห์ราชันอริยะ’ ที่เกิดขึ้นเพราะชายหนุ่มคนหนึ่งทะลวงระดับจริงๆ หรือ”
เฟิงหรูเสวี่ยนิ่วหน้า
ตลอดทางที่เขามา เขาได้ยินว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนมีมหาเคราะห์ชั้นยอดที่แผ่ขยายไปทั้งแดนลับต้าอวี่มาเยือน
ภาพที่สำแดงออกมาในตอนนั้นล้วนเรียกได้ว่าพบเห็นได้ยากตั้งแต่อดีตกาล น่าหวาดหวั่นจนไม่อาจจินตนาการได้
เพียงแต่เมื่อเฟิงหรูเสวี่ยสอบถาม กลับไม่มีใครสามารถระบุตัวตนของผู้ที่ข้ามด่านเคราะห์คนนั้น รวมถึงอีกฝ่ายข้ามด่านได้สำเร็จหรือไม่
‘หลินเต้ายวน… หลินเต้ายวน…’
เฟิงหรูเสวี่ยท่องชื่อนี้เงียบๆ ในใจ ส่วนสีหน้าของเขายิ่งเรียบเฉยและเย็นชาขึ้นไปอีก
ตอนนี้พลังผนึกบริเวณเทือกเขาเก้ากระถางถูกทำลายไปนานแล้ว ทำให้ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่อันสูงตระหง่านเก่าแก่นั้นก็เผยขึ้นท่ามกลางฟ้าดิน
“ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร วันนี้ก็ต้องตาย!”
เฟิงหรูเสวี่ยแววตาดุจกระบี่ เยื้องย่างไปข้างหน้า
ตั้งแต่ตอนที่ยืนยันข่าวการตายของลี่โยว เขาก็ไม่อาจควบคุมไอสังหารในใจไว้ได้แล้ว
“เปิด!”
ณ ที่ที่ห่างจากตำนักเทพจักรพรรดิอวี่พันจั้ง เฟิงหรูเสวี่ยซึ่งเงาร่างสูงใหญ่รวบนิ้วกวาดออกไป ปราณกระบี่สายหนึ่งก็แล่นผ่านท้องฟ้า
ปราณกระบี่นั้นเป็นสีขาวโพลน กระบวนเฉือนเดียวดั่งธารดาราเทตัวลงมาจากฟ้า ในปราณกระบี่หิมะน้ำแข็งหวีดหวิว ปรากฏภาพประหลาดน่าตกตะลึง
โครม!
เมื่อปราณกระบี่กดข่มลงไป สัญลักษณ์ลายมรรคถาโถมพลุ่งพล่านไปรอบตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ แปลงสภาพเป็นพลังผนึกเข้าต้านกระบี่ที่เรียกได้ว่าตระการตานี้
ทั้งสองปะทะกัน เกิดเป็นคลื่นไหวกระเพื่อมรุนแรง
“ให้ตายสิ ดันมีคนโจมตีที่นี่!”
ในตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ พวกอวี่อวิ๋นเหอตื่นตกใจทันที ล้วนเผยสีหน้าโกรธเคืองออกมา
ตำหนักแห่งนี้เป็นสิ่งที่ต้นตระกูลอวี่หลงเหลือไว้ เดิมเป็นสถานที่แห่งวาสนาที่เตรียมไว้ให้ผู้ฝึกปราณจากเก้าโลกใหญ่ แต่ตอนนี้ดันมีคนจะลงมือทำลาย
ทว่าครู่ต่อมาพวกอวี่อวิ๋นเหอก็รู้สาเหตุแล้ว
นอกตำหนักมีเสียงเย็นชาราวกับไม่มีความรู้สึกแม้สักนิดเสียงหนึ่ง…
“หลินเต้ายวน ไสหัวออกมารับความตาย!”
ทุกถ้อยคำล้วนเป็นดั่งกระบี่แหลมไร้เทียมทาน ประกายคมน่าครั่นคร้าม ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวยะเยือก
พวกอวี่อวิ๋นเหอสบตากัน เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
ไม่ต้องคาดเดาสักนิดพวกเขาก็รู้ว่า ถ้ากล้ามาท้าสู้อย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ ผู้มาเยือนต้องเป็นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งแน่
และเป้าหมายก็ย่อมเป็นเพราะต้องการแก้แค้นให้บุคคลชั้นยอดของเก้าโลกใหญ่อย่างชื่อหลิงจื่อ สุ่ยปี้อวิ๋น ถึงอย่างไรก่อยหน้านี้หลินสวินก็เคยกำราบพวกเขา โจมตีจนพวกเขาพ่ายแพ้ยับเยิน
“น่าชังนัก ตอนนั้นพี่หลินไม่น่าปรานีเลย”
อวี่อวิ๋นเหอกัดฟัน
“เฮ้อ สถานการณ์ตอนนั้นมันต่างกัน ถ้าพี่หลินไม่ออมมือ ขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังผู้แข็งแกร่งเก้าโลกใหญ่เหล่านั้น ก็มีแต่จะไปแก้แค้นกับพวกเราตระกูลอวี่แทน”
อวี่อวิ๋นเฟิงถอนใจเบาๆ
“เหอะๆ พวกเจ้าสองคนอย่ากังวลไป ตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่แห่งนี้เป็นถึงสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเราหลงเหลือไว้ จะถูกทำลายลงอย่างง่ายดายได้อย่างไร พวกเราเพียงต้องรออยู่ที่นี่ก็พอ”
อวี่อวิ๋นหลงพูดพลางทอดสายตามองหาหลินสวินที่อยู่ไกลๆ เสียงเจือแววอึมครึมเย็นชา “รอเมื่อพี่หลินปรับปราณสมบูรณ์ พวกมัน… ใครจะต้านไว้ได้”
“หลินเต้ายวน ถ้าเจ้ายังหลบอยู่ไม่ยอมออกมา ตอนข้าพังที่นี่เข้าไปได้ จะต้องทำให้เจ้าร้องขอชีวิตก็ไม่ได้ ร้องขอความตายก็ไม่ให้!”
เสียงเย็นยะเยือกดุจกระบี่ของเฟิงหรูเสวี่ยดังขึ้นอีกครั้ง
“หนวกหูจังโว้ย!”
อวี่อวิ๋นเหอรู้สึกหงุดหงิดในใจ หลุดปากด่าออกมา
ซ่า…
คลื่นผนึกระลอกหนึ่งปั่นป่วน ขนาดเสียงของโลกภายนอกยังถูกตัดขาด แล้วก็ได้ยินเสียหลินสวินดังขึ้น “ไม่ต้องถือสา รอข้าออกด่าน ไปเด็ดหัวมันก็พอ”
เอ่ยประโยคเดียวราบเรียบ
แต่เมื่อเข้าสู่หูของอวี่อวิ๋นเหอ กลับสำแดงความจองหองอหังการอย่างหมดจด พวกเขาฮึกเหิม รู้สึกสงบลงไม่น้อยอย่างไม่มีสาเหตุ
……
ที่โลกภายนอก เฟิงหรูเสวี่ยขมวดคิ้วแน่น
พลังผนึกที่ปกคลุมตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่แห่งนี้ไว้แข็งแกร่งเกินไป เขาฟันกระบี่อย่างต่อเนื่องแล้วสามครั้ง กลับทำได้เพียงทำให้ตำหนักสั่นสะเทือน แต่ไม่อาจพังเข้าไปได้
‘สมเป็นแหล่งสมบัติที่จักรพรรดิอวี่หลงเหลือเอาไว้ในตอนนั้น…’
เฟิงหรูเสวี่ยรำพึงในใจ ฝีมือของระดับจักรพรรดิ แม้ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลาอันยาวนาน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่มกุฎราชันอริยะอย่างเขาจะตีพ่ายได้
“พี่เฟิง”
ก็ในตอนนี้เองคลื่นอากาศดั่งกระแสน้ำระลอกหนึ่งปรากฏขึ้น ถัดมาก็มีเงาร่างหลายสายปรากฏตัวขึ้น ณ ที่นั้นไม่ขาดสาย
เป็นเหล่าคนใหญ่คนโตเก้าโลกใหญ่ที่เคยรวมตัวประชุมกันที่โถงใหญ่หอกระบี่ดาราเลิศเหล่านั้น
ที่นำหน้ามาเป็นผู้อาวุโสชุดเขียวหอกระบี่ดาราเลิศผู้นั้น
“พวกเจ้าก็มาแล้ว”
เฟิงหรูเสวี่ยชำเลืองมองปราดหนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็กลับไปเรียบเฉย
“พี่เฟิง เจ้าแซ่หลินนั่นหลบอยู่ในนั้นหรือ”
สายตาชายชราชุดเขียวมองไปยังตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ เขามีนามว่าหลี่โผ ราชันอริยะขั้นสมบูรณ์ผู้หนึ่ง มีชื่อเสียงในโลกต้าอวี่มานานแล้ว เหลือเพียงก้าวเดียวก็จะเหยียบย่างสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิ
เพียงแต่เทียบกับระดับมกุฎราชันอริยะอย่างเฟิงหรูเสวี่ยแล้ว ราชันอริยะที่ไม่ได้ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎอย่างเขาก็ดูด้อยกว่าบ้าง
“ใช่แล้ว”
เฟิงหรูเสวี่ยพยักหน้า
ผู้อาวุโสชุดเขียวหลี่โผเอ่ยเสียงเคร่งเครียดว่า “ตลอดทางที่พวกเราเดินทางมา ได้ยินว่าเจ้านี่เหมือนจะชักนำมหาเคราะห์ราชันอริยะสะท้านโลกมา ถ้าเจ้าหมอนี่มีชีวิตอยู่ เกรงว่าจะบรรลุระดับราชันอริยะ แตกต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงไปแล้ว”
คนอื่นก็สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ
พวกเขามาคราวนี้ เพียงเพราะสงสัยว่าหลินเต้ายวนก็คือ ‘หลินสวิน’ ที่ถูกทั้งใต้หล้าหมายหัวในข่าวลือ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทันทีที่มาถึงก็จะได้ยินข่าวมหาเคราะห์ไร้เทียมทานครั้งนี้
นี่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงอยู่บ้าง
“ต่อให้เขาทะลวงระดับสำเร็จแล้วอย่างไร ก็แค่เจ้าหนุ่มที่เพิ่งบรรลุระดับราชันอริยะคนหนึ่งเท่านั้น ถือโอกาสที่ระดับของเขาไม่มั่นคง การฆ่าก็ง่ายกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก”
เฟิงหรูเสวี่ยสีหน้าเย็นชา เงาร่างของเขาดั่งกระบี่ เสื้อผ้าเครื่องหัวขาวปลอด สง่างามโดดเด่น
“พวกเราที่อยู่ในที่นี้ทุกคนล้วนเป็นราชันอริยะ และพี่เฟิง พี่ชื่อ พี่สุ่ยยังเป็นมกุฎราชันอริยะ จากพลังของพวกเรารวมกัน การจะฆ่าคนหนุ่มเช่นนี้สักคนย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”
หลี่โผชายชราชุดเขียวเอ่ยเสียงเข้มว่า “แต่ว่าก่อนหน้านี้ มีเรื่องหนึ่งต้องแจ้งพี่เฟิง”
“หืม?” เฟิงหรูเสวี่ยเลิกคิ้ว
“เจ้าหมอนี่ เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะเป็นหลินสวิน!” หลี่โผเสียงต่ำลึก
หลินสวิน!
พลังขับเคลื่อนทั้งกายของเฟิงหรูเสวี่ยดังสนั่น เส้นผมปลิวไสว ประกายน่าหวาดหวั่นปรากฏขึ้นในดวงตา ด้วยฐานะของเขามีหรือจะไม่เคยได้ยินเรื่อง ‘หลินสวิน’ มาก่อน
ทันใดนั้นเฟิงหรูเสวี่ยก็ตระหนักได้ ชำเลืองมองพวกหลี่โผ “ที่แท้ทุกท่านไม่ได้มาเพื่อแก้แค้น”
ทุกคนยิ้มแต่ไม่พูด
เรื่องนี้คาดเดาได้ง่ายนัก ถ้าเป็นเพียงการต่อกรกับคนธรรมดาคนหนึ่ง ยังไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเขาลงมือเอง แต่หลินสวินย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
ตัวเขาเกี่ยวโยงกับความลับมากมายของแหล่งสถานคุนหลุน ทั้งยังครอบครองศุภโชคบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ อย่าว่าแต่พวกเขา เกรงว่าต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิยังต้องตาลุกวาวใจเต้น!
หลี่โผใช้นิ้วฟั่นหนวดเอ่ยว่า “แน่นอนว่าตอนนี้พวกเราเพียงแค่สงสัย แต่ไม่กล้ายืนยันว่าเจ้าหมอนี่คือหลินสวินหรือไม่กันแน่ ทว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญแล้ว ขอเพียงจับเขาได้ก็จะได้รู้คำตอบ”
สายตาเฟิงหรูเสวี่ยมองตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ที่อยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ลี่โยวตายแล้ว ไม่ว่าเจ้านี่เป็นใครก็ต้องตายเพื่อชดใช้ความผิด!”
ไกลออกไปเหล่าคนรุ่นเยาว์อย่างชื่อหลิงจื่อ สุ่ยปี้อวิ๋น เลี่ยตงจั้นก็มาถึงแล้ว ต่างฟังแผนการของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้เงียบๆ สีหน้าแตกต่างกันไป
ก่อนหน้านี้ถูกหลินสวินโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยิน แค้นเพราะถูกชิงสมบัติไป พวกเขามองว่าเรื่องนี้เป็นความอัปยศอดสูยิ่ง ตอนนี้มีคนใหญ่คนโตบางคนปรากฏตัวเพื่อสนับสนุนพวกเขา ในใจย่อมตื่นเต้นฮึกเหิมเป็นที่สุด
‘ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหลินเต้ายวนหรือหลินสวิน คราวนี้มาดูกันว่าเจ้าจะยังกระโดดโลดเต้นไปได้ถึงตอนไหน!’
พวกชื่อหลิงจื่อลอบยิ้มเหี้ยม แต่ละคนสีหน้าตั้งตาคอย
ท่ามกลางฟ้าดิน เหล่าราชันรวมตัว ลมเมฆเปลี่ยนสี ทำให้บริเวณนี้เต็มไปด้วยความดุดัน
การเข่นฆ่ากำลังจะมาถึง!
และตอนนี้ภายในตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ กระถางใหญ่เก้าใบส่งเสียงครั่นครืน ไอขุ่นมัวปกคลุมไปทั้งร่างหลินสวินดั่งกระแสธาร
เขาสีหน้าเรียบเฉยไม่ไหวหวั่น ว่างเปล่าเยือกเย็น คล้ายไม่รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในโลกภายนอกสักนิด
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท