ช่างโง่เง่า! ในมุมหนึ่ง หนานกงมั่วจ้องเขม็งมองไปยังหนานกงซูที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเซียวเชียนเยี่ย
ได้ยินดังนั้น ดวงตาของเซียวเชียนเยี่ยจึงวาววับ เอ่ยถามขึ้น “เอ๋ ฉู่กั๋วกงรักพี่สาวถึงเพียงนั้นเลยหรือ อย่างไรเสีย ซูเอ๋อร์ก็เป็นบุตรีที่ฉู่กั๋วกงรัก ฉู่กั๋วกงจะไม่ไยดีเจ้าได้เยี่ยงไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น ที่ข้าอยากแต่งกับซูเอ๋อร์ก็มิใช่เพราะสินเจ้าสาวเสียหน่อย” หนานกงซูรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา จึงเอ่ยถึงสินสมรสของหนานกงมั่วอย่างไม่ปิดบังให้เซียวเชียนเยี่ยฟัง มือข้างหนึ่งของเซียวเชียนเยี่ยกอดหนานกงซูเอาไว้ ทว่าดวงตากลับไหววูบไปมาอยู่ไม่นิ่ง หากมองให้ดี ยังเห็นความขัดเคืองใจลึกลงไปในดวงตาของเขาด้วย
เซียวเชียนเยี่ยรู้มาตลอด เมื่อเทียบกันกับพวกเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว หนานกงไหวที่เป็นแม่ทัพร่วมก่อตั้งประเทศย่อมเป็นคนร่ำรวยอย่างแท้จริง นอกจากรางวัลที่ได้รับจากการก่อตั้งประเทศแล้ว ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขากวาดเอาทรัพย์สมบัติไปมากมายเพียงใด เดิมเซียวเชียนเยี่ยเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ไม่ว่าหนานกงไหวจะร่ำรวยเพียงใด สุดท้ายทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็ต้องตกเป็นของบุตรชาย ไม่ใช่บุตรีที่ต้องแต่งออกเรือน เหมือนที่เขาแต่งกับบุตรีของเอ้อกั๋วกง ตอนที่พระชายาแต่งออกเรือนมานั้นมีสินเจ้าสาวมากกว่ากฎที่ตั้งไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเอ้อกั๋วกงนั้นมีสมบัติน้อยกว่าฉู่กั๋วกงอย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ ทว่าเป็นเพราะเงินทองของเอ้อกั๋วกงนั้นเก็บไว้มอบให้บุตรชาย แต่เขาลืมไปเสียสนิทว่าฮูหยินคนก่อนของตระกูลหนานกงนั้นมาจากสกุลเมิ่ง เป็นผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวของตระกูลเมิ่ง อีกทั้งเมิ่งฮูหยินผู้นี้ ได้เก็บทรัพย์สมบัติกว่าครึ่งไว้เพื่อเป็นสินเจ้าสาวของบุตรี เพียงแต่งกับหนานกงมั่วก็คุ้มค่าพอที่จะปราบฝ่ายตรงข้ามได้อยู่หมัดแล้ว
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกล่ะก็ เขาไม่น่าใจร้อนเลย เซียวเชียนเยี่ยได้แต่แค้นเคืองอยู่ในใจ
หนานกงซูส่งเสียงหยัน “ตอนนี้ในสายตาขอท่านพ่อ คงจะมีเพียงหนานกงมั่วเท่านั้นที่เป็นบุตรีของเขา เซียวหลาง…ท่านจะเป็นเหมือนท่านพ่อหรือไม่…”
“คิดอันใดเหลวไหล” เซียวเชียนเยี่ยลูบหลังนางเบาๆ เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในใจของข้ามีเพียงซูเอ๋อร์ผู้เดียวเท่านั้นที่สำคัญต่อข้า”
“แต่ว่า…วันนี้ท่านยังพาหยวนซื่อมาชมดอกไม้ด้วย” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในใจของหนานกงซูก็อึดอัดใจราวกับกลืนแมลงวันลงไป หยวนซื่อมีดีที่ตรงไหนกัน มิได้สวยเหมือนนาง นิสัยก็มิได้อ่อนหวานเยี่ยงนาง ความสามารถก็มิได้โดดเด่นไปกว่านาง มีสิทธิ์อันใดมายืนเคียงข้างเซียวเชียนเยี่ยในฐานะพระชายาให้นางอิจฉาเช่นนี้ สตรีผู้นั้นเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับนาง นางรังเกียจยิ่งกว่าหนานกงมั่วเสียด้วยซ้ำ
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ “ซูเอ๋อร์ หยวนซื่อเป็นชายาของข้า ข้าไม่ให้เกียรตินางคงมิได้ มิเช่นนั้นเสด็จปู่คง…”
แน่นอนว่าหนานกงซูรู้ว่าฝ่าบาทคิดเช่นไรกับเชื้อสายรอง หากมิใช่เพราะเหตุนี้ มารดาของนางคงไม่ต้องเป็นฮูหยินฉู่กั๋วกงที่ไม่ได้รับความยุติธรรมไปตลอดชีวิตเช่นนี้ แน่นอนว่านางเองก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะไปต่อต้านพระประสงค์ของฝ่าบาท เพียงแต่หากคิดถึงหยวนซื่อที่มีรูปลักษณ์ธรรมดาทว่ากลับได้มีโอกาสยืนเคียงข้างพระองค์อย่างเปิดเผย ทว่านางกลับต้องลอบมองเขาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ก็รู้สึกยุบยิบราวกับมีมดไต่อยู่ในใจ
“ข้ารู้ เซียวหลาง เพื่อท่าน…ข้ายอมทุกอย่าง” หนานกงซูเอ่ยเสียงเบา
เซียวเชียนเยี่ยก้มลงเชยปลายคางเล็กขึ้น เห็นใบหน้าสวยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาจึงยกมืออีกข้างขึ้นมาเช็ดเบาๆ ไปที่คราบน้ำตานั้น ก่อนที่เซียวเชียนเยี่ยจะก้มลงไปกดจูบที่ริมฝีปากบางเบาๆ
“เซียวหลาง…”
หนานกงซูส่งเสียงเบา ยกมือขึ้นไปโอบรอบลำคอของเซียนเชียวเยี่ยเอาไว้ ดวงตาของเซียนเชียวเยี่ยทะมึน หญิงสาวบอบบางและงดงามมองมาด้วยสายตาน่าสงสารเช่นนี้ เพียงพอที่จะปลุกความปรารถนาที่ซ่อนเร้นเอาไว้ของบุรุษบนโลกใบนี้ขึ้นมาได้ เซียวเชียนเยี่ยก้มลงไปหาหญิงสาวบอบบางตรงหน้า หนานกงซูครางตอบรับ เรียกเซียวหลางเซียวหลางอย่างแผ่วเบา…ตระกองกอดชายตรงหน้าเอาไว้แน่น
มุมหนึ่ง หนานกงมั่วจ้องมองชายหญิงที่กำลังกกกอดฟัดเหวี่ยงกันแน่น ใครบอกนางกันเล่าว่าโบราณเคร่งครัดเรื่องประเพณี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง หากแสดงตัวออกมาโดยดีนางรับรองจะไม่ตีเขาจนตายแน่ มิน่าคนที่ใบหน้าเรียบนิ่งอยู่ตลอดอย่างเว่ยจวินมั่วยังเผลอเป็นจับนิดแตะหน่อยอยู่บ้าง ที่แท้เมื่อเทียบกับเซียวเชียนเยี่ยแล้ว เว่ยจวินมั่วนั้นนับว่าเป็นสุภาพบุรุษอยู่ไม่น้อย
ขณะมองบุรุษทั้งสองที่อยู่ด้านข้างก็เห็นว่าคิ้วคมของเว่ยจวินมั่วขมวดมุ่น เห็นได้ชัดว่ารู้สึกรังเกียจต่อคู่ชายหนุ่มหญิงสาวตรงหน้า ทว่าอีกคนกลับดูนิ่งสงบ ไต้ซือเนี่ยนหย่วนมีท่าทางราวกับมองไม่เห็น ยังคงยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นไม่เอ่ยสิ่งใด สมแล้วที่เป็นพระชั้นสูง ละทางโลก ละโลกีย์ ทุกอย่างล้วนคือความว่างเปล่า
หนานกงมั่วลูบปลายคาง ดวงตาแหลมคมรู้สึกสนุกขึ้นมา หันกลับไปกระซิบที่ข้างหูเว่ยจวินมั่วเบาๆ หนึ่งประโยค เว่ยจวินมั่วมองหนานกงมั่วด้วยท่าทีประหลาดใจ หนานกงมั่วกะพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทางไร้เดียงสา เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ ชั่วพริบตาเดียวเขาก็หายตัวไปในพุ่มไม้ด้านหลัง
ให้ตายเถอะ ถูกหลอกอีกแล้วหรือ วิชาตัวเบาของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลยสักนิด
หนานกงมั่วกัดฟัน เนี่ยนหย่วนที่อยู่ด้านข้างมองหญิงสาวที่กำลังกัดฟันอยู่ตรงหน้าด้วยความสนใจ หนานกงมั่วยิ้มตาหยีมองเขา เอ่ยพูดเสียงเบา “ไต้ซือเจ้าคะ ไม่ฟังสิ่งชั่วร้ายเจ้าค่ะ”
เนี่ยนหย่วนยิ้มออกมา กวาดตามองสองคนที่อยู่ไกลออกไป “แม่นาง ไม่มองสิ่งชั่วร้าย”
มีชุนกง[1]ฉบับอีโรติกให้ดูฟรีไม่ดูงั้นหรือ คุณหนูหนานกงบริสุทธิ์เพียงเปลือกนอก ด้านในกลับซุกซ่อนเอาไว้ซึ่งความลามกและร้ายกาจเช่นนี้
สถานที่ทางพระพุทธศาสนาเป็นสถานที่แห่งความดี ไม่เช่นนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคงไม่มีหนังสือมากมายที่เขียนออกมาว่าในเขตพระพุทธศาสนานั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง สถานที่ทางพระพุทธศาสนาและเรื่องประโลมโลกเห็นได้ชัดว่าแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เมื่อใดที่มาอยู่รวมกันจะทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งต้องห้าม อย่างน้อย…สำหรับเซียนเชียวเยี่ยแล้วมันก็ควรเป็นเช่นนั้น เดิมสองคนที่ยืนอยู่ข้างแอ่งน้ำ ยามนี้กลับนอนราบลงไปกับพื้น เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนแทบจะถูกถอดออกอยู่แล้ว แม้แต่ไต้ซือเนี่ยนหย่วนยังต้องหันหน้าหนีไป ทว่าเมื่อเห็นหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างดูมีท่าทีร่าเริงก็ได้แต่นึกสงสัยว่าหญิงที่ฝ่าบาทพระราชทานสมรสแก่ผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียงเป็นผู้หญิงเช่นไรกันหนอ ก่อนหน้านี้คิดว่านางพยายามเอ่ยอย่างขำขัน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้รู้สึกว่าภาพตรงหน้านั้นน่าสนุกจริงๆ มองไม่เห็นถึงความเขินอายบนใบหน้างดงามของนางเลยสักนิด
ความจริงในใจหนานกงมั่วนั้นรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แม้ตัวนางจะไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจต่อการมองดูภาพอีโรติกเช่นนี้ แต่การพาพระมาดูภาพอีโรติกเช่นนี้ก็นับว่าเป็นการทดสอบความอดทนได้เช่นกัน แต่ไต้ซือเนี่ยนหย่วนไม่มีวรยุทธ์ หากเคลื่อนไหวในตอนนี้ล่ะก็คงจะทำให้เซียวเชียนเยี่ยตกใจ ดังนั้นไม่อยากดูก็ต้องทนดู หันกลับไปมองเนี่ยนหย่วน หนานกงมั่วยกมือขึ้นทำท่าทางปิดตา เนี่ยนหย่วนยิ้มให้ หลับตาลงพลางส่ายศีรษะเบาๆ สวดมนต์ภาวนาอยู่ในใจ
ยอมรับก็ได้ ความจริงมาดูอีโรติกกับพระก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนุก แม่นางหนานกงจึงจำต้องไร้คุณธรรมเช่นนี้
มือหนึ่งวาดมาปิดตาของนางเอาไว้ หนานกงมั่วกำลังจะตอบโต้ ทว่าในตอนที่ยกมือขึ้นนั้นก็ต้องเอาลงมา ประมือกับเว่ยจวินมั่วไปหลายครั้ง นางแยกออกได้ชัดเจนแล้วว่าเจ้าของมือนี้คือใครจึงพยายามฝืนตัวเองเพื่อไม่โจมตีเขา
ยกมือขึ้นไปดึงมือเว่ยจวินมั่วลงมา หันกลับไปมองดวงตาสีม่วงของเขา เอ่ยออกมาโดยไร้เสียง “ทำอันใดของท่าน”
ไม่ให้มองแล้ว ดวงตาของเว่ยจวินมั่วเผยให้เห็นถึงความโกรธโดยไม่เกรงใจ หนานกงมั่วกะพริบตา มองสองคนที่ฟัดเหวี่ยงกันอยู่ข้างแอ่งน้ำ ยักไหล่พลางพยักหน้า ก็ได้ รูปร่างของเซียวเชียนเยี่ยไม่ได้มีอะไรน่ามองเพียงนั้น ส่วนหนานกงซู…ความจริงยามสวมเสื้อผ้านั้นนับว่าดูดีกว่ายามที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเช่นนี้
—————————————————————————————————-
[1] ชุนกง หรือเจี้ยจวงฮว่า หรือภาพวาดที่บรรดาพ่อแม่จะมอบให้เจ้าสาวติดตัวไปพร้อมๆ กับของใช้ส่วนตัวอื่นๆ เมื่อถึงเวลาออกเรือนไปอาศัยอยู่บ้านเจ้าบ่าว ซึ่งมีคุณค่าในฐานะของการเป็นคู่มือการศึกษาวิธีการใช้ชีวิตคู่หลักสูตรสำคัญที่สุดหลักสูตรหนึ่ง โดยนอกจากคำว่า เจี้ยจวงฮว่าที่แปลได้ว่า ภาพออกเรือน ชาวจีนยังเรียกภาพเหล่านี้ว่า ภาพสำหรับลูกสาว หรือตำราข้างหมอนอีกด้วย เจี้ยจวงฮว่านั้นถือเป็นภาพวาดประเภทหนึ่งของภาพวาดอีโรติกที่เรียกกันว่าชุนกงฮว่าหรือชุนกงถูของชาวจีนในสมัยโบราณ